13 พ.ค. เวลา 01:59 • ความคิดเห็น
ต้องเท้าความก่อนว่าความกตัญญู มันไม่ใช่สิ่งที่เป็นหน้าที่ครับ กตัญญูที่แท้จริง จะมีนัยว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยปัจจัยธรรมชาติ อย่างเช่น พ่อแม่ผู้ปกครองให้การอุปถัมป์เราอย่างดีเยี่ยม รักใคร่เอ็นดูโอบอุ้ม ฟูมฟักให้ลูกเติบใหญ่มาเป็นบุคคลที่ดีมีคุณภาพและคุณธรรม ลูกหลานจึงมีสติ สลักจิต ระลึกได้ ตอบแทนพ่อแม่ผู้ปกครองเป็นความรักความเอาใจใส่ไม่ขาด อย่างนี้คือกตัญญูกตเวทีที่แท้จริง ไม่ใช่มาจากการบังคับขู่เข็ญเพื่อสนองความต้องการส่วนตน
ความกตัญญูเป็นของอัตโนมัติ มันจะเกิดขึ้นเองเมื่อคนที่เป็นลูกหลานมีพื้นฐานคุณธรรมดีพอ รวมทั้งได้รับความรักฟูมฟักใส่ใจมาอย่างดีพอเช่นกัน บุคคลบางพวกที่มีใจโอบอ้อมมากที่สุด แม้ไม่ได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ แต่ตอบแทนพ่อแม่ก็มีอยู่ ซึ่งของอย่างนี้นานาจิตตังจริงๆครับ แต่ถ้าถามว่า พ่อแม่ที่ไม่เคยใส่ใจเลี้ยงดูลูกเลย ไม่ดูดำดูดี แต่พอลูกโตมาประสบความสำเร็จแล้วรีบเข้ามาเรียกร้องเงินทองและการอุปถัมป์ต่างๆ แล้วลูกไม่ช่วย หรือช่วยแบบไม่เต็มที่ อันนี้เราก็ไม่สามารถจะไปตำหนิลูกได้ ทุกอย่างมีเหตุมีปัจจัยของมัน
พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงเทศน์สอนธรรมที่ลูกพึงกตัญญูกตเวทิตาต่อบิดามารดาแต่เพียงอย่างเดียว แม้ธรรมที่ว่าด้วยบิดามารดาพึงอุปการะบุตรอย่างดี พระองค์ก็ทรงตรัสสอนทั้งหมด ของพวกนี้เป็นสิ่งที่ต้องควบคู่กัน เพราะฉะนั้น ถ้าเราทำเต็มที่แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าลูกหลานจะอกตัญญูครับ ให้มันรู้ไปเลยว่าจะได้สิ่งใดตอบแทนการกระทำ คนเรา เกิดเป็นคนแล้วต้องยอมรับผลของการกระทำให้ได้ทุกคนครับ
ส่วนเรื่องคำแช่ง อันนั้นไม่มีผลไม่มีแก่นสารสาระครับ คนจะวิบัติ คนจะฉิบหาย มาจากความคิดและการกระทำของคนคนนั้นทั้งหมดครับ ไม่ได้มาจากใครมาบอกมาสั่งมาสาปแต่อย่างใดครับ ถ้าการสาปแช่ง สาปส่งเป็นจริงได้ ใครเล่าจะรอดจากผลของคำสาปนั้นได้ ป่านนี้คงเห็นนักการเมืองล้มตายกันเป็นเบือเพราะโดนประชาชนแช่งแล้วล่ะครับ
โฆษณา