Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ชุมพล ศรีสมบัติ
•
ติดตาม
14 พ.ค. เวลา 03:44 • ประวัติศาสตร์
ปันเต (Panthay), จีนปางโหลง (Chin Panglong) และจีนฮ่อ (Chin Haw) คือใคร? (ตอนที่ 1-2)
บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจและทำความเข้าใจถึงที่มาและความเป็นมาของกลุ่มชนที่ถูกเรียกขานด้วยชื่อต่างๆ อันน่าสนใจเหล่านี้ ซึ่งมีความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับดินแดนยูนนานทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน
1. ถิ่นกำเนิด: ยูนนาน ดินแดนหลากชาติพันธุ์
ยูนนาน (Yunnan) มณฑลทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน มีพื้นที่กว้างใหญ่ประมาณ 394,000 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรราว 48.3 ล้านคน (ข้อมูลปี ค.ศ. 2018) โดยมี คุณหมิง (Kunming) เป็นเมืองหลวง
อาณาเขตที่ตั้ง: ยูนนานมีพรมแดนติดต่อกับหลายมณฑลและเขตปกครองของจีน ได้แก่ กว่างซี (จ้วง), กุ้ยโจว, เสฉวน และทิเบต ทางทิศตะวันตกติดกับรัฐคะฉิ่นและรัฐฉานของประเทศพม่า ทางทิศใต้ติดกับแขวงหลวงน้ำทา, แขวงอุดมไซ และแขวงพงสาลี ของ สปป.ลาว และทางตะวันออกเฉียงใต้ติดกับจังหวัดต่างๆ ของประเทศเวียดนาม
ความหลากหลายทางชาติพันธุ์และภาษา: ประชากรส่วนใหญ่ในยูนนานคือชาวฮั่น (ประมาณ 67%) แต่ก็มีกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างหลากหลายถึง 25 กลุ่ม เช่น อี๋, ไป๋, อาข่า, จ้วง, ไทลื้อ, ม้ง, หุย, ทิเบต และปะหล่อง เป็นต้น มีการใช้ภาษาจีนกลางสำเนียงตะวันตกเฉียงใต้ และภาษาของชนกลุ่มน้อยต่างๆ อีกประมาณ 25 ภาษาในการสื่อสาร
ชาวมุสลิมในยูนนาน: จากการสำรวจสำมะโนประชากรในปี พ.ศ. 2553 พบว่าในยูนนานมีประชากรมุสลิมถึง 1.9 ล้านคน และมีมัสยิดกระจายอยู่ทั่วทั้งมณฑลมากกว่า 867 แห่ง
2. การเข้ามาของศาสนาอิสลามสู่ยูนนาน
ในบรรดาชนกลุ่มน้อยในยูนนาน ชาวหุย (Hui) คือกลุ่มชาติพันธุ์มุสลิมที่มีขนาดใหญ่และมีอิทธิพลมากที่สุดมาตั้งแต่อดีต พวกเขามีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่โดดเด่นและยึดมั่นในศาสนาอิสลาม
ต้นกำเนิดและการผสมผสานทางวัฒนธรรม: สันนิษฐานว่าชาวหุยมีรากฐานเดียวกันกับชาวฮั่น แต่ได้มีการผสมผสานทางสายเลือดกับชาวมุสลิมจากอาหรับ, เปอร์เซีย และชาวเติร์กจากเอเชียกลาง พร้อมทั้งเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม ทำให้เกิดเป็นอัตลักษณ์ที่แตกต่างจากชาวฮั่นและชนกลุ่มน้อยอื่นๆ
#ทฤษฎีเกี่ยวกับบรรพบุรุษ: นักวิชาการบางส่วนเชื่อว่าชาวหุยอาจเป็นทายาทของชาวอาหรับและชาวจีนที่เข้ารับอิสลามตามเมืองท่าชายทะเล เช่น กวางตุ้ง ในช่วงศตวรรษที่ 7-8 หรือเป็นลูกหลานของผู้คนจากตะวันออกกลางและเอเชียกลางที่แต่งงานกับชาวฮั่นที่เปลี่ยนมานับถืออิสลามตามแนวเส้นทางสายไหม เช่น เมืองลั่วหยางและฉางอาน
