เมื่อวาน เวลา 09:58 • หุ้น & เศรษฐกิจ

การกลับมาของตลาดหุ้นอินเดีย...ยักษ์ใหญ่อันดับ 4 ของโลก

ดร. ฐนิตพงศ์ ชื่นภิบาล
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารความเสี่ยงด้านการลงทุน บลจ.กรุงศรี จำกัด
หลังจากดัชนี BSE SENSEX ของอินเดียทำจุดปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ที่ 85,836.12 จุด เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2567 ดัชนีก็ทยอยแกว่งตัวลงจากความกังวลว่าเศรษฐกิจอินเดียอาจขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง กอปรกับการฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนส่งผลให้เงินลงทุนย้ายออกจากตลาดหุ้นอินเดียสู่ตลาดหุ้นจีน
เป็นผลให้ดัชนี BSE SENSEX ลงไปทำจุดต่ำสุดในรอบนี้ที่ 72,989.93 จุดเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 หรือลดลง 14.97% จากจุดสูงสุด ก่อนที่จะเริ่มฟื้นตัวหลังจากตลาดปรับตัวลงมามาก แต่ดัชนีก็กลับร่วงลงอีกครั้งสู่ 73,137.90 จุด หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศมาตรการภาษีตอบโต้ (reciprocal tariff)
อย่างไรก็ดี ดัชนี BSE SENSEX ฟื้นตัวแรง และกลับมายืนเหนือระดับ 80,000 จุดได้ตั้งแต่วันที่ 29 เมษายน 2568 และยังคงมีอีกหลายปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนให้ตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวขึ้นต่อ
สำหรับปัจจัยแรกที่ตลาดจับตาอย่างใกล้ชิด ได้แก่ การเจรจาการค้ากับสหรัฐ โดยเป็นที่คาดกันว่าอินเดียจะเป็นประเทศอันดับต้นๆ ที่บรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐ หลังจากที่อินเดียได้เริ่มทำการเจรจาล่วงหน้าก่อนที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะประกาศมาตรการภาษี การเจรจาจึงมีความคืบหน้าต่อเนื่อง
โดยล่าสุด (5 พฤษภาคม) มีรายงานจากทางสำนักข่าวของอินเดียว่า อินเดียเสนอภาษี 0% ระหว่างสหรัฐกับอินเดียบนสินค้าบางประเภทภายใต้ปริมาณการนำเข้าที่กำหนด ในขณะที่ สิ่งที่สหรัฐแสดงความกังวลคือ คำสั่งควบคุมคุณภาพสินค้าที่ขายในอินเดีย ซึ่งสหรัฐมองว่าไม่โปร่งใสและไม่เป็นธรรม และเป็นอุปสรรคต่อสินค้าส่งออกของสหรัฐ ทางอินเดียได้แสดงท่าทียินดีที่จะทำการทบทวนคำสั่งดังกล่าว โดยจะทำการตกลงกับสหรัฐบนพื้นฐานของการยอมรับกรอบการกำกับดูแลของทั้ง 2ประเทศ
ปัจจัยต่อมาที่ถือว่าสำคัญอย่างมาก ได้แก่ การเติบโตของเศรษฐกิจอินเดีย โดยถึงแม้ล่าสุดไอเอ็มเอฟ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือมูดี้ส์ เอสแอนด์พี และฟิทช์เรตติ้งส์ ต่างปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียในปีนี้ลงสู่ 6.2 – 6.5% โดยมีสาเหตุหลักจากมาตรการภาษีของสหรัฐและความขัดแย้งกับปากีสถาน ส่วนในปีหน้ามีทั้งคาดว่าเศรษฐกิจของอินเดียจะโตดีขึ้นและโตในอัตราที่ชะลอลงเล็กน้อย ในขณะที่ธนาคารกลางอินเดียคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจอินเดียจะขยายตัว 6.5%
1
ทั้งนี้ อัตราการเติบโตที่คาดนี้ ยังคงถือว่าเป็นอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจที่สูงเป็นอันดับต้นๆของโลก โดยไอเอ็มเอฟคาดว่าเศรษฐกิจอินเดียจะมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกในปีนี้ แซงหน้าญี่ปุ่นที่คาดว่าจะตกลงไปอยู่อันดับ 5 โดยได้แรงหนุนจากการบริโภคภาคเอกชน เนื่องจากอินเดียมีการเติบโตของชนชั้นกลางต่อเนื่อง และมีประชากรมากที่สุดในโลก โดยที่ประชากรราว 68% อยู่ในวัยทำงาน ส่งผลให้ความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภคจะผลักดันให้เศรษฐกิจอินเดียเติบโตต่อเนื่องอย่างมีเสถียรภาพ
นอกจากนี้ ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ส่งผลให้มีหลายบริษัทประกาศชัดเจนว่าจะย้ายฐานการผลิตจากจีนสู่อินเดีย และหลายบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณา เนื่องจากอินเดียมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการการค้าน้อยกว่า ในขณะที่ กิจกรรมในภาคการผลิตและภาคบริการของอินเดียยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ทั้งภาคการผลิตและภาคบริการของอินเดีย ซึ่งเป็นดัชนีชี้นำถึงทิศทางในอนาคต ยังคงบ่งชี้ถึงการขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง สวนทางกับประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกที่ดัชนีบ่งชี้ถึงการหดตัว
ด้านการค้าระหว่างประเทศ ยอดส่งออกสินค้าและบริการของอินเดียมีสัดส่วนราว 22% ของจีดีพี โดยในปีงบประมาณ 2024-25 ยอดส่งออกสินค้าของอินเดียมีมูลค่าราว 8.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ มีมูลค่าการส่งออกสูงสุดเป็นอันดับที่ 12 ของโลก และมีสินค้าส่งออกหลัก ได้แก่ น้ำมันกลั่น บรรจุภัณฑ์ยา เพชร โทรศัพท์ และเครื่องประดับ ทั้งนี้ รัฐบาลอินเดียตั้งเป้าบรรลุยอดส่งออก 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2030 โดยมีการปรับโครงสร้างเป็นประเทศผู้ผลิตสินค้า และทำการเจรจาการค้ากับหลากหลายประเทศ
โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมา อินเดียได้บรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหราชอาณาจักร หลังจากมีการเจรจาต่อเนื่องมา 3 ปี โดยรัฐบาลสหราชอาณาจักรคาดว่าข้อตกลงการค้านี้จะส่งผลให้การค้าระหว่าง 2 ประเทศเพิ่มขึ้นอีก 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่อินเดียระบุว่าข้อตกลงดังกล่าวจะส่งผลให้สินค้าของอินเดียราว 90% จะเสียภาษีน้อยลง และ 85% ของกลุ่มสินค้าดังกล่าวจะเสียภาษี 0% ในอีก 10 ปีข้างหน้า
ในส่วนของตลาดหุ้นอินเดีย เป็นตลาดหุ้นที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากสหรัฐฯ จีน และญี่ปุ่น มีมูลค่าตลาดมากกว่าตลาดหุ้นอังกฤษและฝรั่งเศสรวมกัน ทางการของอินเดียรายงานว่า ในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2025 เงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นอินเดียเพิ่มขึ้นถึง 45% มีมูลค่าราว 2.98 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ การที่ตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวลดลงหลังจากทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้มีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีมากขึ้น
2
สำหรับปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ความคืบหน้าในการเจรจาการค้ากับสหรัฐ ซึ่งถึงแม้หลายฝ่ายคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่การเจรจาอาจยืดเยื้อ นอกจากนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอินเดียกับปากีสถานที่มีความรุนแรงมากที่สุดในรอบกว่า 20 ปี เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สร้างความกังวล เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศต่างมีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครอง
ทั้งนี้ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ประเมินความเสี่ยงการลงทุนและความสามารถในการรับความเสี่ยงของท่านก่อนการตัดสินใจลงทุน
กองทุนแนะนำ:
>> ข้อมูล KFINDIA-A คลิก: https://www.krungsriasset.com/TH/FundDetail.aspx?fund=KFINDIA-A
>> ข้อมูล KFINDIARMF คลิก:
กองทุนป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน จึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ | ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน
สามารถสอบถามรายละเอียดข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.กรุงศรี โทร. 02-657-5757 หรือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา
#Article #กองทุนกรุงศรี #KrungsriAsset #หุ้นต่างประเทศ #หุ้นอินเดีย #KFINDIA
โฆษณา