12 พ.ค. เวลา 10:23 • ไลฟ์สไตล์
เดี๋ยวผมอธิบายให้เห็นความชัดเจนยิ่งขึ้น
1
เริ่มจาก "เฉลียว" ก่อนแล้วกัน
เฉลียวน่ะ มันให้ความรู้สึกแบบว่า
นึกระแวงขึ้นมา นึกสงสัยขึ้นมา หรือไหวพริบดี
1
"ฉลาด แต่ ไม่เฉลียว"
= มีความรู้ แต่ขาดความสงสัยเผื่อเหลือ
= ความประมาท ไม่มีแผนสำรองรับมือฉุกเฉิน
หรือ เฉลียว แต่ไม่ฉลาด
= สงสัยไปทั่ว แต่ขาดองค์ความรู้ในการรับมือ วิตกกังวลเหมือนโรคประสาท คลำเส้นทางแบบย้ำคิดย้ำทำ ปั่นป่วน ไม่กล้าตัดอะไรทิ้ง คิดว่าทุกสิ่งคือประเด็น ระแวง อาจจะเป็นอย่างนั้น อาจจะเป็นอย่างนี้ คิดว่าทุกอย่างก็สำคัญไปหมด เผื่อเหลือเผื่อขาดไปซะหมด เป็นพญาอินทรีที่ไร้ระเบียบแผนการ แก้ปัญหาแบบสะเปะสะปะ จิตตก เก็บเรื่องทุกอย่างมารับมือ เพราะสงสัยทุกสิ่งจึงเตรียมพร้อมทุกอย่าง เหมือนจะเก่งแต่ไร้ปัญญา สิ้นเปลืองงบประมาณ หมดพลังงานชีวิตไปกับความวิตกสงสัย
1
เอาล่ะ ทีนี้เรามาพูดถึงการแก้ปัญหาแบบชาญฉลาดกันดูบ้างก็แล้วกัน
แก้ปัญหาแบบ"ฉลาด"
= มันคือการตั้งคำถาม ตั้งโจทย์ ที่จะแก้ไขอย่างชัดเจน มีการกำหนดจุดประสงค์ ว่าเพื่ออะไร ทำไมถึงต้องแก้ จำเป็นไหม เร่งด่วนและสำคัญไหม
แก้ปัญหาแบบ"ฉลาด" ต้องแก้ที่เหตุ
ไม่ใช่เอาผลที่เกิดขึ้นมาแก้
เช่น
เศรษฐกิจไม่ดี ประชาชนลำบาก
รัฐบาลจึงสร้างนโยบายแจกเงิน
ตัวอย่างนี้แสดงถึงความไม่ฉลาด มันคือการแก้ปัญหาที่ผล เรียกว่าการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ต้นเหตุมันก็ยังคงอยู่ต่อไป เศรษฐกิจก็กลับมาพังเหมือนเดิม แทนที่จะแก้ที่ต้นเหตุหรือการเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ แก้ปัญหาการผูกขาด เหลื่อมล้ำอย่างลึกซึ้ง แก้ปัญหาโซ่ตรวนที่ผูกขาดความจน หรือแก้ปัญหาโครงสร้างที่ไม่สามารถตรวจสอบและไม่ยึดโยงกับประชาชน ให้จบหรือเบ็ดเสร็จตลอดกาล แต่กลับไม่ทำ
2
เมื่อเอา 2 คำนี้มารวมกัน
จะได้คำว่า "เฉลียวฉลาด"
เฉลียว + ฉลาด = ปัญญา
ตัวอย่างเช่น
เมื่อเรารู้ว่า ประเทศของเราเป็นประเทศเล็กๆ เราไม่หลอกตัวเองนะ เรายอมรับความจริงว่าเราเป็นประเทศที่ไม่ได้มีอำนาจหรือทรงพลานุภาพขนาดนั้น เรามีความ"เฉลียว"ว่า ถ้าหากเกิดสงครามเศรษฐกิจระหว่างประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่จนกลายเป็นสงครามโลกระหว่างจีนและอเมริกา เราวางแผนว่าเราจะอยู่ตรงไหนในสงคราม และทำให้ประเทศไทยของเราอยู่รอด โดยที่เราจะไม่ผิดใจกับจีนหรืออเมริกา ไม่ว่าฝ่ายใดจะชนะก็ตาม นี่คือจุดประสงค์และแผน
1
วิธีการคือ
เรารู้ว่าประเทศไทยเรา มีคนจีนเข้ามาสร้างปัญหาเศรษฐกิจในประเทศเราค่อนข้างเยอะ เราเฉลียวว่าถ้าเราปราบปรามคนจีนแบบเหมารวมอย่างเข้มงวดมากเกินไป ประเทศจีน สีจิ้นผิง อาจจะไม่ปลื้มประเทศไทย อาจส่งผลความสัมพันธ์ระหว่างไทยจีน ถ้าหากสมมุติว่าในอนาคตจีนเป็นฝ่ายชนะสงครามกุมอำนาจอยู่ในกำมือ ประเทศไทยเราก็คงถูกมองไม่ดีในสายตาของจีน ดังนั้นเราต้องเผื่อเหลือเผื่อขาด เราต้องป้องกันตนเองพร้อมกับรักษาความสัมพันธ์ ทั้งจีนและอเมริกาไว้ให้ได้
1
แม้ว่าประชาชนในชาติจะกระหน่ำด่าวิธีแก้ปัญหานี้ขนาดไหนก็ตาม หากในอนาคตเผื่อไม่เป็นไปตามแผน ประเทศไทยของเราจะยังคงสภาวะเป็นพันธมิตรแบ่งรับแบ่งสู้ทั้งสองประเทศ และอยู่รอด รับความเสี่ยงต่ำ และมีเปอร์เซ็นต์สูงที่ประเทศมหาอำนาจ ส่งเสริมหรือสารสัมพันธ์อันดีกับประเทศเรา ในขณะเดียวกันเผื่ออเมริกาคุมอำนาจในมือ ประเทศไทยของเราก็ยังขึ้นชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยเสรีนิยม ถึงแม้ว่าเนื้อในประเทศของเราจะมีการเล่นคลื่นใต้น้ำที่มีบุคคลชั้นสูงเดินทางสานสัมพันธ์กับจีนมาตั้งแต่อดีต เชิดชูคอมมิวนิสต์แบบเอิกเกริกก็ตาม 😅
1
จุดประสงค์ก็คือ เผื่อว่า ไม่ว่าทางใดของปัญหา ประเทศของเราจะไม่โดนผลกระทบจากสงครามมากนัก แม้ว่าประชาชนจะประนามด่า แต่ยังน้อยประเทศของเรา ก็จะไม่ไปถึงจุดต่ำสุดของวิกฤตแน่นอน เพราะทั้ง 2 ประเทศยักษ์ใหญ่จะมองไทยที่ไม่ได้อยู่ในเกมของเขา ประเทศเราจะโดนวิกฤตสงครามน้อยหรือเขตปลอดสงคราม
ยกตัวอย่างเช่น สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
จอมพล ป. พิบูลสงคราม ฝักใฝ่ญี่ปุ่น ในขณะที่ปรีดีพนม ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น และนำพาประเทศไทยหลีกเลี่ยงการเป็นประเทศที่แพ้สงคราม ยังคงสถานะความสัมพันธ์อันดีกับอเมริกาต่อไป
สมมุติว่าเยอรมันกับญี่ปุ่นเป็นฝ่ายชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยที่มีจอมพล ป. เป็นนายกรัฐมนตรีในตอนนั้นก็ยังอ้างสิทธิ์ในการเข้าข้างและให้ความร่วมมือกับญี่ปุ่นเป็นอย่างดี ทำให้เรากลายเป็นประเทศที่ชนะสงครามไปได้
เสร็จนา ฆ่าโคถึก
เสร็จศึก ฆ่าขุนพล
1
ประเทศไทย นก 2 หัว รัฐประหาร
1
อเมริกา ประชาธิปไตย มีพรรคการเมือง 2 พรรค ประเทศจีนคอมมิวนิสต์ นโยบายเข้มข้น ส่งเสริมด้วยรัสเซีย มีด่านหน้าเป็นป้อมปราการคอมมิวนิสต์อยู่ที่เกาหลีเหนือ
ตกลงโลกนี้ระบบการปกครองมันต่างกันแค่ชื่อหรืออย่างไร
โลกนี้มันอะไรกันวะ
เฮ้อ.. กู มาเรื่องนี้ได้ไงเนี่ย 😂
2
โฆษณา