15 พ.ค. เวลา 02:30 • ธุรกิจ

Dr Pepper น้ำอัดลมรสชาติเหมือนยาแก้ไอ ที่ในอเมริกา ขายดีกว่า Pepsi

รูตเบียร์ คือเครื่องดื่มที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ ใครที่ชอบก็จะชอบมาก หรือหากใครที่ไม่ชอบก็อาจจะเกลียดไปเลย
เช่นเดียวกับ “Dr Pepper” เครื่องดื่มที่มีรสชาติชวนให้ถกเถียงไม่แพ้กัน บางคนก็บอกว่าอร่อยจนวางไม่ลง และบางคนก็บอกว่านี่คือน้ำอัดลมที่รสชาติแย่ที่สุดในโลก
แต่รู้หรือไม่ว่า รสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของ Dr Pepper นี้เอง คือจุดแข็งที่ทำให้แบรนด์สามารถยืนหยัดอย่างมั่นคง ในตลาดน้ำอัดลมที่มีการแข่งขันสูงในสหรัฐฯ
จนในปี 2023 Dr Pepper ครองสัดส่วนในตลาดเท่ากับ Pepsi เลยทีเดียว
เรื่องนี้น่าสนใจอย่างไร ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
Dr Pepper คือหนึ่งในแบรนด์น้ำอัดลมที่เก่าแก่ที่สุดในสหรัฐฯ ด้วยอายุ 140 ปี ซึ่งเก่าแก่กว่าแบรนด์น้ำอัดลมที่คนทั้งโลกรู้จัก อย่าง Coca-Cola และ Pepsi
โดยต้นกำเนิดของแบรนด์ Dr Pepper เกิดขึ้นในปี 1885 ในรัฐเท็กซัส
เมื่อคุณ Charles Alderton เภสัชกรหนุ่มที่ชอบใช้เวลาว่างมาขายเครื่องดื่มโซดา อยากทำเครื่องดื่มที่ชวนให้นึกถึงกลิ่นหอมของร้านขายยาที่เขาทำงานอยู่
1
คุณ Alderton จึงตัดสินใจคิดสูตรเครื่องดื่มที่มีรสชาติเหมือนกลิ่นนั้น และหลังจากการทดลองหลายครั้ง ในที่สุดเขาก็ได้ส่วนผสมของน้ำเชื่อมผลไม้ที่เขาชื่นชอบ
จากนั้นคุณ Alderton ก็เริ่มขายเครื่องดื่มนี้ให้กับลูกค้า
เมื่อขายไปได้สักพัก ลูกค้าก็เริ่มติดใจ จนเครื่องดื่มใหม่นี้ได้รับความนิยม และได้ตั้งชื่อให้ว่า “Dr Pepper”
หลังจากนั้นมา แบรนด์ Dr Pepper ก็มีการเปลี่ยนมือเจ้าของอยู่หลายครั้ง
จนปัจจุบัน อยู่ภายใต้บริษัท Keurig Dr Pepper Inc. เจ้าของเดียวกับ 7UP, Schweppes, A&W และ Sunkist ที่หลายคนคุ้นเคย
ต้องบอกว่า ในช่วงแรกกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ของแบรนด์ อยู่ทางตอนใต้ของสหรัฐฯ หลังจากนั้นฐานลูกค้าก็ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น
จนในปี 2000 Dr Pepper กลายเป็นเครื่องดื่มน้ำอัดลม ที่มีส่วนแบ่งเป็นอันดับ 6 ในสหรัฐฯ
หลังจากนั้น 4 ปีต่อมา Dr Pepper ก็กลายเป็นเครื่องดื่มม้ามืดที่ค่อย ๆ แมสในสหรัฐฯ จนไต่อันดับมาอยู่ในอันดับที่ 5 ร่วมกับ Sprite
จนกระทั่งล่าสุดในปี 2023 Dr Pepper ได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญ โดยก้าวขึ้นมาเป็นเครื่องดื่มน้ำอัดลมที่มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 2 เทียบเท่ากับ Pepsi ด้วยสัดส่วน 8.34% และ 8.31% ตามลำดับ
แม้ Dr Pepper จะมีตัวเลขที่สูงกว่าเล็กน้อย แต่ในทางสถิติถือว่าทั้งสองแบรนด์ครองอันดับ 2 ร่วมกัน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีที่มีแบรนด์อื่นสามารถเข้ามาแบ่งตำแหน่งนี้กับ Pepsi ได้สำเร็จ
ซึ่ง The Wall Street Journal ได้วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการที่ Dr Pepper ได้ก้าวขึ้นสู่อันดับ 2 ร่วมกันกับ Pepsi ว่าอาจเป็นเพราะการลงทุนด้านการตลาดครั้งใหญ่ และการได้รับความนิยมมากขึ้นในกลุ่ม Gen Z
1
รวมถึงรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของ Dr Pepper ที่มีหลากหลายรสชาติ ก็มีส่วนให้แบรนด์เติบโตขึ้น ไม่ว่าจะเป็น
- Dr Pepper Blackberry Zero Sugar
- Dr Pepper Strawberries & Cream
- Diet Cherry Vanilla Dr Pepper
- Dr Pepper Made with Real Sugar
อย่างไรก็ตาม แม้ Dr Pepper จะเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมในชาวอเมริกัน แต่สำหรับชาวเอเชียแล้ว หลายคนกลับลงความเห็นว่า “นี่คือเครื่องดื่มที่รสชาติแย่ที่สุด”
1
เพราะหลายคนบอกว่ารสชาติของ Dr Pepper เหมือนยาแก้ไอชนิดน้ำ ที่มีรสเชอร์รี, โคลา และเครื่องเทศ ผสมกัน
ด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์นี้เอง ส่งผลให้ Dr Pepper ที่เคยเข้ามาทำตลาดในหลาย ๆ ประเทศในเอเชีย ไม่ประสบความสำเร็จ จนต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้านไป
ซึ่งกรณีนี้ คล้ายกับ Vegemite สเปรดรสชาติแปลก ที่คนออสเตรเลียชอบ แต่ชาติอื่นอาจจะไม่ชอบ
เพราะคนไทยบางคน ก็บอกว่ามีรสชาติเค็มคล้ายกับกะปิ ซึ่งถือเป็นรสชาติที่เฉพาะตัวมาก ๆ และแม้แต่คนออสเตรเลียเอง ก็ไม่ได้ชื่นชอบ Vegemite ไปทั้งหมด
เรียกได้ว่า รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ เปรียบเสมือนดาบสองคม ที่อาจนำพาให้แบรนด์ดังเปรี้ยง หรือไม่ก็ขายไม่ออกไปเลย
กุญแจสำคัญ จึงอยู่ที่การทำความเข้าใจรสนิยมของผู้บริโภคในแต่ละตลาดอย่างถ่องแท้ เพื่อให้สอดคล้องกับความชอบของลูกค้า
การทำความเข้าใจนี้จะช่วยให้รสชาติที่แตกต่าง กลายเป็นจุดแข็งและเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาว..
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
จากข้อมูลของ Beverage Digest ผู้ที่ครองอันดับ 1 ในตลาดน้ำอัดลมของสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2000 ก็คือ Coca-Cola
โดยในปี 2023 Coca-Cola ครองอันดับ 1 ในตลาดนี้ ด้วยส่วนแบ่ง 19.2%
โฆษณา