14 พ.ค. เวลา 23:15 • ธุรกิจ

ทายาทดุสิตธานีแตกหัก "ชนินทธ์ โทณวณิก" พ้นกรรมการ บ.ชนัตถ์และลูก

ความขัดแย้งรุนแรงระหว่าง 3 ทายาทท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ส่งผลให้ชนินทธ์ โทณวณิก ออกจากกรรมการบริษัทชนัตถ์และลูก สะท้อนปัญหาการดูแลกิจการโรงแรมดุสิตธานี ในระดับตำนาน
1
ความขัดแย้งระหว่าง 3 ทายาทของท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ผู้ก่อตั้งโรงแรมดุสิตธานี ลุกลามจนเกิดความแตกหักอย่างชัดเจน เมื่อในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปีครั้งที่ 32/2568 วันที่ 25 เมษายน 2568 ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ "บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด" ไม่อนุมัติงบการเงินสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ซึ่งเป็นงบการเงินที่ได้ผ่านการตรวจสอบและลงนามรับรองโดยผู้สอบบัญชีแล้ว
ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย มีบุตรธิดา 3 คน คือ ชนินทธ์ โทณวณิก, สินี เธียรประสิทธิ์ (แต่งงานกับ ฐิตินันท์ เธียรประสิทธิ์) และสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค (แต่งงานกับ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค)
ท่านผู้หญิงชนัตถ์ได้ตั้งบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด โดยมีทายาทร่วมถือหุ้นในบริษัทเพื่อลงทุนใน บริษัท ดุสิตธานีจํากัด (มหาชน) หรือ DUSIT ในสัดส่วน 49.74%
1
เมื่อพิจารณาโครงสร้างการถือหุ้นโดยรวมคนในตระกูลเดียวกัน กลุ่มตระกูลโทณวณิกนำโดยชนินทธ์ โทณวณิก มีสัดส่วนการถือหุ้นรวม 26.66% โดยชนินทธ์เองถือ 25.40% และส่วนที่เหลือเป็นของณัฐพร ศิรินันท์ และศิรเดช โทณวณิก ที่ถือคนละ 0.42%
กลุ่มตระกูลเธียรประสิทธิ์ นำโดยสินี เธียรประสิทธิ์ มีสัดส่วนการถือหุ้นรวม 26.65% โดยสินีเองถือ 26.57% ส่วนที่เหลือเป็นของณัฐสิทธิ พัฒนีพร ลลิตา และภมรศักดิ์ เธียรประสิทธิ์
ส่วนกลุ่มตระกูลสาลีรัฐวิภาคนำโดยสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค มีสัดส่วนการถือหุ้นรวม 21.68% โดยสุนงค์เองถือ 21.62% ที่เหลือเป็นของชลิตา ภัทรพรรณ ภัทรพร และภัทร สาลีรัฐวิภาค นอกจากนี้ยังมีกองมรดกของท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ถือหุ้นในสัดส่วน 24.99%
2
  • “ชนินทธ์”ออกจากกรรมการบริษัท ชนัตถ์และลูก
1
ประเด็นน่าสนใจที่สะท้อนความขัดแย้งภายในอย่างชัดเจนคือ การเปลี่ยนแปลงกรรมการบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 มีการเปลี่ยนแปลงกรรมการครั้งสำคัญ โดย นายชนินทธ์ โทณวณิก ซึ่งเป็นบุตรชายคนโตและผู้บริหารคนสำคัญของดุสิตธานี ออกจากการเป็นกรรมการ ขณะที่มีการแต่งตั้งกรรมการเข้าใหม่ 2 คน คือ นายภัทร สาลีรัฐวิภาค (ตระกูลสาลีรัฐวิภาค) และนางสาวลลิตา เธียรประสิทธิ์ (ตระกูลเธียรประสิทธิ์)
ที่น่าสังเกตยิ่งกว่านั้นคือ รายชื่อกรรมการในปัจจุบันประกอบด้วย นางสินี เธียรประสิทธิ์ นางสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค นางสาวลลิตา เธียรประสิทธิ์ และนายภัทร สาลีรัฐวิภาค โดยที่ไม่มีชื่อของนายชนินทธ์ โทณวณิก หรือสมาชิกคนใดในตระกูลโทณวณิกเป็นกรรมการบริษัทเลย