#วิถีชีวิตและศาสนา: ชาวหุยยังคงใช้ภาษาจีนในชีวิตประจำวัน แต่มีวิถีชีวิตที่ผสมผสานวัฒนธรรมจีนเข้ากับวัฒนธรรมอาหรับ, เปอร์เซีย และเอเชียกลาง เช่น การแต่งกาย, อาหาร, และคำศัพท์ต่างๆ ที่ใช้ พวกเขาส่วนใหญ่นับถือนิกายซุนหนี่ตามสำนักนิติศาสตร์อิสลามแบบหะนะฟี และส่วนใหญ่อาศัยอยู่ใน หนิงเซี่ย, กานซู, ยูนนาน และกระจายตัวอยู่ในมณฑลอื่นๆ ทางตอนกลางของจีน
#บทบาทในประวัติศาสตร์: บรรพบุรุษของชาวหุยจำนวนมากเคยเป็นนักรบมุสลิมในกองทัพมองโกลที่สามารถพิชิตจีนและสถาปนาราชวงศ์หยวนในศตวรรษที่ 13 ทหารเหล่านี้ได้แต่งงานกับสตรีท้องถิ่นและปรับประยุกต์วัฒนธรรมจีนเข้ากับประเพณีของตน โดยยังคงรักษาศาสนาอิสลามไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
#การเติบโตในยูนนาน: ปัจจุบันมีชาวหุยอาศัยอยู่ในยูนนานประมาณ 700,000 คน บางตระกูลสามารถสืบเชื้อสายย้อนกลับไปได้กว่าพันปี การเพิ่มขึ้นครั้งสำคัญของชาวหุยในยูนนานเกิดขึ้นเมื่อกองทหารมุสลิมจากเอเชียกลางภายใต้การนำของกุบไลข่านมาถึงในปี ค.ศ. 1253 พวกเขาพิชิตอาณาจักรต้าหลี่และยึดครองยูนนานได้สำเร็จ
#ยุคราชวงศ์หยวนและการอยู่ร่วมกัน: กุบไลข่านได้ผนวกยูนนานเข้ากับจักรวรรดิมองโกลและแต่งตั้ง ซัยยิด อัจญาล (Sayid Ajjal) ชาวมุสลิมจากบูคอรอเป็นเจ้าเมือง เขาส่งเสริมการสร้างมัสยิดทั่วทั้งยูนนาน และยังอุปถัมภ์ศาสนาพุทธ, ลัทธิขงจื๊อ และการศึกษาแบบขงจื๊อ ทำให้ยูนนานในยุคนั้นเป็นเมืองนานาชาติที่ศาสนาต่างๆ อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข นโยบายนี้ได้รับการสืบทอดต่อมา ทำให้เมื่อสิ้นสุดราชวงศ์หยวน คุนหมิงและเมืองอื่นๆ ในยูนนานจึงมีชาวมุสลิมอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
การเปลี่ยนแปลงในยุคราชวงศ์หมิง: เมื่อกองทัพราชวงศ์หมิงบุกยูนนานเพื่อขับไล่กองกำลังหยวน พันธมิตรชาวมุสลิมส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในยูนนานและกลายเป็นส่วนหนึ่งของประชากรท้องถิ่น เรียกว่าชาวหุย หนึ่งในบุคคลสำคัญชาวหุยในประวัติศาสตร์จีนคือ หม่า เหอ (Ma He) หรือ เจิ้งเหอ (Zheng He) นักสำรวจทางทะเลผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อ ซึ่งคนไทยรู้จักในนาม ซำปอกง
3. #ที่มาของคำว่า ปันเต (Panthay)
คำว่า ปันเต (Panthay) เป็นคำที่ชาวพม่าใช้เรียก ชาวหุย (Hui) หรือชาวจีนมุสลิมที่อพยพไปยังประเทศพม่า ชาวจีนมุสลิมกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในพม่า ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ทางตอนเหนือ โดยเฉพาะในรัฐฉาน เช่น ตังยัน, เมเมียว, มัณฑะเลย์ และตองยี ซึ่งอยู่ใกล้กับมณฑลยูนนาน
