Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
“วันละเรื่องสองเรื่อง”
•
ติดตาม
10 พ.ค. เวลา 07:03 • ธุรกิจ
ร้านหรูเริ่ม 'เหงา'? ถอดรหัสสารพัดเหตุผล ทำไม Fine Dining-Omakase ไม่คึกคักเหมือนเก่า 🍽️🤔💸
"เศรษฐกิจแย่ คนรวยยังต้องรัดเข็มขัด ร้านอาหารหรูๆ เลยไม่มีคนกิน"... ประโยคนี้เราคงได้ยินกันหนาหูในช่วงนี้ใช่ไหมครับ? ซึ่งถ้าจะว่ากันตามตรง มันก็ "ถูกครึ่งเดียว" ครับ
เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าในภาวะที่เศรษฐกิจโดยรวมดูจะฝืดเคือง ตลาดหุ้นก็ไม่ค่อยสดใสต่อเนื่องมาสักพักใหญ่ "Wealth" หรือความมั่งคั่งของใครหลายคน โดยเฉพาะกลุ่มคนระดับกลางถึงบน มันก็อาจจะ "หด" ลงไปบ้าง ทำให้การจะควักกระเป๋าจ่ายอะไรแต่ละทีก็ต้อง "คิดแล้วคิดอีก" และแน่นอนว่าบรรดาร้านอาหารประเภท Fine Dining, Chef's Table หรือ Omakase ที่คอร์สหนึ่งก็หลายพันหรือทะลุหมื่น ก็มักจะเป็น "ตัวเลือกแรกๆ ที่ถูกตัดออก" จากลิสต์รายจ่ายฟุ่มเฟือยไปโดยปริยาย
กระเป๋าตังค์มันแฟบลง จะให้ไปนั่งละเลียดอาหารคอร์สหรูบ่อยๆ ก็คงต้อง "คิดหนัก" กันหน่อยล่ะครับช่วงนี้ ยิ่งถ้าเจอค่าครองชีพอื่นๆ พุ่งสวนทางกับรายได้...มื้อโอมากาเสะที่เคยใฝ่ฝันอาจจะต้อง "พับโครงการ" เก็บไว้ในใจไปก่อน
แต่เดี๋ยวก่อนครับ! ปัญหาที่ร้านอาหารหรูหลายแห่งเริ่มจะดู "เหงาๆ" ลูกค้าไม่คึกคักเหมือนช่วงก่อนหน้านี้ มันอาจจะไม่ได้มีแค่ "เรื่องเศรษฐกิจ" เป็นพระเอกขี่ม้าขาว (หรือม้าดำ?) เพียงอย่างเดียว วันนี้ #วันละเรื่องสองเรื่อง จะขอชวนทุกท่านมาสวมบท "นักชิมสายวิเคราะห์" ลองถอดรหัส "สาเหตุอื่นๆ" ที่น่าสนใจ ซึ่งอาจจะอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์นี้ จากมุมมองของ "คนกิน" ตัวจริงเสียงจริงกันครับ
====
🎯 1. ลูกค้าหลักคือ "นักท่องเที่ยว" ไม่ใช่ "คนท้องถิ่น" หรือเปล่า?
อันนี้เป็นข้อสังเกตที่น่าสนใจนะครับ ร้านอาหารหรูหลายแห่ง โดยเฉพาะที่เปิดในย่านท่องเที่ยวหรือโรงแรมห้าดาว อาจจะ "Position" ตัวเองไว้สำหรับ "นักท่องเที่ยวต่างชาติกระเป๋าหนัก" เป็นกลุ่มลูกค้าหลัก ไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่ต้อนรับคนไทยนะครับ แต่กลยุทธ์การตลาด การออกแบบเมนู หรือแม้แต่ราคา อาจจะเน้นตอบโจทย์นักท่องเที่ยวมากกว่า
พอคนไทยที่ "รู้ลึกรู้จริง" เรื่องร้านอาหารในบ้านเรา และมีตัวเลือกในใจมากมาย ก็อาจจะ "เลือกไม่เข้าร้าน" เหล่านี้ก็ได้
ดังนั้น ปัจจัยเศรษฐกิจ "ในประเทศ" อย่างเดียวอาจจะไม่ใช่ตัวแปรหลักเท่ากับ "สถานการณ์ภาคการท่องเที่ยว" โดยรวม พอช่วงไหนนักท่องเที่ยวซบเซา (ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม) ร้านเหล่านี้ก็อาจจะ "ทรุด" ตามไปด้วยอย่างเห็นได้ชัด...เรียกว่าพึ่งพานักท่องเที่ยวเป็นหลัก พอเขาไม่มา เราก็ "วูบ"
====
📸 2. เสพ "ประสบการณ์" และ "คอนเทนต์" มากกว่า "รสชาติ" (ที่อาจจะซ้ำ)?
ข้อนี้หลายคนน่าจะพยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วย! ผมว่ามีคนจำนวนไม่น้อยเลยครับ ที่ไปทาน Fine Dining, Chef's Table หรือ Omakase เพื่อ "เสพประสบการณ์" ที่แปลกใหม่ ไป "ถ่ายรูปสวยๆ" อวดลงโซเชียลมีเดีย ไป "เช็กอิน" ในสถานที่เก๋ๆ ซึ่งมันก็ไม่ผิดนะครับ เพราะร้านเหล่านี้เขาก็ขาย "ประสบการณ์" และ "เรื่องราว" ควบคู่ไปกับอาหารอยู่แล้ว
แต่คำถามสำคัญคือ...ใครจะไป "เสพประสบการณ์เดิมซ้ำๆ" บ่อยๆ ล่ะครับ? เมื่อไปลองมาแล้ว ถ่ายรูปแล้ว เช็กอินแล้ว ความตื่นเต้นมันก็อาจจะลดลง ร้านอาหารแนวนี้จึงมีแนวโน้มที่จะ "พึ่งพาลูกค้าเก่า" ได้น้อยกว่าร้านอาหารทั่วไปที่เราสามารถกินได้เรื่อยๆ บ่อยๆ โดยไม่เบื่อ
วงจรของร้านประเภทนี้จึงมักจะ "เกิดขึ้น" อย่างรวดเร็วในช่วงแรกที่คนยังเห่อ "รุ่งเรือง" อยู่พักหนึ่งเมื่อเป็นกระแส และค่อยๆ "แผ่วลง" ไปตามกาลเวลา เพราะมันอาจจะถึง "จุดอิ่มตัว" ของร้านอาหารแนวนี้ที่แข่งกันเปิดตัวอย่างคึกคักในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็ได้
====
💸 3. "เทรนด์โลกเปลี่ยน": ความคุ้มค่า (Value for Money) มาแรง แซงความหรูหรา?
อีกประเด็นที่น่าคิดคือ "ค่านิยม" ของผู้บริโภคที่กำลังเปลี่ยนไปครับ สมัยนี้การกินของแพงๆ เพื่อ "แสดงตัวตน" หรือ "อวดฐานะ" มันอาจจะเริ่ม "เอ้าท์" หรือดูไม่ "คูล" เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะครับ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ (Gen Z, Millennials) พวกเขามองเรื่อง "ฟังก์ชันการใช้งานที่แท้จริง", "ประโยชน์ที่ได้รับอย่างเป็นรูปธรรม", และที่สำคัญคือ "ความคุ้มค่า" (Value for Money) มากขึ้น
จะเพราะเงินในกระเป๋าน้อยลงด้วยไหม? ก็อาจจะมีส่วนอยู่บ้างครับ แต่ที่แน่ๆ คือ "เทรนด์มันเปลี่ยน" ไปแล้วจริงๆ หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า "ทำไมเราต้องจ่ายแพงกว่าสองถึงสามเท่า เพื่อของที่ดีขึ้นกว่าเดิมแค่นิดเดียว?"