ยิ่งไปกว่านั้น กรรมการลงชื่อผูกพันบริษัทในปัจจุบันระบุว่า "นางสินี เธียรประสิทธิ์ หรือนางสาวลลิตา เธียรประสิทธิ์ ลงลายมือชื่อร่วมกับ นางสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค หรือนายภัทร สาลีรัฐวิภาค สองคนลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญของบริษัท" ซึ่งหมายความว่าอำนาจในการบริหารจัดการบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ถูกควบคุมโดยตระกูลเธียรประสิทธิ์และสาลีรัฐวิภาคเท่านั้น โดยที่ตระกูลโทณวณิกไม่มีอำนาจในการลงนามแต่อย่างใด
1
  • ผลประกอบการบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด
บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ซึ่งก่อตั้งเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2553 ด้วยทุนจดทะเบียน 752,000,000 บาท มีผลประกอบการย้อนหลังที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในช่วงปี 2563-2564 ที่มีการลดลงของกำไรสุทธิอย่างมีนัยสำคัญ
ปี 2562 บริษัทมีรายได้รวม 74,106,608 บาท และมีกำไรสุทธิ 73,158,872 บาท ปี 2563 บริษัทมีรายได้รวม 83,268,149 บาท และมีกำไรสุทธิ 81,699,545 บาท ปี 2564 รายได้ลดลงอย่างมาก เหลือเพียง 2,730,600 บาท และกำไรสุทธิลดลงเหลือ 2,369,027 บาท ปี 2565 เริ่มฟื้นตัว มีรายได้รวม 7,736,041 บาท และกำไรสุทธิ 7,027,756 บาท ปี 2566 มีรายได้รวม 11,531,700 บาท และกำไรสุทธิ 10,768,455 บาท
1
การลดลงอย่างรุนแรงของผลประกอบการในปี 2564 สอดคล้องกับช่วงการระบาดหนักของโควิด-19 และเป็นช่วงเดียวกับที่ท่านผู้หญิงชนัตถ์เสียชีวิตในปี 2563
ด้านสินทรัพย์และหนี้สินของบริษัท พบว่าสินทรัพย์รวมมีการเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลา โดยปี 2566 อยู่ที่ 3,890,699,410 บาท ซึ่งลดลงจากปี 2565 ที่มีสินทรัพย์รวม 4,915,827,849 บาท ขณะที่หนี้สินรวมลดลงอย่างมากจาก 43,930,440 บาทในปี 2562 เหลือเพียง 521,132 บาทในปี 2566
การที่ตระกูลเธียรประสิทธิ์และสาลีรัฐวิภาคสามารถถอดชนินทธ์ออกจากการเป็นกรรมการบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งที่รุนแรงระหว่างทายาท และเป็นความพยายามที่จะลดอำนาจของชนินทธ์ในการควบคุมบริษัทแม่ที่ถือหุ้นใหญ่ในดุสิตธานี
1
หากพิจารณาโครงสร้างผู้ถือหุ้นของดุสิตธานี นอกจากบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ที่ถือหุ้นใหญ่ 49.74% แล้ว ยังมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับ 2 คือ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 17.09% อันดับ 3 คือ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 4.06% อันดับ 4 คือ นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล ถือหุ้น 3.87% และอันดับ 5 คือ นางจารุณี ชินวงศ์วรกุล ถือหุ้น 2.09%
บริษัทดุสิตธานีได้แสดงความเชื่อมั่นว่า สถานการณ์ความเข้าใจที่ไม่ตรงกันนี้จะสิ้นสุดโดยเร็ว เนื่องจากส่งผลกระทบโดยตรงต่อบริษัทฯ และผู้ถือหุ้นทุกราย
แต่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกรรมการและการไม่อนุมัติงบการเงินล้วนเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าความขัดแย้งระหว่างทายาทที่อาจส่งผลกระทบต่ออนาคตของกิจการโรงแรมระดับตำนานของไทยแห่งนี้อย่างมีนัยสำคัญ
1
โฆษณา