ความหมายและต้นกำเนิดของคำ: ชื่อ "ปันเต" เป็นคำในภาษาพม่า ซึ่งออกเสียงคล้ายกับคำว่า "Pang hse" ของชาวไต (ไทใหญ่) ในรัฐฉาน เป็นชื่อที่ชาวพม่าใช้เรียกชาวจีนมุสลิมที่เดินทางเข้ามากับกองคาราวานจากยูนนาน แต่คำนี้ไม่ได้ใช้หรือเป็นที่รู้จักในยูนนาน ชาวมุสลิมจีนในยูนนานจะเรียกตัวเองว่า "หุย"
ทฤษฎีเกี่ยวกับที่มาของชื่อ: มีหลายทฤษฎีเกี่ยวกับที่มาของคำว่า "ปันเต" ทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่ามาจากคำภาษาพม่าว่า "ปาที (Pathi)" ซึ่งเพี้ยนเสียงมาจากภาษาเปอร์เซียว่า "Farsi" หรือ "Parsi" ซึ่งในสมัยโบราณชาวพม่าใช้เรียกชาวมุสลิม ต่อมาคำนี้จึงถูกนำมาใช้เรียกชาวจีนมุสลิมและเพี้ยนเป็น "ปันเต" อย่างไรก็ตาม ชาวจีนมุสลิมในยูนนานยังคงเรียกตนเองว่า "หุยซู (Huizu)" ซึ่งแปลว่าชาวมุสลิมในภาษาจีน
#บันทึกประวัติศาสตร์: จากบันทึก "ประวัติปันเต (Panthay)" โดย หมิง กวน เชี่ย ได้กล่าวถึง สุลต่านสุลัยมาน อิบนุ อับดุลเราะห์มาน หรือ ตู้ เหวิน ซิ้ว (Tu Wenxiu) ผู้ก่อตั้งรัฐผิงหนานในยูนนาน (พ.ศ. 2399-2416) ที่ต่อสู้กับราชวงศ์ชิงอย่างกล้าหาญแต่พ่ายแพ้ ทำให้ผู้ภักดีจำนวนหนึ่งนำโดย หม่า หลิน จี (Ma Lin-Gi) อพยพลี้ภัยไปยังพม่า
#การตั้งถิ่นฐานในพม่า: หม่า หลิน จี ได้ตั้งรกรากในดินแดนของชาวว้าทางตอนเหนือของรัฐฉาน และต่อมาลูกชายคนโตของเขาคือ หม่า เหม่ ติง (Ma Mei-Ting) ได้กลายเป็นผู้นำชุมชนปันเตในพื้นที่นั้น
#ความสัมพันธ์กับอาณาจักรพม่า: ในช่วงที่รัฐผิงหนานยังคงมีอำนาจ สุลต่านสุลัยมานได้สร้างความสัมพันธ์อันดีกับรัฐใกล้เคียง และได้ส่ง พันเอก หม่า ถู่ ตู้ (Ma Too-tu) เป็นทูตพิเศษไปยังเมืองมัณฑะเลย์ เพื่อเข้าเฝ้าพระเจ้ามินดงแห่งราชวงศ์คองบอง
โดยมีภารกิจสำคัญคือการสร้างมัสยิดสำหรับชาวมุสลิมจีน ซึ่งใช้เวลาก่อสร้างประมาณสองปีและเปิดในปี พ.ศ. 2411 มัสยิดแห่งนี้คือ มัสยิดปันเต (Panthay Mosque) ซึ่งยังคงตั้งอยู่คู่กับชุมชนชาวจีนมุสลิมในพม่ามาจนถึงปัจจุบัน
4. #ชาวมุสลิมในยูนนานก่อนการรุกรานของต้าชิง (ราชวงศ์ชิง)
ชาวจีนมุสลิม (หุย) ในยูนนานมีความเจริญรุ่งเรืองทั้งด้านการค้าและการเมืองในช่วงราชวงศ์หยวนและราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1280–1644) ทำให้ประชากรเพิ่มขึ้นอย่างมาก
#การสังเกตของนักเดินทาง: มาร์โคโปโล (Marco Polo) ที่เดินทางมาเยือนยูนนานในช่วงต้นราชวงศ์หยวน ได้สังเกตเห็นชุมชนมุสลิมจำนวนมากที่เขาเรียกว่า "พวกซาราเซ็นส์" ท่ามกลางประชากรจีนอื่นๆ
บันทึกของนักประวัติศาสตร์เปอร์เซีย: รอชิดุดดีน ฮามาดานี (Rashid al-Din Hamadani) นักประวัติศาสตร์ชาวเปอร์เซีย (เสียชีวิต ค.ศ. 1318)
ได้บันทึกในหนังสือ Jami' al-Tawarikh ว่า "เมืองหยาฉีที่ยิ่งใหญ่ในยูนนานนั้นมีแต่ชาวประชากรมุสลิมอาศัยอยู่เท่านั้น" ซึ่งสันนิษฐานว่าอาจหมายถึงพื้นที่รอบเมืองต้าลี่ ศูนย์กลางแรกของการตั้งถิ่นฐานของชาวหุยในยูนนาน
#บทบาทในการค้า: ชาวจีนมุสลิมในยูนนานมีชื่อเสียงในด้านการค้าและการทหาร พวกเขาเป็นพ่อค้าที่เชี่ยวชาญในการค้าขายทางบก โดยนำกองคาราวานม้าต่างและลาขนสินค้า เช่น ใบชา, ผ้าไหม, ยาสมุนไพร, เครื่องเทศ, เครื่องเงิน และอื่นๆ ไปค้าขายระหว่างยูนนาน, หลวงพระบาง, เชียงตุง, มัณฑะเลย์ ไปจนถึงเชียงใหม่ในดินแดนล้านนา
#การขยายตัวของชุมชน: พ่อค้าชาวจีนเหล่านี้บางส่วนได้สมรสกับสตรีพื้นเมืองตามเส้นทางการค้า ทำให้เกิดชุมชนชาวมุสลิมจีนขึ้นตลอดเส้นทาง จนกระทั่งบางชุมชนได้สูญหายไปเนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองในยุคต่อมา ทำให้ชาวจีนมุสลิมบางส่วนต้องอพยพลี้ภัยไปยังดินแดนอื่นๆ เช่น ในพม่า, ภาคเหนือของไทย และไต้หวัน
5. #จีนปางโหลง (Chin Panglong)
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 แรงกดดันด้านประชากรและการต่อต้านราชวงศ์ชิงที่เพิ่มขึ้นในยูนนาน นำไปสู่การก่อจลาจลของชาวปันเตในภูมิภาคเฉียนฉุ่ย (พ.ศ. 2398) ซึ่งขยายตัวอย่างรวดเร็วภายใต้การนำของ ตู้ เหวิน ซิ้ว (Du Wenxiu) ผู้สถาปนารัฐผิงหนาน โดยมีต้าหลี่เป็นเมืองหลวง และตั้งตนเองเป็น "สุลต่านสุลัยมาน" อาณาจักรมุสลิมแห่งนี้ถูกราชวงศ์ชิงปราบปรามในอีกสิบห้าปีต่อมา
บทความนี้แปลจากหนังสือเล่มนี้
#การจลาจลอื่นๆ: หลังจากนั้นยังมีการจลาจลที่เกี่ยวข้องกับชาวหุยอีกหลายครั้ง เช่น การจลาจลดุงกัน (พ.ศ. 2405–2420) และกบฏปันเต ซึ่งมีสาเหตุมาจากความไม่พอใจต่อความอยุติธรรมและการเลือกปฏิบัติของราชวงศ์ชิง
#กบฏปันเตในยูนนาน: กบฏปันเตเริ่มต้นจากความขัดแย้งระหว่างคนงานเหมืองดีบุกชาวฮั่นและชาวหุยในปี พ.ศ. 2396 และลุกลามเป็นการจลาจลในปีต่อมา มีการสังหารหมู่ชาวหุยโดยเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของราชวงศ์ชิง หนึ่งในผู้นำคือ ยูซุฟ หรือ หม่า เต้อฉิน (Yusuf, Ma Dexin) ผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำต่อจากตู้ เหวินซิ่ว แต่สุดท้ายเขาก็ยอมจำนนต่อราชวงศ์ชิงในปี พ.ศ. 2404
ชุมชนชาวจีนบ้านหัวฝาย อ.ฝาง
หน้ามัสยิดหัวฝาย อ.ฝาง
#การอพยพสู่ปางโหลง: การกดขี่ข่มเหงชาวหุยทำให้ชาวหุยจำนวนมากลี้ภัยไปยังพม่าในช่วงปลายราชวงศ์คองบอง และตั้งถิ่นฐานอยู่ในรัฐว้า จนกระทั่งประมาณปี พ.ศ. 2418 พวกเขาได้เข้าไปตั้งถิ่นฐานที่เมือง ปางโหลง (Panglong) ในรัฐฉาน ทำให้เกิดชื่อเรียกใหม่สำหรับชาวจีนมุสลิมที่นั่นว่า “ชาวจีนปางโหลง” ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือชาวหุย หรือชาวจีนมุสลิม ที่เคยถูกเรียกว่าปันเตเมื่อครั้งอพยพเข้ามาในพม่านั่นเอง
(มีต่อ ตอนที่ 2)
วันอิดรีส ปะดุกา
เชียงใหม่
1 ธันวาคม 2022
*อ้างอิงอยู่ท้ายบทความ
อักษรจีนโบราณ
#ปันเต (Panthay), จีนปางโหลง (Chin Panglong) และจีนฮ่อ (Chin Haw) คือใคร? (ตอนที่ 2)
จากเรื่องราวในตอนที่ 1 เราได้ทำความรู้จักกับถิ่นกำเนิดของชาวหุยในยูนนาน การเข้ามาของศาสนาอิสลาม และที่มาของชื่อ "ปันเต" ในตอนนี้ เราจะเจาะลึกถึงความรุ่งเรืองและการพลัดพรากของพวกเขา รวมถึงการอพยพสู่ดินแดนล้านนา
6. #ปางโหลง: ศูนย์กลางที่ถูกทำลาย และการพลัดถิ่นของชาวจีนมุสลิม
ปางโหลง (Panglong) เมืองที่เคยเป็นหัวใจสำคัญของชุมชนชาวจีนมุสลิมในพม่า หรือที่รู้จักกันในนามปันเต (Panthay) หรือหุย ภายใต้การปกครองของอังกฤษในขณะนั้น กลับต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ เมื่อกองทัพญี่ปุ่นบุกพม่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1942-1945)
การลุกขึ้นสู้และการทำลายล้าง: ในช่วงเวลาอันมืดมิดนั้น หม่า กวงกุย (Ma Guanggui) ได้นำกองกำลังป้องกันตนเองของชาวหุย (จีนมุสลิม) โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลก๊กมินตั๋งของนายพลเจียง ไค เช็ค เพื่อต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่นที่ปางโหลง แต่เมื่อญี่ปุ่นสามารถยึดเมืองได้ในปี ค.ศ. 1942 พวกเขาก็ได้เผาทำลายเมืองทั้งเมือง และขับไล่ชาวหุยกว่า 200 ครัวเรือนให้ต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัย
#การอพยพครั้งใหญ่: ผู้คนจากปางโหลงต้องกระจัดกระจายกันไปเพื่อเอาชีวิตรอด บางส่วนอพยพกลับไปยังยูนนาน ดินแดนที่พวกเขาจากมา บางส่วนเข้าไปในเขตของชาวโกกั้ง (Kokang) ทางตอนเหนือของรัฐฉาน ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางเชื้อสายกับชาวจีนฮั่น และอีกส่วนหนึ่งได้เดินทางไกลมาถึงภาคเหนือของประเทศไทย ที่ซึ่งคนไทยเรียกพวกเขาว่า “พวกจีนปางโหลง” หรือ "จีนฮ่อ"
#บันทึกจากผู้รอดชีวิต: หม่า เหยเย่ (Ma Yeye) หลานชายของหม่า กวงกุย ได้ถ่ายทอดเรื่องราวอันเจ็บปวดของการโจมตีปางโหลงในหนังสือ "หนังสือปางโหลง" ที่ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2541 โดยใช้นามปากกาว่า "ชาวหุยจากปางโหลง" เขาบรรยายถึงการลี้ภัยออกจากปางโหลงกลับสู่ยูนนานอีกครั้ง ซึ่งเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ที่ทำให้จำนวนประชากรชาวจีนมุสลิมในพม่าลดลงอย่างมากจนถึงปัจจุบัน
7. #กองคาราวานค้าขาย: เส้นเลือดใหญ่ที่เชื่อมโยงภูมิภาค
ก่อนที่พม่าจะตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ กองคาราวานค้าขายทางไกลของชาวหุยจากยูนนานได้กุมบังเหียนเส้นทางการค้าทางบกในภูมิภาคนี้ไว้อย่างเหนียวแน่น ด้วยความเชี่ยวชาญในการเดินทางผ่านภูมิประเทศที่ท้าทาย พวกเขาได้บุกเบิกเส้นทางการค้าที่สำคัญ ซึ่งเป็นรากฐานของการค้าที่ทันสมัยในปัจจุบัน