นาทีนี้ ผมเชื่อว่าในมุมมองของใครหลายคน การใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือยโดยไม่สมเหตุสมผลมันอาจจะดู "เชย" หรือ "ไม่ฉลาด" ไปแล้วด้วยซ้ำ (แต่แน่นอนครับ ถ้าใครมีกำลังทรัพย์เหลือเฟือ จะจ่ายเพื่อความสุขส่วนตัว อันนี้ก็ไม่ว่ากันอยู่แล้ว)
====
🤔 4. "ไม่อิ่ม" และ "อาจจะไม่ถูกจริต" เสมอไป (เสียงจากคนกินจริง)
อันนี้ขออนุญาตแชร์จาก "ประสบการณ์ส่วนตัว" ของผมเอง (และเชื่อว่าหลายคนก็อาจจะรู้สึกคล้ายๆ กัน) ที่เคยไปลองลิ้มชิมรส Chef's Table หรือ Fine Dining มาบ้าง (แบบนิดๆ หน่อยๆ พอกระเป๋าจะอำนวยนะครับ) ถามว่าอาหารมัน "อร่อย" ไหม?
อันนี้คงต้องบอกว่า "แล้วแต่ลิ้นคนจริงๆ ครับ" รสชาติเป็นเรื่องปัจเจกมากๆ ตอบแทนกันไม่ได้จริงๆ แต่สิ่งที่ผม (และเพื่อนร่วมโต๊ะอีกหลายคน) มักจะรู้สึกเหมือนกันหลังจบคอร์สคือ..."มันไม่อิ่มอ่ะครับ!" (หัวเราะ) นั่งละเมียดละไมบรรจงชิมทีละคำอย่างตั้งใจเป็นชั่วโมงๆ แต่พอเช็กบิลล์เสร็จสรรพ เดินออกจากร้าน สิ่งที่ต้องทำต่อคือ "แวะหาบะหมี่เกี๊ยวข้างทาง หรือข้าวต้มรอบดึกกินต่อ"...มันก็จะ "เวรแท้ๆ" หน่อยนะครับ
เลยได้ข้อสรุปกับตัวเอง (และอาจจะกับอีกหลายคน) ว่าอาหารแนวนี้อาจจะ "ไม่ค่อยถูกจริต" กับสายแข็งที่เน้น "อิ่มจริงจัง" เท่าไหร่นัก
====
🍣 5. แล้ว "บุฟเฟต์พรีเมียม" ล่ะ? กำลังแข่งกัน "อัปราคา" จนคนกินตามไม่ไหวหรือเปล่า?
ทีนี้ลองหันมามองที่ตลาด "บุฟเฟต์พรีเมียม" กันบ้างครับ ผมมีความรู้สึกส่วนตัวว่าหลายร้านกำลัง "แข่งกันผิดทาง" อยู่นิดหน่อย คือพากันไปแข่งกันที่ "ความพรีเมียมสุดขีด" แล้วก็พลอย "แข่งกันขยับราคา" ทะยานขึ้นไปเรื่อยๆ จนน่าตกใจ จากสมัยก่อนที่เรารู้สึกว่าบุฟเฟต์หัวละ 1,500++ บาท นี่ก็ "หรูหราอลังการ" แล้วนะ แต่เดี๋ยวนี้ราคา 2,000++, 2,500++ หรือแม้แต่ 5,000++ ก็มีให้เห็นกันเป็นเรื่องปกติ!
แต่ประเด็นคือ..."กระเพาะเรามันเท่าเดิมนะครับ" แถมกระเป๋าสตางค์ของคนกินเผลอๆ อาจจะ "หดเล็กลง" กว่าเดิมด้วยซ้ำ ส่วนวัตถุดิบดีๆ ที่ร้านแข่งกันใส่เข้ามาอย่าง วากิว A5, ฟัวกราส์, หรืออูนิเกรดพรีเมียม...ยอมรับครับว่ามันดีจริง แต่พอเป็นบุฟเฟต์ กินได้สามสี่คำก็เริ่ม "เลี่ยน" แล้วครับ
สุดท้ายกลายเป็นว่าจ่ายเงินแพงแต่กินได้ไม่คุ้มค่าเท่าที่ควร สู้เก็บเงินจำนวนนั้นไปกินร้าน A La Carte ดีๆ ที่เลือกสั่งเฉพาะสิ่งที่อยากกินจริงๆ อาจจะ "ตอบโจทย์" และ "อิ่มอร่อย" แบบไม่ทรมานกระเพาะมากกว่า แถมไม่ต้องเหนื่อยไปวิ่งเบิร์นออกทีหลังด้วย
"ถ้าร้านบุฟเฟต์พรีเมียมอยากจะ 'แข่งกันอย่างสร้างสรรค์' จริงๆ นะครับ ลองเปลี่ยนเกมมาแข่งกัน 'ใส่ของให้ดีมีคุณภาพกว่าคู่แข่ง ในราคาที่ไม่หนีจากตลาดมากนัก' หรือ 'สร้างความแตกต่างที่จับต้องได้และคุ้มค่าจริงๆ' แบบนี้สิครับ ผมว่ายังไงก็มีคนต่อคิวกินแน่นอน"
====
💡 "เสียงจากคนกิน" ที่ธุรกิจร้านอาหาร (หรู) ควรรับฟัง?
ทั้งหมดที่เล่ามานี้ คือการวิเคราะห์จาก "มุมมองของคนกินคนหนึ่ง" นะครับ ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดหรือธุรกิจอาหารแต่อย่างใด แต่มันคือ "เสียงสะท้อน" ที่ผมเชื่อว่าผู้ประกอบการร้านอาหาร โดยเฉพาะกลุ่มร้านอาหารหรูและพรีเมียม ควรจะเปิดใจรับฟังและนำไปพิจารณา
การทำธุรกิจร้านอาหารในยุคที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และสภาวะเศรษฐกิจก็เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนแบบนี้ นอกจาก
* "รสชาติอาหาร" ที่ต้องอร่อยถูกปาก
* "บรรยากาศร้าน" ที่ต้องสวยงามน่าประทับใจ
* "ความเข้าใจอินไซต์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป"
* "ความคุ้มค่าที่พวกเขามองหา"
และ "ความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์" คือหัวใจสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจของคุณสามารถยืนหยัดอยู่รอดและเติบโตต่อไปได้ในระยะยาว
"ในวันที่กระเป๋าสตางค์ของผู้บริโภคต้อง 'คิดหนัก' ก่อนจ่ายทุกครั้ง ธุรกิจร้านอาหารที่ 'คิดละเอียด' และ 'ใส่ใจความรู้สึกของลูกค้า' อย่างแท้จริงเท่านั้น ที่จะยังคง 'นั่งอยู่ในใจ' และเป็นตัวเลือกแรกๆ ของพวกเขาได้เสมอ"
อย่ามัวแต่แข่งขันกันที่ "ความหรูหราอลังการ" จนลืมไปว่า "ความสุข" ที่แท้จริงของคนกินนั้น บางทีมันก็เรียบง่ายและจับต้องได้มากกว่าที่เราคิด...
บางครั้ง "บะหมี่เกี๊ยวชามโปรดข้างทาง" อาจจะเอาชนะ "คอร์สอาหารสุดหรูราคาหลายหมื่น" ได้อย่างราบคาบ ถ้ามันสามารถตอบโจทย์ "ความอิ่ม อร่อย และความคุ้มค่า" ในวันนั้นๆ ของพวกเขาได้อย่างลงตัว
ที่มา : จากคำบ่นในสถานการณ์ร้านอาหารของเชฟคนดังท่านหนึ่ง เรื่องความรู้สึก “เผาจริง” ของธุรกิจร้านอาหาร
https://www.facebook.com/share/16CiGVacJc/?mibextid=wwXIfr
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#ร้านอาหารหรู
#FineDining
#Omakase
#บุฟเฟต์พรีเมียม
#พฤติกรรมผู้บริโภค
#เศรษฐกิจ
ร้านอาหาร
food
1 บันทึก
2
1
1
2
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย