10 พ.ค. เวลา 03:01 • ไลฟ์สไตล์

พลิกกับดัก “นอนน้อย งานเยอะ”

ถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนมาตรวัดความสำเร็จในองค์กร ⏰🔥🤔
"ช่วงนี้นอนน้อยมากเลยครับ ทำงานทุกวัน นอนวันละไม่กี่ชั่วโมงเอง" ... ประโยคที่กลายเป็นคำทักทายยอดฮิตของคนทำงานยุคนี้ และมักถูกพูดด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความภูมิใจ
แต่ความจริงแล้ว คำพูดนี้อาจไม่ใช่สัญลักษณ์ของความขยันหรือทุ่มเท หากแต่อาจสะท้อนถึง "กับดักทางความคิด" ที่ทั้งคนทำงานและองค์กรควรต้องตระหนักอย่างเร่งด่วน
====
🏅 ความ “ฟิน” ที่ได้ทำงานหนัก แต่เมื่อ Input ไม่ได้การันตี Output
ผมเคยภูมิใจอย่างแรงที่ได้พูดว่า "ผมนอนวันละ 3-4 ชั่วโมงเองครับ ทำงานตลอด 7 วันรวด!" จนวันหนึ่งผมหันกลับมาถามตัวเองว่า แล้วมันได้ผลลัพธ์อะไรจริงๆ หรือเปล่า?
* การทำงานหนักไม่ใช่ปัญหา ถ้ามันนำไปสู่ผลลัพธ์ที่วัดได้จริง แต่ถ้าแค่ใช้เวลามากขึ้น โดยไม่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น มันก็คือการเปลืองทรัพยากรของชีวิตอย่างหนึ่ง
* งานวิจัยของ Harvard Business Review ระบุว่า “พนักงานที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืน จะมีประสิทธิภาพในการคิดวิเคราะห์ลดลง 20-30% และอัตราการตัดสินใจผิดพลาดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ” ซึ่งหมายความว่า การทำงานหนักอาจไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่เราหวังเสมอไป แต่กลับสร้างความเสียหายที่ซ่อนอยู่แทน
และอย่าลืมว่า “สิ่งที่องค์กรต้องการ ไม่ใช่แค่คนที่อยู่ดึก แต่งานไม่เดิน แต่คือคนที่สามารถส่งมอบงานได้ดี โดยไม่ต้องแลกด้วยสุขภาพหรือความสัมพันธ์ส่วนตัว”
====
🤔 งานหนักแต่ไม่ออก? เริ่มจากการตั้งคำถามกับตัวเอง
เราทุกคนล้วนเคยเจอกับวันที่ "ทำงานทั้งวัน แต่ไม่มีอะไรเสร็จ" ใช่ไหมครับ? ก่อนที่จะโทษปัจจัยภายนอก ลองถามตัวเองว่าเรา "จัดการสิ่งที่ควบคุมได้ดีพอหรือยัง?"
* ในหลายกรณี สิ่งที่ขัดขวาง Productivity กลับเป็นพฤติกรรมของตัวเราเอง เช่น การ Multitasking เกินพอดี การไม่มีลำดับความสำคัญที่ชัดเจน หรือการใช้เวลาอยู่กับงาน แต่ไม่ได้ลงมือทำงานจริงๆ
* ผมเองก็เคยใช้เวลา 10 ชั่วโมงหน้าคอมฯ แต่ได้งานเท่าคนที่โฟกัสแค่ 3 ชั่วโมง ผมเรียนรู้ว่าการตั้ง To-Do List พร้อมลำดับความสำคัญ และบังคับตัวเองให้ทำทีละเรื่องจนจบ คือวิธีที่ได้ผลจริงที่สุด
* และอย่าลืมว่า Productivity ที่แท้จริง ไม่ใช่แค่เรื่องของปริมาณ แต่คือคุณภาพ ความชัดเจน และผลกระทบของงานที่เราทำต่อเป้าหมายใหญ่ขององค์กรด้วย
====
🏢 องค์กรที่เก่งไม่ใช่องค์กรที่คนทำงานดึกเสมอไป
องค์กรชั้นนำระดับโลก เช่น Toyota หรือ Google ล้วนให้ความสำคัญกับผลลัพธ์และความเป็นอยู่ของพนักงานมากกว่าจำนวนชั่วโมงที่ทำงาน บริษัทอย่าง Asana หรือ Atlassian มีนโยบายสนับสนุน Work-Life Balance อย่างจริงจัง และผลลัพธ์คือ Productivity โดยรวมขององค์กรกลับสูงขึ้น
ลองเปรียบเทียบพนักงานสองคนที่อยู่ในทีมเดียวกัน ทำงานประเภทเดียวกัน และมีระดับความรับผิดชอบใกล้เคียงกัน
* คนแรก ทำโอทีเกือบทุกวัน หอบงานกลับบ้านเสมอ แต่เมื่องานถึงเส้นตาย กลับยังไม่เสร็จสมบูรณ์ หรือมีข้อผิดพลาดที่ต้องกลับไปแก้ไขหลายครั้ง ผลงานที่ออกมามักต้องให้หัวหน้าหรือเพื่อนร่วมทีมช่วยเกลาอีกหลายรอบ
* คนที่สอง กลับบ้านตรงเวลาทุกวัน แทบไม่เคยอยู่ดึก แต่งานที่ส่งมามักเสร็จตามแผน คุณภาพดี มีความละเอียด และไม่ต้องตามแก้อีก
* เมื่อมองผ่านตาเปล่า คนแรกอาจถูกมองว่า 'ทุ่มเท' ส่วนคนที่สองอาจดูเหมือนไม่ขยันเท่า แต่ถ้าวัดกันที่ 'ผลลัพธ์' จริงๆ แล้ว ใครกันที่ควรได้รับการยกย่องในฐานะผู้มีผลงานโดดเด่น?
