13 พ.ค. เวลา 03:36 • หุ้น & เศรษฐกิจ

เปิดแผนคลังปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ เพิ่มรายได้รัฐ-ลดความเหลื่อมล้ำ

  • กระทรวงการคลังเตรียมเสนอแผนปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ภายในปีงบประมาณ 2568 ครอบคลุมทั้งภาษีสรรพากร สรรพสามิต และศุลกากร เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ต่อจีดีพีจาก 12-13% เป็น 18% ส่งผลให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น 800,000 ล้านบาทต่อปี ช่วยลดการขาดดุลงบประมาณและนำไปสู่งบประมาณสมดุลได้เร็วขึ้น
  • การปฏิรูปมุ่งสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำผ่านภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างและภาษีการรับมรดก โดยยึดหลักผู้มีทรัพย์สินมูลค่าสูงต้องจ่ายภาษีมากกว่า และผู้ได้รับมรดกเกิน 100 ล้านบาทต้องเสียภาษีในส่วนที่เกิน สะท้อนหลักการ "ผู้มีความมั่งคั่งมากย่อมมีความสามารถในการจ่ายภาษีมากกว่า"
  • แผนการปฏิรูปภาษีมุ่งเน้น 4 เป้าหมายหลัก ได้แก่: ส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันและเติบโตอย่างยั่งยืน, รองรับเศรษฐกิจดิจิทัล, ส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว และสร้างระบบภาษีที่เป็นธรรม ทั่วถึง โปร่งใส ตรวจสอบได้ และสนับสนุนโครงข่ายรองรับทางสังคมและสุขภาพ
  • แม้จะมีความสำเร็จจากการจัดเก็บภาษีที่เกินเป้าในปีที่ผ่านมา แต่ยังมีความท้าทายในการปรับสมดุลระหว่างภาษีทางตรงกับทางอ้อม การรองรับรายได้จากเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ (แพลตฟอร์มดิจิทัล คริปโตเคอร์เรนซี) และการพิจารณาภาษีทรัพย์สินรูปแบบใหม่อย่างภาษีความมั่งคั่ง เพื่อสร้างความเป็นธรรมและกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง
กระทรวงการคลังเตรียมเสนอแผนปฏิรูปการจัดเก็บภาษีครั้งใหญ่ภายในปีงบประมาณ 2568 เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ต่อจีดีพีจาก 12-13% เป็น 18% คาดเพิ่มรายได้กว่า 800,000 ล้านบาทต่อปี ช่วยลดปัญหาการขาดดุลงบประมาณ
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างจัดทำแผนปฏิรูปการจัดเก็บภาษีครั้งใหญ่เพื่อเสนอให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง พิจารณาภายในปีงบประมาณ 2568 นี้ ครอบคลุมทั้งภาษีสรรพากร ภาษีสรรพสามิต และอากรนำเข้าศุลกากร
"ในแผนการปฏิรูปภาษีหากสามารถเก็บรายได้เพิ่มขึ้น 5% จะทำให้คลังมีรายได้ต่อปีเพิ่มขึ้นได้อีก 800,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้ลดปัญหาการขาดดุลงบประมาณ และทำให้สามารถจัดทำงบประมาณสมดุลได้เร็วขึ้น โดยถือเป็นเรื่องท้าทาย ที่เราจะต้องเร่งทำ" นายลวรณกล่าว
ผลการจัดเก็บภาษีครึ่งปีแรกเกินเป้า
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า การจัดเก็บรายได้ครึ่งแรกของปีงบประมาณ 68 (ต.ค.67 – มี.ค.68) กระทรวงการคลังสามารถจัดเก็บรายได้สุทธิรวม 1.19 ล้านล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 1,807 ล้านบาท หรือ 0.2% และเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 26,503 ล้านบาท หรือ 2.3%
ส่วนใหญ่เป็นผลจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการบริโภคภายในประเทศ และการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ อย่างไรก็ตาม รายได้จากภาษีรถยนต์ยังคงต่ำกว่าประมาณการ เนื่องจากการดำเนินมาตรการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ส่งผลให้อัตราภาษีเฉลี่ยลดลงตามโครงสร้างภาษีใหม่
สำหรับผลการจัดเก็บรายได้ของ 3 กรมภาษี ในช่วงครึ่งปีแรก จัดเก็บรวมทั้งสิ้น 1.28 ล้านล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 38,263 ล้านบาท แบ่งเป็น
  • กรมสรรพากรจัดเก็บได้ 966,200 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 36,212 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 10,157 ล้านบาท
  • กรมสรรพสามิตจัดเก็บได้ 264,971 ล้านบาท ต่ำกว่าปีก่อน 4,160 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 21,321 ล้านบาท
  • กรมศุลกากรจัดเก็บได้ 57,365 ล้านบาท ต่ำกว่าปีก่อน 2,109 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 4,235 ล้านบาท
นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า สรรพากรจัดเก็บรายได้เดือน เม.ย. 68 ได้ 171,921 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 11,052 ล้านบาท คิดเป็น 6.9% และสูงกว่าเป้าหมาย 7,732 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดสะสม 7 เดือน จัดเก็บได้ 1.13 ล้านล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 47,325 ล้านบาท และสูงกว่าประมาณการ 17,950 ล้านบาท
แนวคิดการปฏิรูปภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยกับฐานเศรษฐกิจว่า ในช่วงที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้ผลักดันการปฏิรูปภาษีหลายด้านเพื่อสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะการผลักดัน พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 และ พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2558
กระทรวงการคลังได้จัดทำแผนการจัดเก็บรายได้รัฐบาล เพื่อเพิ่มการจัดเก็บรายได้และเพิ่มประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดเก็บภาษี โดยมีเป้าหมายหลัก 4 ข้อ ได้แก่
1. ส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันและสนับสนุนการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน โดยพิจารณาทบทวนการยกเว้นและลดหย่อนต่างๆ ที่ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ การขยายฐานภาษีให้ครอบคลุมในแต่ละกลุ่มผู้มีเงินได้ และการศึกษาแนวทางการจัดเก็บภาษีประเภทใหม่ๆ
2. รองรับกับเศรษฐกิจดิจิทัล โดยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เพื่อปรับปรุงระบบการบริหารจัดเก็บภาษีให้มีความสะดวก รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และง่ายต่อการชำระภาษี
3. ส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว โดยระบบภาษีต้องคำนึงถึงการสร้างแรงจูงใจให้ผู้เสียภาษีลดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สร้างความตระหนักในการดำเนินกิจกรรมที่ไม่สร้างมลภาวะหรือปล่อยก๊าซเรือนกระจก
4. เป็นธรรม ทั่วถึง โปร่งใส ตรวจสอบได้ และสนับสนุนโครงข่ายรองรับทางสังคมและสุขภาพ ระบบภาษีต้องมีความเป็นธรรมและมีความโปร่งใสตรวจสอบได้ ทั้งตามหลักความเป็นธรรมในแนวตั้ง (ผู้มีเงินได้มากกว่าควรเสียภาษีในสัดส่วนมากกว่า) และหลักความเป็นธรรมในแนวนอน (ผู้มีเงินได้เท่ากันต้องเสียภาษีเท่ากัน)
ความสำเร็จและความท้าทายจากการปฏิรูปภาษี
จากการดำเนินการปฏิรูประบบภาษีที่ผ่านมา ได้มีมาตรการสำคัญหลายประการที่ดำเนินการแล้ว เช่น
  • การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการใช้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) จากต่างประเทศ
  • การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท
  • การพัฒนาการยื่นแบบ e-Filing และระบบการจัดทำใบกำกับภาษีและใบรับอิเล็กทรอนิกส์
  • การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลภาษีและธุรกรรมทางการเงิน
  • การกำหนดราคาปริมาณการปล่อยคาร์บอนของสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน
อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปภาษียังคงมีความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะด้านความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการสำรวจและจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงการปรับตัวของผู้เสียภาษีต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษี
มาตรการรองรับการเปลี่ยนแปลงและผลการประเมิน
สำหรับการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ได้มีการกำหนดมาตรการให้ผู้เสียภาษีมีเวลาปรับตัวไว้ใน พ.ร.บ. ภาษีที่ดินฯ โดยในปีแรกที่เสียภาษี ให้ผู้เสียภาษีชำระภาษีส่วนที่ถูกประเมินเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 25 ในปีที่ 2 เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 50 ในปีที่ 3 เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 75 และชำระภาษีเต็มจำนวนในปีที่ 4
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยได้รับฟังปัญหาอุปสรรคและได้ออกกฎหมายลำดับรองเพื่อบรรเทาภาระภาษีเพิ่มเติม เช่น การยกเว้นภาษีให้แก่พื้นที่สีเขียวที่ได้รับการขึ้นทะเบียนโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย และพื้นที่ป่าชายเลนตามที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งกำหนด ซึ่งช่วยแก้ปัญหาการแผ้วถางป่าชายเลนเพื่อแปรสภาพเป็นพื้นที่เกษตร
สำนักงานเศรษฐกิจการคลังร่วมกับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้ประเมินผลสัมฤทธิ์ของ พ.ร.บ. ภาษีที่ดินฯ พบว่ามีความคุ้มค่า โดยในปี 2566 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีที่ดินฯ ประมาณ 36,834 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับรายได้จากภาษีโรงเรือนฯ และภาษีบำรุงท้องที่ที่จัดเก็บได้ในปี 2562 จำนวน 36,527 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. ภาษีที่ดินฯ ให้มีประสิทธิภาพและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น
แนวทางการพัฒนาระบบภาษีในอนาคต
ระบบภาษีไทยในปัจจุบันยังคงพึ่งพาภาษีทางอ้อม เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต ในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง ซึ่งมักส่งผลกระทบในสัดส่วนที่มากกว่าต่อผู้มีรายได้น้อย การปรับสมดุลระหว่างภาษีทางตรงและภาษีทางอ้อมจึงเป็นสิ่งสำคัญ
นอกจากนี้ ยังมีความจำเป็นต้องพัฒนาเครื่องมือทางภาษีให้สามารถรองรับการจัดเก็บจากแหล่งรายได้รูปแบบใหม่ เช่น รายได้จากแพลตฟอร์มดิจิทัล รายได้จากการถือครองคริปโตเคอร์เรนซี หรือกำไรจากการขายหุ้นและอสังหาริมทรัพย์
สำหรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ควรพิจารณาปรับรูปแบบจากการหักค่าใช้จ่าย (Deduction) ไปสู่ระบบเครดิตภาษี (Tax Credit) ที่เป็นอัตราคงที่ ซึ่งจะทำให้ผู้มีรายได้น้อยได้รับประโยชน์ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับผู้มีรายได้สูง
ในส่วนของภาษีทรัพย์สิน อาจพิจารณาต่อยอดไปสู่การศึกษาและออกแบบภาษีทรัพย์สินรูปแบบใหม่เพิ่มเติม เช่น ภาษีความมั่งคั่ง (Net Wealth Tax) สำหรับผู้ที่ถือครองสินทรัพย์จำนวนมาก ซึ่งจะช่วยให้ระบบภาษีสะท้อนความมั่งคั่งที่แท้จริง
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังเชื่อว่า การปฏิรูประบบภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำควรดำเนินควบคู่ไปกับนโยบายด้านสวัสดิการสังคม การโอนย้ายรายได้ของภาครัฐ และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้ระบบภาษีเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนความยุติธรรมทางเศรษฐกิจและเปิดโอกาสที่เท่าเทียมให้กับคนไทยทุกกลุ่มอย่างยั่งยืน
โฆษณา