Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
“วันละเรื่องสองเรื่อง”
•
ติดตาม
13 พ.ค. เวลา 01:26 • ธุรกิจ
ยอดขายตก…ไม่ใช่เพราะตลาดเปลี่ยน แต่เพราะคุณยังขายเหมือนเดิม?
(7 พฤติกรรมของเจ้าของธุรกิจ ที่อาจทำให้ทีม ‘ติดหล่ม’ โดยไม่รู้ตัว)
วันหยุดที่ผ่านมาร้านเครื่องดื่มประจำของผู้เขียนก็บ่นว่า “ช่วงนี้ไม่ไหวเลยพี่ ยอดตกไปเยอะเลย?” จึงเกิดการสนทนากับเจ้าของร้าน และเป็นจุดเริ่มต้นของคำถามที่คนทำร้านต้องถามตัวเองให้ลึกขึ้นในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้
เพราะธุรกิจที่อยู่รอดในยุคที่เปลี่ยนไว ไม่ใช่ธุรกิจที่ “ขายเก่งที่สุด” แต่คือธุรกิจที่ “กล้าตั้งคำถามกับตัวเองให้ไวที่สุด” และ “กล้าเปลี่ยนก่อนที่ลูกค้าจะเปลี่ยนใจ”
บทความนี้ไม่ได้ชวนมาบ่นว่าเศรษฐกิจแย่อย่างไร? แต่มาชวนเจาะลึก “7 พฤติกรรม” ที่เจ้าของธุรกิจหลายคน (โดยไม่รู้ตัว) กำลังทำให้ทีม ‘ขายยากขึ้น’ โดยไม่จำเป็น — และอาจเป็นสาเหตุหลักที่ยอดขายไม่ไปไหนสักที
====
1. ยังใช้ KPI เดิมในโลกที่ลูกค้าไม่เหมือนเดิม 📊❌
“ทำยอดให้ได้ 20% จากเดือนที่แล้วนะ” — แต่ไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลยจากเดือนที่แล้ว
หลายองค์กรยังวัดผลทีมขายจากจำนวน “ชิ้นที่ขายได้” หรือ “รายได้รวม” โดยไม่ได้อัปเดตวิธีวัดให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
ลูกค้ายุคนี้ไม่เดินเข้าร้านง่าย ๆ อีกต่อไป
เขา search รีวิว เปรียบเทียบผ่านแอปฯ บางทีถาม AI เลย และเลือกสิ่งที่ “ใช่ที่สุด” แทนที่จะซื้อจากคนที่ “ขายเก่งที่สุด
กรณีศึกษา
* ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าในเชียงใหม่ ยอดขายตกต่อเนื่อง 4 ไตรมาสติด จนผู้บริหารตัดสินใจปรับ KPI จาก “ยอดขายรายวัน” เป็น “จำนวนการสนทนาลึกกับลูกค้า”
* ทีมเริ่มเปลี่ยนจากการเอาแต่เชียร์ขาย → “เป็นการเข้าใจความต้องการ”
* ภายใน 2 เดือน ยอดขายกลับมาโต 17% แบบไม่ต้องใช้โปรแรงเลย
ดังนั้น “อย่าวัดผลด้วยไม้บรรทัดของอดีต ถ้าลูกค้ากำลังเดินอยู่บนเส้นทางใหม่”
====
2. ไม่เคยฟังเสียงจาก ‘จุดสัมผัสจริง’ 🛍️👂
“เดี๋ยวคิดแผนใหม่ในห้องประชุม” — โดยไม่เคยถามพนักงานหน้าร้านหรือลูกค้าตัวจริง
หลายธุรกิจวางกลยุทธ์จาก spreadsheet มากกว่าจาก “สนามจริง”
ทั้งที่เสียงจากพนักงานหน้าร้าน หรือพนักงานที่คุยกับลูกค้าทุกวัน คือขุมทองของ insight ที่หาไม่ได้จาก report ไหน
ตัวอย่างเช่น
* แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ไทยทุ่มงบโปรโมต “ลายไม้สีเทา” เพราะเชื่อตามเทรนด์โซเชียล
* แต่พนักงานหน้าร้านกลับบอกว่า “ลูกค้า 80% ยังเลือกโทนน้ำตาล”
* “เสียงนี้กลับถูกมองข้าม”…จนต้องระบายสต๊อกด้วยการลดราคายกล็อตในไตรมาสถัดไป
คำถามที่ผู้นำควรถาม
• พนักงานคนไหนคือคนที่ฟังลูกค้ามากที่สุด?
• วันนี้คุณได้คุยกับเขาโดยตรงหรือยัง?
• องค์กรเอาเสียงลูกค้ามาปรับกลยุทธ์การทำงานอย่างไร?
====
3. มัวแต่รอ “ไอเดียใหญ่” เลยไม่ขยับเล็กๆ สักที 🐘⏳
“ขอเวลาทำแพลนก่อนนะ ต้องให้พร้อมจริง ๆ” — แล้วก็ไม่เริ่มสักที
ธุรกิจที่โตในยุคนี้ไม่ใช่ธุรกิจที่ “พร้อมที่สุด” แต่คือธุรกิจที่ “กล้าเริ่มเร็วที่สุด”
เพราะลูกค้าเปลี่ยนทุกวัน ถ้ารอจนทุกอย่างเป๊ะ…คนก็ไปเลือกแบรนด์อื่นแล้ว
ตัวอย่างเช่น
* คาเฟ่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ คิดสูตรกาแฟใหม่อยู่นาน แต่ไม่กล้าปล่อย จนวันหนึ่งเจ้าของร้านเขียนป้ายกระดาษติดไว้หน้าเคาน์เตอร์ว่า
* “ลองสูตรใหม่ shot แรกฟรี!”
* ใน 2 สัปดาห์ มีคนลองเมนูดังกล่าวกว่า 600 คน และยอดขายเมนูใหม่กลายเป็นอันดับ 1 ของร้าน — โดยไม่ต้องซื้อ ads เลย
ดังนั้น กลยุทธ์ใหญ่ เริ่มจากการ “กล้าเปลี่ยนเล็ก ๆ” แล้วเรียนรู้ไปพร้อมลูกค้า
====
4. ตัดงบการตลาด ก่อนเข้าใจว่าเงินนั้นสร้างผลลัพธ์แบบไหน ✂️💸📉
“ช่วงนี้ต้องประหยัด งบโฆษณาตัดหมดก่อน” — แต่ไม่รู้ว่าตัดอะไรออกไปบ้าง
หลายคนเข้าใจผิดว่า ads ไม่จำเป็น เพราะ “ยอดก็ไม่ได้ขึ้นอยู่ดี” แต่ลืมดูว่า ads ไม่ได้ทำให้ลูกค้าซื้อทันที แต่ทำให้แบรนด์ “ยังอยู่ในสายตา” — และนั่นคือเงื่อนไขเบื้องต้นของทุกการขาย
ตัวอย่างเช่น
* ธุรกิจ delivery แห่งหนึ่งตัดงบ influencer ทั้งหมดเพราะ “ไม่เห็นยอดโต” แต่พอตัดปุ๊บ…ลูกค้าใหม่หายปั๊บ
* เพราะนั่นคือช่องทางแรกที่ลูกค้าเจอแบรนด์ — แม้จะยังไม่ได้กดสั่งทันที แต่คือ “จุดเริ่มต้นของความคุ้นเคย”
ดังนั้น อย่าเพิ่งตัด “ทางเข้าร้าน” ถ้ายังไม่รู้ว่าคนเข้าเพราะอะไร
====
5. ให้ทีมขาย “ขาย” อย่างเดียว แต่ไม่เคยบอกว่าแบรนด์จะไปทางไหน 🧭🗣️
“หน้าที่เซลส์คือปิดดีล” — แต่ไม่เคยอธิบายว่าแบรนด์กำลัง reposition อยู่
เวลาคุณเปลี่ยนแพ็กเกจ เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย หรือ reposition แบรนด์ใหม่
ถ้าทีมขายไม่เข้าใจ พวกเขาจะพูดผิด tone และพาแบรนด์ผิดทิศ
ตัวอย่างวิธีคิดของ Adobe
ก่อนปล่อยแคมเปญ ทีม enablement จะส่ง “3 อย่างที่ทีมขายต้องรู้” ทุกครั้ง
1. Key Message?
2. Use Case ที่ต้องเล่า?
3. คำถามที่ลูกค้าน่าจะถาม? (พร้อมแนวทางตอบ)
ดังนั้น ธุรกิจจของคุณมี “ภาษากลาง” ที่ทีมขายใช้ตรงกันทั้งบริษัทหรือยัง?
====
6. กลัวเสียหน้า จนไม่กล้าทดลองอะไรเลย 🫣🧪
“อย่าเพิ่งลอง เดี๋ยวพลาดแล้วเสียชื่อ” — แต่ยอดก็ไม่ขยับอยู่ดี
ผู้นำหลายคนมีไอเดียดี แต่ไม่กล้าเริ่ม เพราะ “กลัวเสียฟอร์ม”
ทั้งที่การกล้ายอมรับว่าอะไรไม่เวิร์ก คือหัวใจของการเป็นธุรกิจที่ปรับตัวได้
สูตร F.O.G. สำหรับผู้นำยุคนี้
• “F = Frame ใหม่” - ความล้มเหลว = ข้อมูล
• “O = Own it” - ผู้นำที่ขอโทษได้ คือผู้นำที่น่าเชื่อถือ
• “G = Go First” กล้าลองก่อน ให้ทีมเห็นว่าความเสี่ยงมันปลอดภัย
“คนที่กล้าล้ม” จะเป็นคนเดียวที่กล้าสร้างของใหม่จริง ๆ
====
7. มองลูกค้าเป็นภาระ แทนที่จะมองว่าเขาคือโอกาสที่ยังเหลืออยู่ 🧍♂️➡️❤️
“ลูกค้าสมัยนี้เรื่องเยอะ” — แต่ไม่เคยย้อนดูว่าตัวเองยังให้สิ่งที่ลูกค้าต้องการอยู่ไหม?
ลูกค้าที่เดินเข้าร้าน ถามข้อมูล ทัก inbox คือ “คนที่ยังให้โอกาสคุณอยู่” แม้จะยังไม่ซื้อทันที และถ้าคุณตอบผิด หรือให้ประสบการณ์ไม่ดี…เขาก็จะไม่กลับมาอีกเลย
ตัวอย่างแนวคิดจาก Shopify
* บริษัทเปลี่ยนคำว่า “Buy Now” เป็น “See Options” ในหน้าแคตตาล็อก ยอด Conversion เพิ่มขึ้นทันที 13%
* เพราะลูกค้ารู้สึกว่า “ฉันยังไม่ต้อง commit” — และนั่นทำให้พวกเขาเปิดใจมากขึ้น
ดังนั้น คุณกำลังขาย หรือคุณกำลังสร้างความมั่นใจ?
====
“ก่อนจะปรับทีมขาย ลองปรับบทบาทผู้นำก่อน” 🎧➡️⚙️
ยอดขายตก…บางทีมันไม่ใช่เพราะพนักงานขายแย่…แต่มันอาจเป็นเพราะคนที่วางระบบการขายยังคิดแบบเดิม
“ผู้นำที่เปลี่ยนได้ไว = ทีมที่ปรับได้จริง” และทีมที่รู้ว่า “หัวเรือฟังเขาอยู่” จะพร้อมพายไปกับคุณ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเปลี่ยนไปทางไหน
“ก่อนจะถามว่าทีมขายทำอะไรพลาด ลองถามตัวเองก่อนว่า…เราในฐานะผู้นำ ยังขายแบบเดิมอยู่หรือเปล่า?”
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#ยอดขายตก
#กลยุทธ์ธุรกิจ
เศรษฐกิจ
การขาย
ธุรกิจ
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย