เมื่อวาน เวลา 09:18 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ประเทศไทย...หมดยุคข้ามาคนเดียว!

ตลาดหุ้นถือว่าสามารถสะท้อนภาพลักษณ์ของประเทศออกมาได้ชัดเจนที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสถานภาพทางเศรฐกิจ ความมั่นคงของประเทศ หรือ แม้แต่สถานภาพทางการเมืองการปกครอง
ดังนั้น ในมุมมองจองเจ๊เมาธ์จึงมองว่า การที่ตลาดหุ้นไทยมีสภาพที่เกิดจาก “ภาวะบิดเบี้ยว” อย่างไม่สมเหตุผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลา 5 ปี ที่ผ่านมากลายเป็น “ภาพลวงตา” ที่สะท้อนถึงความไร้เสถียรภาพของประเทศได้ในแทบทุกมิติ และยิ่งเวลาที่ค่อยๆ ผ่านเลยไปก็ยิ่งทำให้เราเห็นภาพได้อย่างชัดเจนว่า ความบิดเบี้ยวที่ว่ามีอะไรบ้าง...
อย่างแรก...คงไม่หนีไปจากเรื่องภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ถึงแม้จะพูดได้ไม่เต็มปากว่า “ตกต่ำ” แต่หากมองไปที่ดัชนีชี้วัดตัวเลขทางเศรษฐกิจอย่าง GDP ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ปี 2563 ที่ติดลบ 6.2% ในปี 2564 เพิ่มขึ้น 1.6% ส่วนปี 2565 เพิ่มขึ้น 2.5% ขณะที่ในปี 2566 เพิ่มขึ้น 1.9% และ
ล่าสุดปี 2567 โตเพิ่มขึ้น 2.5% ขณะที่ปี 2568 ตัวเลขอาจจะเหลือเพียง 1.6% ทำให้เห็นชัดเจนว่า 5 ปี ที่ผ่านมาเศรษฐกิจของประเทศ แทบจะไม่มีการขยับตัวแต่อย่างใด
ในภาพนี้...ส่วนหนึ่งอาจมองได้ว่า การควบคุมเงินเฟ้อของประเทศที่ผ่านทางดอกเบี้ยนโยบาย ที่ตรึงเอาไว้นาน ก่อนที่ทาง กนง. จะอ่อนข้อด้วยการยอมลดดอกเบี้ยลงสองรอบในปีนี้ หลังจากที่คุมเงินเฟ้อเอาไว้ได้ แต่การที่เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ก็ไม่ได้หมายความว่า ราคาสินค้าและค่าครองชีพจะถูกลง โดยเฉพาะราคาพลังงาน ปัญหาหนี้ครัวเรือนและแรงกดดันด้านการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน ภาพรวมในเรื่องความได้เปรียบและสามารถของการแข่งขันของไทยก็กำลังถูกตั้งคำถามว่า ไทยสามารถสู้กลับประเทศคู่แข่งอื่นโดยเฉพาะคู่แข่งในอาเซียน ไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย แล ะเวียดนาม ได้แค่ไหน ซึ่งนั่นก็ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทย ทั้งด้านการส่งออกสินค้า การท่องเที่ยว การบริการ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างที่สอง...เป็นปัญหาของตลาดหุ้นไทย ซึ่งผู้ที่มีส่วนได้เสียไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้น ทั้งต่างชาติ รายใหญ่ รายย่อย นักลงทุนสถาบัน นักปั้นหุ้น (IB) นักทำราคาหุ้น (MM) รวมไปถึงผู้คุมกติกา (Regulators) ต่างต้องกลับมาทบทวนตัวเองใหม่ว่า สิ่งที่เคยรู้ สิ่งที่เคยทำ หรือแม้แต่สิ่งที่บอกเล่า หรือ สอนคนอื่นๆ เหล่านี้ใช่เป็นสิ่งที่ถูกต้องและเป็นความรู้ที่สามารถนำสร้างรายได้ จากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้หรือไม่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่หุ้นใหญ่เพียงไม่กี่ตัวกลายเป็นหุ้นชี้นำดัชนีหุ้นไทย ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นกรณีหุ้นของ DELTA ที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีผู้คุมกติกา (Regulators) หน้าไหนจะมีความสามารถในการเข้ามาจัดการทั้งที่รู้ว่าเป็นปัญหา จนทำให้ดัชนีหุ้นไทยมีสภาพกลายเป็น “ลูกกระจ๊อก” ที่มีลูกพี่อย่างหุ้น DELTA จะลากให้ขึ้นหรือลงหรือ “ทุบ” เมื่อไหร่ก็ได้
นอกจากนี้ ก็ยังมีปัญหาเรื่องคำสั่งของ กลต. ที่ถึงตอนนี้ เจ๊เมาธ์ ก็ไม่รู้ว่ามีความศักดิ์สิทธิ์จริงหรือไม่ จากกรณีการสั่งห้ามขายชอร์ตทุกหลักทรัพย์เป็นการชั่วคราว จากการประกาศใช้นโยบายภาษีใหม่ของสหรัฐฯ หรือ จากกรณีของ JKN ที่ทางบริษัทยังไม่ตอบรับคำสั่งมาตรการลงโทษทางแพ่ง จนอาจถูกนำมาใช้อ้างเป็นมาตรฐานใหม่ได้ในอนาคต
ท้ายที่สุดเป็นเรื่องของ “ความผิดหวัง” ที่มาจาก “ความคาดหวัง” ว่ารัฐบาลที่มี “พรรคเพื่อไทย” เป็นแกนนำ จะสามารถสร้างนำพาเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้ง เพราะถึงแม้เบื้องหน้า “นางสาวแพทองธาร” จะเป็นผู้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ...แต่ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่าในฉากหลังของรัฐบาลนี้ “ดร.ทักษิณ ชินวัตร” ผู้ซึ่งเป็น “อดีตนายกรัฐมนตรี” และเป็นบิดาของ นางสาวแพทองธาร คือ ผู้มีอิทธิพลตัวจริง ดังนั้นความคาดหวังที่ว่านี้ จึงตกไปอยู่ที่ “ทักษิณ” ทั้งหมด....
ล่าสุด...หลังจากที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐ ก็ส่งผลให้เกิด “ปัญหาสงครามการค้า” ซึ่งจะกระทบกับสินค้าส่องออกของไทย ซึ่งคิดเป็นตัวเลขที่สูงถึง 30% ของ GDP กำลังจะกลายเป็นตัวฉุดดึงตัวเลขทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งถือได้ว่าเป็นปัญหา “ทางตรง” แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ปรากฏแนวทางของการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน
ดังนั้น ความสำเร็จที่เคยมีของพรรคไทยรักไทย ภายใต้การนำของ “ดร.ทักษิณ” ในอดีต จึงอาจไม่สามารถนำมาใช้ได้ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ถึงจะร่ายยาวมากแค่ไหน แต่เจ๊เมาธ์เชื่อว่า ปัญหาทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีทางออก เจ๊เชื่อว่าประเทศไทยไม่ต้องการคนเก่งประเภท “ข้ามาคนเดียว” ไม่ต้องการใครคนใดคนหนึ่งมาเป็น “ฮีโร่” เพราะถ้าหากใครเก่ง และช่วยเหลือชาติได้ ก็ขอให้รีบแสดงตัวออกมา ทุกคนพร้อมให้การสนับสนุนเต็มที่อยู่แล้ว!!!
ถึงเวลาที่คนไทยทุกคน จะต้องค้นหาทางออกร่วมกันได้แล้วนะคะ ย้ำว่า....นาทีนี้ถ้า “ไทยเราไม่ช่วยไทย” ก็ไม่มีใครช่วยเราได้อีกแล้วเจ้าค่ะ
โฆษณา