16 พ.ค. เวลา 13:52 • หุ้น & เศรษฐกิจ

หัวข้อ: วาทกรรมแห่งความเกลียดชังกับรากเหง้าทางสังคมไทย

บทนำ: เมื่อคำพูดกลายเป็นอาวุธ สังคมก็บาดเจ็บ
ในยุคที่ทุกคนสามารถเป็นผู้ส่งเสียง คำพูดจึงไม่ใช่เพียงเครื่องมือสื่อสารอีกต่อไป แต่มันกลายเป็นอาวุธที่บาดลึกกว่าดาบ เสียงของการกล่าวเท็จ การใส่ร้าย และวาทกรรมแห่งความเกลียดชัง ถูกปล่อยออกมาจากทั้งนักการเมือง สื่อมวลชน ไปจนถึงประชาชนทั่วไปผ่านโลกออนไลน์ราวกับเป็นเรื่องปกติ ความแตกแยก ความไม่ไว้วางใจ และความเกลียดชังได้ซึมลึกในทุกระดับของสังคมไทย เราไม่ได้แตกแยกเพราะคิดต่าง แต่เพราะเราไม่รู้จักฟัง ไม่รู้จักพูด และไม่รู้จักยั้งคิดก่อนจะปล่อยถ้อยคำออกไป สังคมที่ไร้สติ ย่อมเป็นสังคมที่ไร้ความหวัง
1. ปรากฏการณ์ปัจจุบัน: ภาพรวมของพฤติกรรมที่ปรากฏ
🔍 คำเท็จและการกล่าวร้าย (Fake news & Discredit) กลายเป็นเรื่องธรรมดา
🔍 การติเตียนด้วยความริษยาและแบ่งฝักฝ่าย
🔍 สื่อไร้จรรยาบรรณเพื่อยอดคลิก
🔍 โซเชียลมีเดีย = สนามรบของอารมณ์
2. รากเหง้าของปัญหา
2.1 ความไม่รู้ (อวิชชา) และการขาดทักษะคิดวิเคราะห์
ระบบการศึกษามุ่งเน้นท่องจำ ไม่พัฒนาความเข้าใจเชิงลึกหรือคุณธรรม
พลเมืองส่วนใหญ่ขาดทักษะ “สื่อสารอย่างรับผิดชอบ”
2.2 วัฒนธรรมเชิงอำนาจและการไม่ยอมรับความเห็นต่าง
รากฐานทางวัฒนธรรมไทยผูกโยงกับ “ลำดับชั้น” และ “หน้าไว้หลังหลอก”
การวิพากษ์กลายเป็นการ “ด่าทอ” แทนการอภิปรายเชิงเหตุผล
2.3 ความไม่มั่นคงในตนเองและความหวาดกลัว
เมื่อไม่มั่นใจในสถานะทางสังคม/เศรษฐกิจ คนจำนวนมากจึงใช้อารมณ์แทนเหตุผล
การโจมตีผู้อื่นกลายเป็น “ทางระบาย” หรือ “ยืนยันตัวตน”
3. บริบททางสังคมไทยร่วมสมัย
3.1 ความเหลื่อมล้ำทางโอกาสและข้อมูลข่าวสาร
คนจำนวนมากไม่มีเครื่องมือในการคัดกรองข้อมูล ทำให้ตกเป็นเหยื่อข่าวลวงได้ง่าย
สื่อกระแสหลักบางส่วนกลายเป็นเครื่องมือของกลุ่มทุนและอำนาจ
3.2 ความล้มเหลวของสถาบันนำทางสังคม
การเมืองไม่สร้างสรรค์ ศาสนาสูญเสียบทบาทนำทางจิตใจ
การขาด “แบบอย่างทางคุณธรรม” จากผู้นำทางสังคม ทำให้สังคมขาดหลักยึด
3.3 โลกดิจิทัลที่ไร้สติ
เทคโนโลยีเปิดพื้นที่ให้ทุกคนมีเสียง แต่ไม่ได้สร้าง “กรอบจริยธรรม” ให้เสียงนั้น
ปรากฏการณ์ Echo Chamber และการ Cancel Culture ยิ่งขยายความแตกแยก
4. ทางออก: สัมมาวาจาและการฟื้นฟูจริยธรรม
เมื่อคำพูดกลายเป็นอาวุธ เราจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะใช้คำพูดให้เป็นยารักษา หนทางสำคัญในการฟื้นฟูสังคมที่บาดเจ็บจากวาทกรรมแห่งความเกลียดชัง คือการหวนคืนสู่หลักธรรมดั้งเดิมอย่าง "สัมมาวาจา" – การพูดอย่างถูกต้อง ชอบธรรม และสร้างสรรค์
สัมมาวาจา ในพุทธธรรมประกอบด้วยหลัก 4 ประการ คือ
เว้นจากการพูดเท็จ – พูดแต่ความจริง ไม่บิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือทำร้ายผู้อื่น
เว้นจากการพูดส่อเสียด – ไม่ยุแหย่ให้คนแตกกัน ไม่พูดให้เกิดความบาดหมาง
เว้นจากการพูดคำหยาบ – ใช้ถ้อยคำสุภาพ ไม่ด่าทอ ดูหมิ่น หรือก้าวร้าว
เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ – ไม่พูดเหลวไหล ไร้สาระ ไม่ปลุกปั่นหรือกระตุ้นอารมณ์อย่างไร้เหตุผล
การฝึกสัมมาวาจาไม่ใช่แค่การควบคุมคำพูด แต่เป็นการฝึกจิตใจ ฝึกการคิดก่อนพูด การตั้งอยู่ในความกรุณาเมตตา และความใคร่ครวญในผลกระทบของถ้อยคำที่เราจะใช้
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงในระดับบุคคลจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้าง:
ภาครัฐและสื่อมวลชน ควรสร้างมาตรฐานจริยธรรมในการสื่อสารอย่างจริงจัง และมีมาตรการรับผิดชอบต่อข่าวลวงหรือเนื้อหาปลุกปั่น
ระบบการศึกษา ต้องสอนให้เด็กรู้จักคิด วิเคราะห์ แยกแยะข่าวสาร และฝึกการสื่อสารที่มีคุณธรรมตั้งแต่ระดับปฐมวัย
ครอบครัวและชุมชน ควรเป็นพื้นที่แห่งการฟัง การสนทนา และการยอมรับความแตกต่าง โดยไม่ใช้ถ้อยคำกดทับหรือปิดกั้น
โซเชียลมีเดีย ควรถูกนำมาใช้เป็นพื้นที่สร้างสรรค์ เปิดพื้นที่ให้เสียงแห่งความหวัง ความรู้ และความเข้าใจได้เติบโตแทนเสียงแห่งความเกลียดชัง
ท้ายที่สุด การฟื้นฟูสังคมจากบาดแผลทางคำพูด ไม่ใช่แค่การออกกฎหมายหรือรณรงค์ชั่วคราว แต่คือการปลุกจิตสำนึกใหม่ของสังคมไทย ที่รู้จักใช้เสียงเป็นพลังในการเยียวยา สร้างสรรค์ และนำพาความสามัคคีคืนกลับมา
โฆษณา