เครือข่ายการค้าที่กว้างขวาง: เครือข่ายกองคาราวานชาวจีนมุสลิมในยูนนานรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่องตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 กองคาราวานของพ่อค้าชาวหุยได้เดินทางไปทั่วภูมิภาค ตั้งแต่ชายแดนตะวันออกของทิเบต ผ่านอัสสัม พม่า ไทย ลาว และตังเกี๋ย (เวียดนามในปัจจุบัน) ไปจนถึงมณฑลเสฉวน กุ้ยโจว และกวางสีทางตอนใต้ของจีน
#สินค้าแลกเปลี่ยน: สินค้าจากยูนนานที่บรรทุกไปค้าขาย ได้แก่ ผ้าไหม, ชา, เครื่องใช้โลหะ, เหล็กหยาบ, สักหลาด, เสื้อผ้าสำเร็จรูป, วอลนัท, ฝิ่น, ขี้ผึ้ง, ผลไม้แช่อิ่ม และอาหารแห้งต่างๆ ส่วนสินค้าจากพม่าที่นำกลับไปขายยังยูนนาน ได้แก่ ฝ้ายดิบ, ไหมดิบและไหมดัด, อำพัน, หยกและหินมีค่าอื่นๆ, ผ้ากำมะหยี่, หมาก, ยาสูบ, ทองคำเปลว, สีย้อมไม้, ครั่ง, งาช้าง, อาหารพื้นเมือง, รังนก และฝ้ายดิบซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดจีน
#การปิดฉากของการค้าคาราวาน:
การค้าคาราวานจากยูนนานต้องปิดตัวลงด้วยหลายสาเหตุ ส่วนหนึ่งมาจากการยุติการค้าผ่านเส้นทางบาโมในเขตว้า เนื่องจากพระเจ้ามินดงของพม่าทรงกังวลว่าเส้นทางนี้จะนำไปสู่การขยายอิทธิพลของอังกฤษ พระองค์ต้องการจำกัดการค้าของอังกฤษไว้เฉพาะบริเวณเมืองท่าตอนล่างและย่างกุ้ง เพื่อป้องกันไม่ให้เรือกลไฟของอังกฤษรุกคืบขึ้นเหนือสู่มัณฑะเลย์ นอกจากนี้ สงครามและความขัดแย้งต่างๆ เช่น สงครามกับอังกฤษ, การรุกรานของญี่ปุ่น,
#สงครามโลกครั้งที่ 2 และการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในจีน ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การค้าขายด้วยกองคาราวานม้าต่างและล่อของชาวหุย หรือปันเต ต้องสิ้นสุดลง
8. #การอพยพสู่ล้านนา: สายใยที่ไม่เคยจางหาย
#การเสียชีวิตของ ตู้ เหวิน ซิ้ว ได้ดับความหวังของชาวหุยในการฟื้นฟูรัฐอิสลามผิงหนาน ทำให้จำนวนผู้อพยพชาวหุยจากยูนนานที่เดินทางลงใต้สู่พม่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พวกเขาอพยพมาเป็นครอบครัว ผ่านเมืองบาโมหรือรัฐว้า
#ศูนย์กลางใหม่และการล่มสลาย:
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ศูนย์กลางของชาวหุย หรือปันเตในพม่าอยู่ที่เมืองปางโหลง ซึ่งมีประชากรหนาแน่นที่สุด รองลงมาคือมัณฑะเลย์ ก่อนที่เมืองนี้จะถูกอังกฤษยึดครองในปี พ.ศ. 2428 พร้อมกับการสิ้นสุดของราชวงศ์พม่า และพื้นที่พระราชวังส่วนใหญ่ถูกทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ปางโหลง ชุมชนชาวหุย หรือปันเตยังคงเติบโต จนกระทั่งเกิดความขัดแย้งกับชาวว้าที่อยู่ใกล้เคียง นำไปสู่ "สงครามว้า-ปันเต" ในปี พ.ศ. 2469 ซึ่งชาวว้าเป็นผู้ชนะ
มัสยิดตู้เหวินซิว ในท่าลี่
