Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Unheard Words | เสียงในหมอก
•
ติดตาม
14 พ.ค. เวลา 08:28 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
J-10C - เมื่อเครื่องบินจีนที่เคยถูกมองข้าม ยิง Rafale ตก และชนะ Eurofighter แบบไร้ทางสู้
ในแวดวงยุทธศาสตร์ทางอากาศ ชื่อของ J-10C มักไม่ใช่ชื่อที่ถูกพูดถึงบ่อยนัก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ Rafale ของฝรั่งเศส หรือ Eurofighter Typhoon ของยุโรปที่อยู่ในระดับเรือธง
แต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในปี 2025 ทำให้ชื่อของ J-10C ถูกหยิบขึ้นมาพูดถึงในวงกว้าง ด้วยเหตุผลที่ไม่ใช่แค่การโฆษณา แต่คือชัยชนะที่เกิดขึ้นจริงในสนามรบ
เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เครื่องบิน J-10C ของกองทัพอากาศปากีสถาน ยิงเครื่องบินขับไล่ Rafale ของอินเดียตก โดยใช้ขีปนาวุธ PL-15 (ระยะยิงประมาณ 250 กิโลเมตร) ที่ผลิตโดยจีน
ซึ่งถือเป็นการรบจริงครั้งแรกที่ Rafale แพ้ในอากาศ และเป็นการยืนยันว่า J-10C ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องบินราคากลางที่เอาไว้เติมจำนวน แต่มีศักยภาพที่ถูกจัดวางไว้อย่างเฉียบขาดในระบบการรบใหม่ของจีน
ยิ่งไปกว่านั้น ในการซ้อมรบร่วมระหว่างปากีสถานกับกาตาร์ ซึ่งใช้อากาศยาน Eurofighter Typhoon รุ่นใหม่ที่ติดตั้งเรดาร์ AESA และขีปนาวุธระดับสูง ปรากฏว่า J-10C ชนะไปแบบไม่เสียเครื่องเลย โดยสามารถเก็บ Typhoon ได้ทั้งในระยะไกลและในการปะทะระยะใกล้ ด้วยสถิติที่ไม่ธรรมดา คือ ชนะ 9 ต่อ 0
คำถามที่นักวิเคราะห์จำนวนมากเริ่มตั้งขึ้นก็คือ เครื่องบินจีนลำนี้ทำได้อย่างไร ทั้งที่เมื่อดูจากตัวเลขและสเปก มันไม่ได้มีอะไรโดดเด่นกว่าคู่แข่งในฝั่งตะวันตกเลยแม้แต่น้อย
มาตรฐานบนกระดาษที่ไม่ชี้ขาดผลรบ
หากเปรียบเทียบกันในแง่เทคโนโลยีพื้นฐาน J-10C ถือเป็นเครื่องบินรบในกลุ่ม Generation 4.5 เช่นเดียวกับ Rafale, Eurofighter และ F-16V Block 70 ของสหรัฐอเมริกา
ทั้งหมดนี้ใช้เรดาร์แบบ AESA (Active Electronically Scanned Array หรือเรดาร์ที่ควบคุมทิศทางลำแสงด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้หมุนจับเป้าได้เร็วและไม่ต้องพึ่งชิ้นส่วนกลไก)
J-10C ใช้ขีปนาวุธ PL-15 ที่มีพิสัยยิงประมาณ 250 กิโลเมตร เป็นระบบนำวิถีแบบเรดาร์กึ่งอัตโนมัติ มีการรับข้อมูลเป้าหมายจากระบบภายนอก เช่น เครื่องบินเตือนภัยล่วงหน้าหรือสถานีเรดาร์ภาคพื้น (uplink radar)
ในขณะที่ Rafale ใช้ขีปนาวุธ Meteor ระยะยิงประมาณ 200–220 กิโลเมตร ที่ใช้ระบบควบคุมแรงขับแบบปรับเปลี่ยนได้ตลอดทางบิน (ramjet) ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสเข้าเป้าในระยะท้าย
ด้านความเร็ว J-10C ทำได้ประมาณ Mach 1.8 ส่วน Rafale อยู่ที่ Mach 1.8 เช่นกัน แต่ Typhoon เหนือกว่าที่ Mach 2.0
ในด้าน payload หรือน้ำหนักอาวุธที่บรรทุกได้ J-10C ทำได้ประมาณ 6,000 กิโลกรัม ในขณะที่ Typhoon บรรทุกได้มากกว่า คือราว 9,000 กิโลกรัม
หากดูจากตัวเลขเหล่านี้ ไม่มีจุดใดที่ J-10C เหนือกว่าคู่แข่งแบบชัดเจน บางด้านยังเป็นรองด้วยซ้ำ เช่น payload หรือความเร็วสูงสุด
กล่าวอีกแบบหนึ่งคือ บนกระดาษ J-10C กับ Rafale หรือ Typhoon ต่างก็มีข้อได้เปรียบของตัวเอง แต่ไม่ควรถึงขั้นที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะชนะขาดลอยได้บ่อยครั้งในสนามจริง
เหตุการณ์อินเดีย–ปากีสถาน ชัยชนะจากระบบ ไม่ใช่จากตัวลำ
จากรายงานข่าวหลายแหล่งในช่วงสัปดาห์ที่เกิดเหตุการณ์ ระบุว่า Rafale ของอินเดียเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อน โดยใช้ขีปนาวุธ Meteor แต่ขีปนาวุธนั้นไม่เข้าเป้า และหลังจากนั้นไม่กี่วินาที เครื่อง J-10C ของปากีสถานก็ยิงสวนด้วย PL-15 จนสามารถสอย Rafale ได้
ในทางเทคนิค Meteor มีระยะยิงไกลและความแม่นยำสูงก็จริง แต่การจะยิงให้เข้าเป้าจริง จำเป็นต้องมีการจับเป้าอย่างต่อเนื่องโดยใช้เรดาร์ของตัวเครื่องบิน ซึ่งหากคู่ต่อสู้มีระบบแจ้งเตือนหรือหลบหลีกที่ดีพอ ก็สามารถเลี่ยงได้ก่อนที่ขีปนาวุธจะเข้าระยะอันตราย
ในกรณีนี้ มีความเป็นไปได้ว่า J-10C ไม่ได้อาศัยเรดาร์ของตัวเองในการจับเป้าโดยตรง แต่ใช้ข้อมูลจากระบบเรดาร์ภาคพื้นหรือจากเครื่องบินควบคุมกลาง ทำให้สามารถหลบหลีกขีปนาวุธของ Rafale ได้โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ว่าโดนตรวจจับตั้งแต่เมื่อใด
และทันทีที่หลุดออกจากแนววิถีของ Meteor เครื่อง J-10C ก็ยิงสวนกลับด้วย PL-15 ซึ่งได้รับข้อมูลเป้าหมายจากระบบ uplink ทำให้ขีปนาวุธของจีนเข้าสู่ระยะทำการในจังหวะที่ Rafale ยังไม่ทันเปลี่ยนตำแหน่งหนี
นี่คือการรบแบบที่อาวุธไม่ได้ชี้ผล แต่ระบบที่ทำให้ขีปนาวุธสามารถทำงานร่วมกับข้อมูลภายนอก คือสิ่งที่ทำให้ J-10C ได้เปรียบ
การซ้อมรบกับกาตาร์ยืนยันว่าชนะซ้ำได้ ไม่ใช่แค่จังหวะ
ไม่กี่วันหลังจากเหตุการณ์กับอินเดีย ปากีสถานได้จัดการซ้อมรบร่วมกับกองทัพอากาศของกาตาร์ โดยใช้อากาศยาน J-10C กับ Eurofighter Typhoon ที่ถือเป็นเครื่องบินรบระดับสูงของยุโรป
การซ้อมรบครั้งนั้นใช้การวัดผลแบบสมมุติสถานการณ์จริง โดยแบ่งการต่อสู้เป็นระยะไกลและระยะใกล้ และผลออกมาคือ J-10C ชนะติดต่อกัน 9 ครั้ง โดยไม่แพ้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
Eurofighter Typhoon ของกาตาร์เป็นเวอร์ชันที่ติดตั้งเรดาร์ AESA รุ่นล่าสุด พร้อมขีปนาวุธระยะไกลรุ่นมาตรฐานยุโรป เช่น AIM-132 และ Meteor รวมถึงมีระบบตรวจจับด้วยอินฟราเรดแบบ IRST (Infrared Search and Track ซึ่งใช้ตรวจจับเป้าหมายโดยไม่ต้องเปิดเรดาร์)
แต่ในการซ้อมรบครั้งนี้ J-10C ไม่ได้แค่ยิงแม่นกว่า แต่มีจังหวะเข้าเป้าในระยะต่าง ๆ ที่เร็วกว่า และในการปะทะระยะประชิดที่ต้องใช้ขีปนาวุธนำวิถีด้วยสายตา เช่น PL-10 ของจีนกับ AIM-132 ของยุโรป นักบินของ J-10C สามารถยิงเป้าหมายได้แม้ในตำแหน่งที่เกินมุมมองปกติ โดยใช้ระบบหน้าจอเล็งเป้าบนหมวกนักบิน หรือที่เรียกว่า HMD (Helmet Mounted Display)
หรือชัยชนะครั้งนี้เกิดจากระบบที่เราไม่ได้เห็น?
เมื่อรวมเหตุการณ์สองสนามนี้เข้าด้วยกัน ข้อสังเกตคือ J-10C ไม่ได้ชนะเพราะตัวเครื่องบินดีกว่า แต่ชนะเพราะใช้เป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ถูกวางแผนไว้ล่วงหน้า
ตั้งแต่การได้รับข้อมูลจากเรดาร์หลายแหล่ง การคำนวนเส้นทางยิงโดยไม่เปิดเผยตำแหน่ง และการตอบสนองในระยะประชิดด้วยระบบเล็งเป้าแบบลื่นไหล
สิ่งที่เกิดขึ้นจึงอาจไม่ใช่ชัยชนะของขีปนาวุธ หรือเครื่องบินเพียงลำใดลำหนึ่ง แต่คือการแสดงให้เห็นว่าจีนสามารถรวมเครือข่ายรบแบบ real-time ให้ทำงานร่วมกันได้จริง และทำให้เครื่องบินธรรมดากลายเป็นอาวุธที่มีความหมายใหม่ในสนามรบ
หากระบบนี้ถูกใช้ซ้ำได้ในหลายสนาม ไม่ใช่แค่กรณีอินเดียหรือกาตาร์ แต่ขยายไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือจุดปะทะที่ใหญ่กว่านี้ คำถามที่ต้องตอบต่อคือ
เราเตรียมพร้อมแค่ไหน สำหรับการรบที่ไม่ได้ตัดสินกันด้วยความเร็วหรือพิสัย แต่ตัดสินด้วยเครือข่ายที่ไร้เส้นขอบ ?
#J-10C #Rafale #Eurofighter #Typhoon
ถ้าชอบผลงานฝากเยี่ยมชม ผลงาน prompt สำหรับ LinkedIn ด้วยครับ
https://anyxi.gumroad.com/l/bfaagj
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย