15 พ.ค. เวลา 15:56 • หุ้น & เศรษฐกิจ
น่าผิดหวังก็คือน่าผิดหวังครับ
รายได้ยังเติบโตได้แบบไม่ถึง 1% แต่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาเยอะกว่า สุดท้ายกำไรก็เลยออกมาอย่างที่เห็น
ตั้งแต่ติดตามบริษัทมา มีปัญหามาตลอด
- กองทุนขายเพราะปิดกอง
- สต็อกเสื้อดำมากเกินไป (พอเข้าใจได้)
- ปัญหาลูกหนี้การค้ากับพวก TT (แก้ได้แล้ว)
- บอร์ดฆ่าตัวตาย
- หุ้นหาย (แก้ได้แล้ว)
- และล่าสุด ปัญหาเรื่องจัดการคลังสินค้าอีก (แก้แล้ว รอดูอนาคต)
ทำไมมันไม่เคยง่ายเลยนะ
สิ่งที่ทำให้ผมยังอดทนถือหุ้นเค้าอยู่ ก็เพราะว่าผมชอบเจ้าของมาก แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด ถ้าผู้บริหารโอเค แต่คุณภาพธุรกิจไม่ได้เรื่อง ผมก็คงไม่ถือ แต่กลยุทธ์การทำธุรกิจของเค้า ผมว่ามันก็ make sense แล้วเค้าตั้งใจที่จะทำมากด้วย
ผมหวังว่าจะมีแบรนด์ไทยใหม่ ๆ ที่มี Business Model ต่างไปจากเจ้าเดิม ๆ พยายามไปบุกต่างประเทศ
ตัวที่อยู่ในตลาดหุ้น ในด้านของเครื่องแต่งกาย ที่ผมพอจะมีความหวังอยู่บ้าง ก็คือ Sabina และ Warrix
ซึ่งผมติดตาม เค้าก็ตั้งใจทำมันจริง ๆ
อย่างไอ้ความน่ากังวลที่พึ่งพาช่องทางการขายที่ไม่ใช่ของตัวเอง เค้าก็พยายามแก้ ด้วยการเปิด Shop ตัวเอง
ปัญหาพรีเซนเตอร์ไม่ตอบโจทย์ หน้าร้านยังไม่ดีพอ ก็เห็นบอกพยายามจะแก้
ผมชอบเค้าตรงที่ เค้าไม่เคยพยายามจะแก้ตัวเลย แต่พยายามจะแก้ไขตลอด
แต่มันยากจริง ๆ
ผมเชื่อแล้วครับ การจะสร้างแบรนด์ใหม่ ให้มันติดตลาดได้ โตได้แบบยั่งยืน แย่งตลาดมาจากเจ้าเก่า ๆ ให้ได้ เป็นเรื่องที่ยากมาก
ผมนึกถึงคำพูดของลูกพี่ผม ที่บอกว่า ถ้าแบรนด์อย่าง Hale's Blueboy อยู่ในตลาดหุ้นเนี่ย เค้าซื้อแน่นอน แบรนด์อย่าง ทาโร่ มาม่า ภูเขาทอง Mc Jeans พวกนี้ Proof มาแล้วว่า ผ่านกาลเวลามาได้หลาย 10 ปี และยังอยู่ได้แบบแข็งแกร่งมาก
แบรนด์หน้าใหม่กว่าจะทำแบบนี้ได้ ยังต้องผ่านบททดสอบอีกเยอะเลยครับ
การติดตามและเอาใจช่วย Warrix ผมเหนื่อยมากนะ
พอได้ติดตามพวกมันมาหลายปี ผมก็คิดได้ว่า เออ Mc Jeans นี่เก่งมากเลยนะ อยู่มานานขนาดนั้น แบรนด์อายุ 50 ปี จำนวน Shop ขนาดนั้น แต่ก็ยังเติบโตได้แบบน่าประทับใจ สร้างกระแสเงินสดได้ดีมาก สม่ำเสมอมากด้วย หนี้ก็ไม่มี
ปรับตัวเข้ากับออนไลน์ได้ดีมาก ภาพลักษณ์ของแบรนด์ตอนนี้ดูดีขึ้นมาก ไม่ได้ดูตลาดล่าง และเชยแบบในอดีตแล้ว
ผมพูดตรง ๆ ได้เลยว่า WARRIX ยังไม่มีอะไรแบบนั้นเลย ยังสู้ไม่ได้ กระแสเงินสดก็ไม่ได้ดูดีเท่า ยังต้องพึ่งพาพวกร้านค้าส่ง-ค้าปลีกอยู่เลย อำนาจการต่อรองของตัวเองก็ไม่ได้ดีมาก Shop ของตัวเอง ก็ยังไม่การันตีว่า จะเปิดเพิ่มได้เยอะ ๆ แล้วอยู่ไปได้ยาว ๆ แบบของ Mc Jeans
จะว่าไป ก่อนหน้านี้ ผมก็ไม่ได้คิดเรื่องมุมนี้สักเท่าไรนัก เพราะผมมัวแต่มองมันในแง่ของการเติบโตเป็นหลัก อีกทั้งผมก็ชอบกลยุทธ์ที่ผู้บริหารจะทำเพื่อเร่งการเติบโต
แต่มาตอนนี้ ผมเริ่มมองถึงเรื่องคุณภาพการทำธุรกิจให้มันยั่งยืนแล้ว โตได้ แต่ฐานนั้นไม่ยั่งยืน ผมก็ไม่ชอบเหมือนกัน ผมอยากได้โตและยั่งยืนไปพร้อมกัน
เท่าที่ผมดู Warrix ยังห่างจากจุดที่ Mc Jeans ทำได้ อีกมากเลย
กว่าที่แบรนด์ Warrix จะแข็งได้แบบนั้น กว่าที่บริษัทจะมีกระแสเงินสดคงเส้นคงวาได้แบบนั้น ผมว่า คงต้องใช้เวลาอีกมาก และคงไม่ใช่ในเร็ว ๆ นี้แล้ว
ตอนนี้ ผมคิดว่า 2,700 ล้านบาท ตามแผนที่ผู้บริหารวางไว้ ไม่น่าทำได้แล้วครับ
ด้วยสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ ด้วยปัญหาต่าง ๆ ที่มันรุมเร้าให้เข้ามาเจอทุกปี กระแสเงินสด ลูกหนี้การค้า ที่มันก็ยังไม่นิ่งสักกะที
ผมรอวันที่จะได้เห็น FCF ของบริษัทออกมาดูดีต่อเนื่องอยู่ แต่มันก็ยังไม่เกิดขึ้นสักที
บทเรียนจากการลงทุนในหุ้นตัวนี้:
- อย่าถือหุ้นเยอะเกินไป
มันมีความเสี่ยง เพราะพวกแบรนด์น้องใหม่ จะมีช่วงที่ดูดีมาก ๆ ในช่วงสั้น ๆ แต่ประสบการณ์เค้ายังน้อย มีไฟก็จริง แต่ยังขาดประสบการณ์ ยังเจอปัญหามาไม่มากพอ เรียกว่ายังไม่เก๋าพอ
และในระยะยาว ถ้าเค้าไม่ได้เก่งมากจริง ๆ ผลประกอบการไม่ได้ดีอย่างที่คิดไว้ ลงทุนไป ก็จะขาดทุนหนักได้
โชคดีหน่อย ผมไม่ได้ถือเยอะมากนัก จำกัดสัดส่วนไว้แค่นี้พอ
- อย่าไปซื้อหุ้นตอนราคาแพงเกินไป
จุดที่ผมพลาดหลัก ๆ ไม่ใช่สัดส่วนการถือ แต่เป็นการซื้อตอนที่มันแพงเกินไป
ตอนนั้น ผม Valuation และให้สมมติฐานแบบ Aggressive เกินไป เพราะเชื่อว่าผู้บริหารจะทำได้แบบที่บอก
ผมเชื่อว่าเค้าเชื่อแบบนั้นจริง ๆ ไม่ได้ตั้งใจมาหลอก แต่ไอ้ความเชื่อกับความจริง มันไม่เหมือนกัน ทางที่ดีกว่าคือ Conservative ไว้ก่อน ถ้าราคาไม่อยู่ในกรอบที่ตั้งไว้แบบ Conservative เราก็ยังไม่ต้องซื้อหุ้น
พอ Valuation ด้วยสมมติฐาน Aggressive เกินไป ตอนนั้นผมก็เลยเชื่อว่า ณ ราคาในตอนนั้น ไม่แพงเลย เมื่อเทียบกับการเติบโต
ถ้าผม Conservative ไว้ก่อน แบบที่ชอบทำเสมอ ก็อาจจะไม่ได้เจ็บจากตัวนี้หนักขนาดนี้ก็ได้ครับ
- ระวังพวกบริษัทที่ยังไม่มีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน
Warrix คือตัวอย่างของบริษัท ที่ยังไม่มี Durable Competitive Advantage แต่มีไฟที่จะเป็นให้ได้แบบนั้น
ผมเชื่อว่าความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน สามารถสร้างได้
แต่มันอาจจะไม่ได้เร็วขนาดนั้น มันต้องใช้เวลาพอสมควรในการบ่มเพาะ
ดังนั้น เมื่อเจอบริษัทแบบนี้ มันก็เหมือนเรากำลังอยู่บนทาง 2 แพร่ง ระหว่าง ทำได้ หรือทำไม่ได้
ดังนั้น การประเมิน Valuation ด้วยสมมติฐานแบบ Conservative ไว้ก่อน และการจำกัดสัดส่วนการถือไว้ ไม่ให้เยอะเกินไป เช่น ไม่เกิน 5-10% ของพอร์ต จะเป็นทางที่ปลอดภัยกว่ามาก
- บางทีมันก็อาจจะใช้เวลามากกว่าที่เราคิด
ในปัจจุบัน บริษัทอาจจะยังไม่โดดเด่น ก็ไม่ได้หมายความว่า อนาคตจะทำไม่ได้
แต่ผมว่า เราจำเป็นต้องรอ ต้องอดทนถือมันให้นานมากพอ จนบริษัทสามารถผ่านบททดสอบยาก ๆ มาได้ เก่งขึ้น เติบโตขึ้น เจอท่าไม้ตายที่จะทำให้บริษัทเติบใหญ่ได้อย่างยั่งยืน
ผมเชื่อว่า ไม่มีใครรู้หรอกว่า มันจะเกิดขึ้นตอนไหน ไม่มีใครฉลาดมากขนาดนั้น เราอาจจะพอมองเห็นสัญญาณบางอย่างได้ แต่ไม่อาจล่วงรู้วันเวลา และไม่สามารถการันตีได้ว่า มันจะเกิดขึ้นจริง
ความอดทนมนการถือมันต่อไป เอาใจช่วยอยู่ห่าง ๆ โฟกัสที่กลยุทธ์ และตัวชีวัดของผลประกอบการบางอย่าง ที่บอกว่า บริษัทกำลังมาถูกทางแล้ว
เร็วหน่อยก็ไม่กี่ปี แต่ถ้าช้า ก็อาจจะใช้เวลาเป็น 10 ปีก็ได้
หุ้นบางตัว กว่าจะเป็น 100 เด้ง หรือหลาย 10 เด้ง ก็จะมีช่วงที่มันไม่ค่อย perform ดีเท่าไร
ผมหวังว่า บทเรียนความผิดพลาดของผมกับ WARRIX คงจะเป็นประโยชน์อยู่บ้างนะครับ
ผมยังชอบบริษัทนี้อยู่ และผมก็ชอบผู้บริหารอยู่
แต่ภาพที่ผมคิด มันอาจจะใช้เวลานานกว่าที่เคยคิดไว้ หรือมันอาจจะไม่เกิดขึ้นเลยก็ได้ครับ
ไม่มีใครรู้หรอกครับ....
"ไม่มีใครรู้ว่ารักจะจบลงเมื่อใร ไม่มีใครรู้ว่ารักจะจืดจางเมื่อใด"
โฆษณา