* กรณีแบบนี้สะท้อนชัดเจนว่า ชั่วโมงการทำงานไม่ใช่เครื่องชี้วัดคุณค่าของคนทำงาน ความสามารถในการวางแผน บริหารเวลา และส่งมอบงานที่มี Impact ต่างหาก ที่ควรเป็นมาตรวัดความสำเร็จในยุคใหม่
* และในประเด็นนี้ ยังมีอีกหนึ่งกับดักที่องค์กรไทยจำนวนไม่น้อยยังติดอยู่ คือการเชื่อว่า “การทำงานหนัก = การมาเข้าออฟฟิศ” ทั้งที่ในความเป็นจริง Hybrid Work หรือ Work From Anywhere ได้พิสูจน์แล้วในหลายองค์กรทั่วโลกว่า พนักงานสามารถส่งมอบผลงานที่มีคุณภาพ แม่นยำ ตรงเวลา แม้จะไม่ได้เข้าออฟฟิศทุกวัน การใช้การเข้าออฟฟิศเป็นหลักฐานของความทุ่มเท โดยไม่วัดจาก Output และคุณภาพของงานที่ส่งออกมา อาจกลายเป็นการตัดสินที่ผิดพลาด และบั่นทอนแรงจูงใจของคนที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพจริง ๆ ในรูปแบบที่ยืดหยุ่นกว่า
องค์กรที่มีวิสัยทัศน์ควรมองเห็นว่า “เวลาทำงานมาก” ไม่ได้แปลว่าผลลัพธ์จะดีกว่าเสมอไป แต่ควรวัดความสำเร็จจาก “คุณภาพของงาน ความยั่งยืนของบุคลากร และความสามารถในการสร้างนวัตกรรมระยะยาว”
====
❤️ หัวหน้าที่เข้าใจ VS หัวหน้าที่แค่พอใจ
หัวหน้าบางคนอาจรู้สึกปลื้มกับลูกน้องที่ทำงานหนัก แต่สิ่งที่ต้องแยกให้ออกคือ “ทำงานหนักเพราะมีแพชชั่น” กับ “ทำงานหนักเพราะโดนกดดัน”
* กรณีแรก ถ้าลูกน้องของคุณเป็นคนที่ 'มีแพชชั่นแรง' ทำงานลุยไม่ถอย พร้อมส่งมอบผลงานคุณภาพแม้ในสภาวะกดดัน คุณควรสนับสนุนแต่ไม่ควรปล่อยให้เขาไหม้เด็ดขาด ควรจัดระบบให้เขาได้พักอย่างเหมาะสม เช่น อนุญาตให้เลือกวันหยุดเพิ่มได้ถ้างานเสร็จก่อนกำหนด ให้ Feedback อย่างตรงไปตรงมาเพื่อให้เขารู้ว่าสิ่งที่เขาทำมีคุณค่า และที่สำคัญคือ คุยกับเขาให้ชัดว่า 'การดูแลตัวเอง' คือส่วนหนึ่งของการเป็นทีมเวิร์กที่ยั่งยืน
* กรณีที่สอง ถ้าลูกน้องของคุณไม่ได้ทำงานหนักเพราะอยากทำ แต่เพราะ 'โดนงานทับ' หรือ 'รับภาระมากเกินไปจากระบบที่ไม่สมดุล' นี่แหละครับคือสัญญาณเตือนที่คุณต้องรับฟังทันที คุณควรรีบเข้าไปช่วย เช่น ปรับโครงสร้างงานใหม่ แบ่งงานซ้ำซ้อนออกให้เพื่อนร่วมทีมรับผิดชอบ ปรับลำดับความสำคัญให้ชัดเจนขึ้น หรือล็อบบี้ผู้บริหารให้เพิ่มทรัพยากร (เช่น คนเพิ่ม หรือระบบอัตโนมัติมาช่วย)
เพราะพนักงานกลุ่มนี้มักจะ 'ทนจนถึงที่สุด แล้วหายไปเลย' หรือไม่ก็เริ่มเข้าสู่ภาวะ 'Quiet Quitting' ที่เขายังอยู่...แต่งานและใจเขาไม่ได้อยู่กับคุณแล้ว
หัวหน้าที่ดีต้องมี “สัญชาตญาณแห่งความเข้าใจ” ไม่ใช่แค่ “ความพอใจเมื่อเห็นลูกน้องอยู่ดึก” ต้องกล้าชวนคุยเชิงลึก สังเกตสัญญาณความเหนื่อย และกล้าปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานเพื่อรักษาคนเก่งให้อยู่กับทีมได้นานที่สุด
====
🛑 หยุดวัฒนธรรม “อยู่ดึกคือฮีโร่” ก่อนองค์กรจะเสียคนเก่ง
* สังคมการทำงานที่ยกย่องคนที่อยู่ดึก มาทำงานเช้า แต่กลับไม่พูดถึง “คุณภาพของผลลัพธ์” หรือ “ความยั่งยืนของทีม” กำลังพาองค์กรเข้าสู่วิกฤตอย่างช้าๆ
* จากผลสำรวจของ Gallup พบว่า ปัจจัยหลักของ Burnout ไม่ใช่ปริมาณงาน แต่คือการ “ไม่มีการจัดการ” และ “ขาดความยืดหยุ่น” ในการทำงาน
* องค์กรยุคใหม่จึงควรยกเครื่อง KPI และ OKR ให้เน้น “ผลลัพธ์” มากกว่า “การเข้าออฟฟิศ” และ “เวลาทำงาน”
* ยิ่งไปกว่านั้น ผู้นำองค์กรต้องแสดงออกอย่างชัดเจนว่าการรักษาสมดุลชีวิตคือ “ค่านิยมร่วม” ไม่ใช่แค่สโลแกนบนเว็บไซต์ และต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่คนกล้าพูดว่า “เหนื่อย” โดยไม่กลัวเสียภาพลักษณ์
====
💡 แล้วเราควรทำอย่างไร? (Action Guide)
สำหรับพนักงาน
* กล้าบอกลาชั่วโมงทำงานที่ไม่จำเป็น
* วางแผนล่วงหน้าและลำดับงานอย่างมีเป้าหมาย
* ประเมินตัวเองเสมอว่างานที่ทำมี Impact จริงหรือแค่ Busy
* ฝึกนิสัยจดบันทึกเวลาที่ใช้จริง และรีวิวงานรายสัปดาห์
สำหรับหัวหน้า
* วัดผลจากคุณภาพและความตรงเวลา ไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์ของความยุ่ง
* ถามลูกทีมว่า “คุณโอเคไหม?” มากพอเท่ากับการถามว่า “งานเสร็จหรือยัง!”
* หมั่นสังเกตความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ และสร้างพื้นที่ปลอดภัยทางจิตใจ
สำหรับองค์กร
* ปรับระบบให้รองรับการทำงานแบบยืดหยุ่น ทั้งเวลาและสถานที่
* ยกเลิกวัฒนธรรม "ใครอยู่ถึงดึกสุดคือคนเก่ง"
* สร้างระบบให้พนักงานรู้สึกปลอดภัยที่จะพูดว่า “ไม่ไหว” โดยไม่โดนมองว่าไม่ทุ่มเท
* ฝึกอบรมผู้นำทุกระดับให้มีความเข้าใจด้าน well-being และความยั่งยืนของทีม
* สร้างระบบ recognition ที่ยกย่องผลลัพธ์ ไม่ใช่ชั่วโมงทำงาน
====
🏁 ดังนั้น ความคุ้มค่าคือปลายทาง ไม่ใช่ความเหนื่อยล้า
คำว่า “ทำงานหนัก” จะไม่มีความหมายเลย ถ้าไม่มีอะไร “เกิดขึ้นจริง” จากความเหน็ดเหนื่อยนั้น
อย่าหลงชื่นชมความอดนอนโดยลืมมองความสำเร็จที่แท้จริง
อย่าปล่อยให้วัฒนธรรม “โชว์ยุ่ง” กลบเสียงของคนที่สร้าง Impact เงียบ ๆ แต่มั่นคง
และเหนือสิ่งอื่นใด อย่าลืมว่า...
“คนที่ทำงานดีที่สุด คือคนที่สามารถรักษาสุขภาพ ความสัมพันธ์ และความฝันไว้ได้ พร้อมกับสร้างผลงานที่เปลี่ยนองค์กรไปข้างหน้า”
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#Productivity
#WorkSmartBeforeWorkHard
#OrganizationalCulture
โฆษณา