#การขยายถิ่นฐานและการค้า: เมื่อการค้าคาราวานที่ปางโหลงไม่สะดวกเหมือนเดิม ชาวปันเตบางส่วนจึงขยายถิ่นฐานลึกเข้าไปในพม่ามากขึ้น ผู้มีทุนทรัพย์เข้าไปลงทุนในเหมืองเงินทางเหนือของรัฐฉานและเหมืองหยกในรัฐคะฉิ่น บางคนเป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมในเมืองสำคัญต่างๆ เช่น ลาเสี้ยว, เชียงตุง, บาโม และตองยี
เพื่อรองรับความต้องการสินค้าของคนงานในเมืองเหล่านี้ กองคาราวานของชาวปันเตยังคงเดินทางเพื่อค้าขายกับคนท้องถิ่นและชนพื้นเมืองต่างๆ เลียบแม่น้ำสาละวิน ไปจนถึงศูนย์กลางเศรษฐกิจของพม่า เช่น มัณฑะเลย์และย่างกุ้ง ที่ซึ่งพวกเขาประสบความสำเร็จและมีฐานะทางสังคมสูง
#การค้าสู่ล้านนา: เส้นทางการค้าคาราวานของชาวปันเตยังคงเชื่อมต่อไปยังดินแดนล้านนา ผ่านเชียงตุง, แม่สะเรียง และเชียงใหม่ ในช่วงที่อังกฤษปกครองพม่า ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวปันเตเหล่านี้มีความเจริญรุ่งเรืองและเชี่ยวชาญในการค้าทุกระดับ ตั้งแต่พ่อค้าคนกลางในตลาดอัญมณี ไปจนถึงเจ้าของร้านค้าปลีกและส่ง, เจ้าของที่พัก, พ่อค้าม้าและล่อ รวมถึงพ่อค้าเร่ พวกเขาขยายธุรกิจการค้าทางบกไปจนถึง "สามเหลี่ยมทองคำ" ซึ่งเป็นรอยต่อของพม่า ลาว และไทย
#สี่กลุ่มผู้อพยพสู่ล้านนา: จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พบว่าพ่อค้าชาวหุย (จีนมุสลิม) จากยูนนานได้เริ่มค้าขายด้วยกองคาราวานม้าและล่อระหว่างจีน พม่า และล้านนา ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 ผู้อพยพชาวจีนมุสลิมเหล่านี้เข้ามาสู่ล้านนาได้ 4 กลุ่มหลัก:
* กลุ่มพ่อค้าคาราวาน: ใช้ม้าหรือล่อขนส่งสินค้าผ่านสิบสองปันนา, ปางโหลง, เชียงตุง และเมืองต่างๆ ในพม่า ก่อนจะมาถึงล้านนาทางแม่สะเรียง ซึ่งเป็นเส้นทางที่ใช้กันมาแต่โบราณ
* กลุ่มผู้ลี้ภัยจากการปราบปราม: อพยพในช่วงการปราบปรามกบฏหุย หรือปันเต นำโดยสุลต่านสุลัยมาน อิบนุ อับดุลเราะห์มาน (ตู้ เหวิน ซิ้ว) ในยูนนาน (พ.ศ. 2399-2416) ก่อนที่ราชวงศ์ชิงจะปราบปรามและยึดครอง
* ทหารกองพล 93: ทหารของรัฐบาลจีนคณะชาติ (ก๊กมินตั๋ง) ที่พ่ายแพ้ต่อกองทัพคอมมิวนิสต์ในปี พ.ศ. 2492 และถอยร่นมาตามแนวชายแดนไทย-เมียนมาร์ ส่วนหนึ่งไปไต้หวัน อีกส่วนตั้งรกรากในภาคเหนือของไทย
* ผู้ลี้ภัยสงครามโลกครั้งที่ 2: ชาวปันเต หรือหุย จากพม่าที่ข้ามพรมแดนเข้ามาในไทยและลาวเพื่อหนีการประหัตประหารของทหารญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
เรื่องราวของชาวปันเต, จีนปางโหลง และจีนฮ่อ สะท้อนให้เห็นถึงการเดินทาง การค้า และการพลัดพรากที่เชื่อมโยงดินแดนต่างๆ ในภูมิภาคนี้ไว้อย่างน่าสนใจ
วันอิดรีส ปะดุกา
เชียงใหม่
3 ธันวาคม 2022
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย