17 พ.ค. เวลา 13:42 • หุ้น & เศรษฐกิจ

🎯 นักลงทุนชื่อดังปรับพอร์ตอย่างไรในไตรมาส 1/2025 และสื่อถึงอะไรกันบ้าง | Podcast Available 🎙️

วันนี้แอดจะมาสรุปภาพรวมการปรับพอร์ตของนักลงทุนชื่อดังให้อ่านกันค่ะ มีทั้งหมด 9 คน เรียงตามนี้เลย 1. Warren Buffett 2. Michael Burry 3. Bill Ackman 4. Ray Dalio 5. Cathie Wood 6. George Soros 7. David Tepper 8. Stanley Druckenmiller 9. Ken Griffin
เลื่อนอ่านกันได้ตามใจชอบค่ะ เพราะยาวมากๆ (มันมีตั้ง 9 คนอะเนอะ) หรือกด Podcast ฟังก็ได้ค่ะ ลิงค์ด้านล่างค่ะ
‼️ อันนี้เป็นพอร์ต ณ สิ้นไตรมาส 1/25 นะคะ บอกไม่ได้ว่าใครผิดทางหรือถูกทาง เพราะตลาด u-turn ไวมากในเดือนเมษายนค่ะ 😆
1️⃣ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett)
📊 ความเคลื่อนไหวพอร์ต: ในไตรมาสแรกปี 2025 วอร์เรน บัฟเฟตต์ยังคงรักษาความระมัดระวังเช่นเดิม โดย ไม่มีการซื้อหุ้นใหม่เลย ในพอร์ตของ Berkshire Hathaway แม้ตลาดจะผันผวน แต่ช่วงไตรมาสนี้บัฟเฟตต์ เน้นลดการถือครองหุ้นบางส่วนและสะสมเงินสดเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ ด้วยมูลค่าเงินสดสิ้นเดือนมีนาคมสูงถึง $350 พันล้านเหรียญ (เพิ่มจาก $334 พันล้านฯ สิ้นปี 2024) บ่งชี้ท่าทีระมัดระวังต่อสภาวะตลาด
1
➕ หุ้นที่ซื้อเพิ่ม: แม้ไม่มีหุ้นตัวใหม่ แต่ Berkshire Hathaway ได้ เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นบางตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะ Occidental Petroleum (บริษัทพลังงานน้ำมันและก๊าซ) ที่ซื้อหุ้นเพิ่มกว่า 700,000 หุ้น ทำให้มูลค่าการถือครองขึ้นไปถึง $13 พันล้าน สะท้อนมุมมองเชิงบวกต่อภาคพลังงาน
นอกจากนี้ยัง เพิ่มการถือหุ้นในบริษัทเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตอย่าง Verisign ราว 3% (เป็นมูลค่า $3.7 พันล้าน) และ ซื้อหุ้นบริษัทวิทยุกระจายเสียงผ่านดาวเทียม Sirius XM เพิ่มขึ้นถึง 35% (มูลค่ารวม $2.7 พันล้าน) นับเป็นการเพิ่มการลงทุนที่โดดเด่นในไตรมาสนี้
นอกจากนั้นยังมีการทยอยซื้อหุ้นอื่นๆ เพิ่ม เช่น Seagate Technology (ผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์และอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล), Domino’s Pizza (เครือร้านพิซซ่าระดับโลก) และ Constellation Brands (ธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายใหญ่) อีกเช่นกัน
การเข้าซื้อหุ้นเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าบัฟเฟตต์ยังมองหาโอกาสในธุรกิจที่มี ความได้เปรียบเชิงการแข่งขันและแนวโน้มมั่นคง เช่น พลังงาน สินค้าอุปโภคบริโภค และโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ต
🔻 หุ้นที่ขายลดสัดส่วน: ฝั่งการลดพอร์ต บัฟเฟตต์ได้ลดการถือครองหุ้นกลุ่มธนาคารลงอย่างชัดเจน สะท้อนความกังวลต่อภาคการเงินในช่วงนั้น โดยได้ ขายหุ้นธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง Citigroup ออกทั้งหมด (ปิดสถานะการลงทุนในซิตี้กรุ๊ป) พร้อมกับ ขายหุ้นบางส่วนของ Bank of America มูลค่ากว่า $2 พันล้าน และ ลดสัดส่วนถือหุ้น Capital One Financial ลงประมาณ 4% ถือเป็นการลดความเสี่ยงในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่
การเคลื่อนไหวนี้สอดคล้องกับถ้อยแถลงของบัฟเฟตต์ในที่ประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีที่ว่าเขายังไม่พบโอกาสลงทุนขนาดใหญ่ที่ “คุ้มค่า” ในราคาที่เหมาะสม จึงเลือกถือเงินสดรอโอกาสต่อไป มากกว่าจะเร่งเข้าซื้อในภาวะตลาดปัจจุบัน
➡️ สถานะที่คงไว้: แม้จะมีการปรับลดหุ้นการเงิน บัฟเฟตต์ยังคง ถือหุ้นหลักในพอร์ตไว้อย่างมั่นคง เช่น Apple ซึ่งยังคงเป็นหุ้นเด่นอันดับหนึ่งของ Berkshire Hathaway (คิดเป็นสัดส่วนสูงของพอร์ต) โดยบัฟเฟตต์ไม่ได้ขายหุ้นแอปเปิลออกในไตรมาสนี้ รวมถึงหุ้นคุณค่าอื่นๆ อย่าง American Express, Coca-Cola และ Chevron ก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง กล่าวได้ว่าแกนหลักของพอร์ตยังไม่เปลี่ยน บ่งชี้ความเชื่อมั่นระยะยาวในธุรกิจเหล่านี้
🧭 มุมมองเชิงกลยุทธ์: การที่บัฟเฟตต์ไม่เข้าลงทุนใหม่ๆ และสะสมเงินสดจำนวนมหาศาล สื่อถึงมุมมองว่าตลาดในขณะนี้ ราคาแพงหรือเสี่ยงเกินไป ไม่คุ้มที่จะลงทุนเพิ่มโดยไม่มีส่วนลดที่ดึงดูดใจ ส่วนการขายลดหุ้นธนาคารใหญ่สะท้อนว่าบัฟเฟตต์ กังวลต่อความไม่แน่นอนในระบบการเงิน หรือคุณภาพสินทรัพย์ของแบงก์หลังผ่านวิกฤต
ด้านการเพิ่มลงทุนใน Occidental และธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค บ่งชี้ว่าเขา ยังเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมที่เข้าใจง่าย มีความต้องการต่อเนื่อง (พลังงาน อาหาร เครื่องดื่ม) พร้อมทั้งลงทุนเพิ่มในบริษัทโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตอย่าง Verisign และสื่อวิทยุอย่าง Sirius XM ซึ่งสะท้อนมุมมองบวกต่อ ธุรกิจที่มีลักษณะผูกขาดหรือฐานลูกค้าประจำ
บัฟเฟตต์กำลังเตรียมพร้อมพอร์ตให้ ป้องกันความผันผวน โดยถือเงินสดรอเวลาที่เหมาะสมในการลงทุนครั้งใหญ่ (เจ้าตัวเคยระบุพร้อมจะใช้เงินถึง $1 แสนล้านหากพบดีลที่คุ้มค่า) นโยบาย “ถือเงินสดและไม่รีบร้อนซื้อ” นี้สอดคล้องกับภาพรวมที่ว่านักลงทุนระดับตำนานอย่างเขามองว่าช่วงนี้ควรรักษา ความยืดหยุ่นและความปลอดภัย ของพอร์ตไว้ก่อน
2️⃣ ไมเคิล เบอร์รี่ (Michael Burry)
📊 ความเคลื่อนไหวพอร์ต: ไมเคิล เบอร์รี่ ผู้จัดการกองทุน Scion Asset Management เจ้าของตำนาน “Big Short” ได้ปรับพอร์ตอย่างสุดขั้วในไตรมาส 1 ปี 2025 โดย เปลี่ยนมาใช้กลยุทธ์ขาลงเกือบเต็มตัว พอร์ตของเขาเหลือเพียง 7 ตำแหน่งการลงทุนเท่านั้น แต่ที่น่าทึ่งคือ 6 ใน 7 ตำแหน่งเป็นสถานะขายชอร์ตผ่านออปชันแบบ Put สะท้อนท่าที bearish อย่างที่สุด
เบอร์รี่ได้ ทุ่มเดิมพันมหาศาลกับการคาดการณ์ว่าหุ้นเทคโนโลยีจะปรับฐานลงรุนแรง โดยเฉพาะการเปิดสถานะ Short ขนาดใหญ่ใน NVIDIA (NVDA) ผ่านการซื้อออปชัน Put จำนวน 900,000 หน่วย ซึ่งคิดเป็นเกือบ ครึ่งหนึ่งของมูลค่าพอร์ตทั้งหมด ของเขาเลยทีเดียว
การเดิมพันนี้เสมือนเป็นการประกาศว่าเบอร์รี่เชื่อว่ากระแสการลงทุนในหุ้นกลุ่มปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่หนุนราคาหุ้น NVIDIA จนพุ่งขึ้นนั้น เกินมูลค่าพื้นฐานและกำลังจะแตกฟองสบู่
นอกจากนี้เบอร์รี่ยังได้ พลิกสถานะจากฝั่งซื้อมาเป็นฝั่งขายชอร์ตในหุ้นเทคโนโลยีจีนทุกตัวที่เขาถือ ได้แก่ Alibaba (BABA), PDD Holdings (เจ้าของ Temu), JD.com, และ Baidu โดยเปลี่ยนจากการถือหุ้น Long มาเป็นการถือ Put options ในหุ้นเหล่านี้ พร้อมกับเพิ่มจำนวนหุ้นในสัญญาเพื่อเพิ่มน้ำหนักการชอร์ตอีกด้วย
ยกตัวอย่างเช่น เขาเพิ่มสถานะ Put ใน Alibaba จาก 150,000 เป็น 200,000 หุ้น และ เพิ่มPut ใน Pinduoduo จาก 75,000 เป็น 200,000 หุ้น ซึ่งล้วนสะท้อนมุมมองเชิงลบอย่างหนักแน่นต่อกลุ่มอีคอมเมิร์ซจีน ส่วน JD.com ก็เพิ่มสถานะชอร์ตจาก 300,000 เป็น 400,000 หุ้นผ่าน Put เช่นกัน และ Baidu ซึ่งเป็นหุ้นเสิร์ชเอนจินยักษ์ใหญ่ของจีน เบอร์รี่ยังคงจำนวนหุ้นไว้ที่ 100,000 แต่เปลี่ยนมาเป็น Put ทั้งหมด (เดิมเคยถือ Long)
การที่เขากระหน่ำชอร์ตหุ้นเทคจีนครบทุกตัวเช่นนี้ แสดงถึงการ ไม่ไว้ใจแนวโน้มทั้งภาคเทคโนโลยีจีน ไปพร้อมๆ กับฝั่งสหรัฐ
➕ หุ้น/สินทรัพย์ที่ซื้อเพิ่ม: ท่ามกลางพอร์ตที่เต็มไปด้วยการชอร์ต มีเพียง หุ้นเดียวที่เบอร์รี่ถือสถานะ Long และยังเพิ่มการลงทุนขึ้นเท่าตัว คือ Estee Lauder (EL) บริษัทเครื่องสำอางและสินค้าความงามชั้นนำระดับโลก เขาเพิ่มจำนวนหุ้น EL จาก 100,000 เป็น 200,000 หุ้นในไตรมาสนี้
การเพิ่มการถือครอง EL ซึ่งอยู่ในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีกำลังซื้อค่อนข้างคงทน บ่งชี้ว่าเบอร์รี่กำลังใช้หุ้นตัวนี้เป็น สินทรัพย์ปลอดภัย (safe haven) ในพอร์ตท่ามกลางการเดิมพันขาลงอื่นๆ เขาอาจมองว่า แบรนด์หรูที่แข็งแกร่งและธุรกิจเครื่องสำอางระดับบน อย่าง Estee Lauder จะยังคงมีกำไรและความต้องการที่มั่นคง แม้เศรษฐกิจชะลอตัว จึงเพิ่มน้ำหนักเพื่อถ่วงดุลความเสี่ยงของพอร์ตที่เหลือ
🔻 สินทรัพย์ที่ขาย/ปิดสถานะ: เบอร์รี่ได้ ขายหุ้นที่เคยถืออยู่ทั้งหมดในกลุ่มอื่นๆ ออกไปจนเกลี้ยงพอร์ต เพื่อระดมเงินมาโฟกัสการลงทุนในธีมหลักของเขา โดยเขา เลิกลงทุนในหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ทั้งหมด (ขายทิ้งหุ้น Molina Healthcare, HCA Healthcare, Oscar Health)
ขายหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม/เทคโนโลยีการวิจัย อย่าง Bruker Corp ออกไป ขายหุ้นสินค้าอุปโภคบริโภคที่เคยถือ เช่น V.F. Corporation (เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า) และ Canada Goose (แบรนด์เสื้อกันหนาวหรู) รวมถึง ขายหุ้นกลุ่มการเงิน อย่าง American Coastal Insurance และ หุ้นอื่นๆ เช่น Magnera Corp ออกหมดเช่นกัน กล่าวได้ว่าเขาได้ “เทขาย” พอร์ตเดิมเกือบทั้งหมด เพื่อนำเงินมา “all-in” ในการเดิมพันขาลง ที่เขามีความเชื่อมั่นสูง
➖ สถานะชอร์ตและอนุพันธ์: ดังที่กล่าวข้างต้น พอร์ตของเบอร์รี่ประกอบด้วยสถานะ Put options เป็นหลัก จึงไม่มี short position แบบยืมหุ้นขายเปล่า (Short Equity) ปรากฏใน 13F แต่การถือ Put ก็ทำหน้าที่เสมือนการชอร์ตหุ้นเช่นกัน สถานะ Put เหล่านี้รวมถึง NVDA, BABA, PDD, JD, Baidu, Trip.com ซึ่งเป็นการเก็งกำไรว่าราคาหุ้นเหล่านี้จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้เขายังได้เพิ่ม สถานะ Put ใหม่ใน Trip.com (TCOM) จำนวน 200,000 หุ้น ซึ่งเป็นบริษัทท่องเที่ยวออนไลน์รายใหญ่ของจีน การเพิ่ม TCOM นี้สะท้อนว่าเขา ขยายมุมมองเชิงลบไปถึงภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคของจีน คาดการณ์ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนอาจไม่สดใสอย่างที่ตลาดคาด
🧭 มุมมองเชิงกลยุทธ์: พอร์ตของไมเคิล เบอร์รี่ ในไตรมาสนี้จัดได้ว่า มีความข้ามกระแสอย่างรุนแรง และเป็นหนึ่งในพอร์ตที่หันมาเดิมพันขาลงมากที่สุดของเขาในรอบหลายปี การที่เกือบทั้งพอร์ตเป็นสถานะชอร์ตต่อหุ้นเทคฯ (ทั้งสหรัฐและจีน) สื่อสารชัดเจนว่าเบอร์รี่ เชื่อว่าตลาดหุ้นโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีกำลังอยู่ในฟองสบู่และจะปรับฐานครั้งใหญ่
เขาเคยมีผลงานจากการทำนายวิกฤตซับไพรม์ปี 2008 และฟองสบู่ดอทคอม แผนการลงทุนครั้งนี้จึงเปรียบเสมือนการเดิมพันครั้งใหญ่ของเขาว่า กระแส AI และราคาหุ้นเทคที่สูงเกินจริงในปัจจุบันจะพังลง เช่นเดียวกับฟองสบู่ก่อนๆ การที่เขา เทขายหุ้นทุกกลุ่มอื่นออกหมด แสดงถึง ความมั่นใจระดับสูงและยอมทุ่มสุดตัวในมุมมองของตน ไม่กระจายความเสี่ยงไปภาคส่วนอื่นๆ อีกแล้ว
นอกจากนี้การเลือกถือ Long ใน Estee Lauder เพียงตัวเดียวสะท้อนว่าเขาต้องการมีเกราะป้องกันบางส่วนในสินทรัพย์ที่มั่นคง (สินค้าแบรนด์แกร่งที่ผู้บริโภคยังกำลังซื้อได้) ขณะที่ส่วนอื่นของพอร์ตเน้นทำกำไรจากการย่อตัวของตลาดโดยตรง โดยรวม เบอร์รี่กำลังส่งสัญญาณเตือนไปยังนักลงทุนทั้งโลกว่า “ฟองสบู่หุ้นใกล้จะแตกแล้ว” และเขาได้วางตำแหน่งพอร์ตเพื่อรับมือเหตุการณ์นั้นอย่างเต็มที่
3️⃣ บิลล์ แอ็คแมน (Bill Ackman)
ความเคลื่อนไหวพอร์ต: บิลล์ แอ็คแมน แห่งกองทุน Pershing Square Capital Management ได้ทำการปรับพอร์ตครั้งสำคัญในไตรมาส 1 ปี 2025 โดย หมุนเงินลงทุนเข้าสู่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่และหุ้นกลุ่มยานยนต์-การเดินทาง ขณะเดียวกันก็ลดสัดส่วนในหุ้นบางตัวที่ราคาปรับขึ้นมาก
แอ็คแมน ได้สร้างความฮือฮาด้วยการ เข้าซื้อหุ้นใหม่ในบริษัท Uber Technologies (บริการเรียกรถโดยสารและเดลิเวอรี่ออนไลน์) กว่า 30 ล้านหุ้น ในไตรมาสนี้ ซึ่งถือเป็น การเปิดสถานะใหม่ครั้งใหญ่ และทำให้ Uber กลายเป็น หุ้นอันดับหนึ่งในพอร์ต Pershing Square ทันที โดยคิดเป็นประมาณ 19% ของพอร์ตทั้งหมด สะท้อนว่าเขาเล็งเห็นโอกาสเติบโตระยะยาวในธุรกิจแพลตฟอร์มการเดินทางและส่งอาหารของ Uber
นอกจากนี้ แอ็คแมนยัง เพิ่มการลงทุนในหุ้นบริษัทให้เช่ารถยนต์ Hertz Global Holdings ประมาณ 18% หลังจากก่อนหน้านี้เขาซื้อ Hertz จำนวนมากแต่เก็บเป็นความลับ (รายงานภายหลังว่าเขาได้ซื้อเพิ่ม 12.7 ล้านหุ้น Hertz ช่วงปลายปี 2024 และมาเปิดเผยทั้งหมดในรายงานไตรมาสนี้) การเข้าซื้อ Hertz และ Uber แสดงถึง มุมมองบวกของเขาต่อภาคการเดินทางและยานยนต์ ที่ฟื้นตัวหลังโรคระบาด
➕ หุ้นที่ซื้อเพิ่ม: นอกเหนือจาก Uber และ Hertz แล้ว Pershing Square ยังได้ เพิ่มสัดส่วนถือครองในหุ้นกลุ่มการเงินและเทคโนโลยีบางตัว เช่น Brookfield Corporation (บริษัทโฮลดิ้งด้านอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน) ที่เพิ่มการถือหุ้น +18% ในไตรมาสนี้ และ เพิ่มหุ้น Alphabet Inc (GOOGL, Class A) ราว 11% เสริมการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีโฆษณาและเสิร์ช
➡️ ด้าน Howard Hughes Corporation (HHH) ซึ่งเป็นกิจการอสังหาริมทรัพย์ที่แอ็คแมนถือหุ้นใหญ่และต้องการพัฒนาให้เป็นโฮลดิ้งคล้าย Berkshire Hathaway นั้น ไม่มีรายงานการซื้อเพิ่มในไตรมาสนี้ แต่ยังคงเป็นหนึ่งในหุ้นหลัก (~12% ของพอร์ต) สะท้อนว่าแอ็คแมนยังคงวิสัยทัศน์สร้างบริษัทโฮลดิ้งระยะยาวผ่าน Howard Hughes ต่อไป
หุ้น Restaurant Brands International (QSR) เจ้าของแบรนด์ฟาสต์ฟู้ดเช่น Burger King และ Tim Hortons ก็ยังคงอยู่ในพอร์ต (~13%) โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน แปลว่าแอ็คแมนยังเชื่อมั่นในธุรกิจร้านอาหารแฟรนไชส์ระดับโลกนี้อย่างต่อเนื่อง
🔻 หุ้นที่ขายลด/ปรับโครงสร้าง: ในด้านการลดสัดส่วน แอ็คแมนได้ ขายหุ้นบางส่วนของบริษัทโรงแรม Hilton Worldwide Holdings ออกถึงประมาณ 45% ของที่ถืออยู่เดิม นับเป็นการลดอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจมาจากการที่ราคาหุ้น Hilton ปรับตัวขึ้นมากหรือมุมมองว่าธุรกิจโรงแรมเริ่มเต็มมูลค่าแล้ว
เขายัง ขายลดหุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Alphabet (GOOG, Class C) ประมาณ 16% แม้จะเพิ่มฝั่งหุ้น Class A กูเกิล แต่เขาปรับลดหุ้น Class C ลงเล็กน้อยเพื่อบาลานซ์พอร์ต นอกจากนี้ หุ้นร้านอาหารจานด่วนระดับพรีเมียม Chipotle Mexican Grill ก็ถูกขายลดลง ~13% หลังจากที่ราคาหุ้น CMG ทำสถิติสูงขึ้น (สะท้อนการทยอยทำกำไรบางส่วน) รวมถึง หุ้นทางรถไฟ Canadian Pacific เขาก็ปรับลดลงเล็กน้อย (<1%) แสดงการปรับพอร์ตเพียงเล็กน้อยในสินทรัพย์ที่มีความเป็นวัฏจักร (เช่น การขนส่งทางราง)
➖ อนุพันธ์และสถานะอื่น: การเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจคือ แอ็คแมนได้ ปรับโครงสร้างการลงทุนในหุ้น Nike บริษัทเครื่องกีฬาและเครื่องแต่งกายยักษ์ใหญ่ โดย ขายหุ้นสามัญ Nike ที่ถือจำนวน 18.8 ล้านหุ้นออกทั้งหมด แล้วหันไปถือผ่านสัญญา Call Options แทน ซึ่งทำให้ยังคงมีความเสี่ยงใน Nike ใกล้เคียงเดิม
การเคลื่อนไหวนี้มีนัยว่าต้องการ คงการลงทุนใน Nike ไว้ แต่ใช้เงินทุนน้อยลงหรือเพิ่มอำนาจ leverage ผ่านตราสารอนุพันธ์ ทั้งนี้ แอ็คแมนได้ดำเนินการขายหุ้น Nike และถือ Call ก่อนหน้าที่สหรัฐฯ จะประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน (ซึ่งกระทบต้นทุน Nike) จึงถูกมองว่าเป็นการ ลดความเสี่ยงล่วงหน้าก่อน “พายุสงครามการค้า” ที่อาจกระทบธุรกิจสินค้าอุปโภค
ในภาพรวม Pershing Square ไม่มีสถานะ Short ที่เป็นสาระสำคัญในรายงาน 13F ดังนั้นไม่มีการเปิดเผยการชอร์ตหุ้นใดๆ
🧭 มุมมองเชิงกลยุทธ์: การปรับพอร์ตของบิลล์ แอ็คแมนบ่งชี้ถึง ความเชื่อมั่นต่อการบริโภคและการเดินทางในยุคหลังโควิด เขาเข้าลงทุนใหญ่ใน Uber และเพิ่ม Hertz ซึ่งได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจเปิดและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป (นิยมบริการเรียกรถ ใช้รถเช่าท่องเที่ยว) นอกจากนี้การเพิ่มหุ้น Brookfield และคง Howard Hughes สะท้อนว่าเขายังมุ่งเน้น ยุทธศาสตร์สร้างบริษัทโฮลดิ้งและลงทุนในสินทรัพย์ระยะยาว เช่น อสังหาริมทรัพย์ โครงสร้างพื้นฐาน
ในส่วนการลด Hilton อาจหมายถึงเขา มองว่าอุตสาหกรรมโรงแรมได้ผ่านจุดสูงสุดของรอบฟื้นตัว หรืออย่างน้อยควรล็อกกำไรบางส่วนไว้ การเปลี่ยนหุ้น Nike เป็นออปชันแสดงถึง การจัดการความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด – เขายังคงเชื่อในแบรนด์ Nike ระยะยาว แต่ก็ระมัดระวังผลกระทบระยะสั้นจากต้นทุนและภาษี โดยใช้เครื่องมืออนุพันธ์เข้าช่วย
โดยรวม แอ็คแมนกำลัง ปรับพอร์ตให้ยืดหยุ่นและพร้อมรับสถานการณ์ เขาเพิ่มน้ำหนักในธุรกิจที่เห็นโอกาส (Uber, Mobility) และลดในส่วนที่ราคาสูงเต็มมูลค่า (Hilton, Chipotle) รวมถึงปรับโครงสร้างการลงทุน (Nike) เพื่อรักษาผลตอบแทนและลด Downside Risk กลยุทธ์ของเขามีลักษณะทั้งรุกและรับ สมกับชื่อเสียงนักลงทุนที่กล้าตัดสินใจและมองการณ์ไกล
4️⃣ เรย์ ดาลิโอ (Ray Dalio)
📊 ความเคลื่อนไหวพอร์ต: กองทุน Bridgewater Associates ของเรย์ ดาลิโอ ได้แสดงการ ปรับยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่โดยเอนน้ำหนักไปทางสินทรัพย์ปลอดภัยและตลาดจีน ในไตรมาส 1 ปี 2025
ภาพรวม 13F ล่าสุดเผยว่า Bridgewater ได้ เพิ่มการลงทุนในหุ้นจีนอย่าง Alibaba (BABA) และ Baidu (BIDU) รวมถึง เพิ่มสัดส่วนถือครองกองทุนทองคำ SPDR Gold Shares (GLD) ในระดับที่สังเกตได้ ตรงกันข้าม ฝั่งสหรัฐฯ กองทุนได้ ลดการถือครองกว้างๆ ในตลาดหุ้นอเมริกา โดยเฉพาะ ขายลดหน่วยลงทุนในกองทุนดัชนี S&P 500 (SPY) ถึง 13.45% และ ลดการถือหุ้นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Alphabet (GOOGL) ราว 0.96% และ NVIDIA (NVDA) 0.72%
การโยกพอร์ตเช่นนี้แสดงถึงการ หมุนจากสินทรัพย์เสี่ยงในสหรัฐ ไปสู่สินทรัพย์ที่มองว่าปลอดภัยหรือมีโอกาสในจีนและทองคำ อย่างชัดเจน
➕ หุ้น/สินทรัพย์ที่ซื้อเพิ่ม: Alibaba Group ยักษ์อีคอมเมิร์ซจีน เป็นหนึ่งในหุ้นที่ Bridgewater เข้าซื้อเพิ่ม (+3.37%) ในไตรมาสนี้ เช่นเดียวกับ Baidu บริษัทเสิร์ชเอ็นจินอันดับหนึ่งของจีน (+0.8%) สะท้อนความเชื่อมั่นบางส่วนว่าหุ้นเทคโนโลยีจีนมี มูลค่าที่น่าสนใจ หลังจากปรับฐานลงมาก่อนหน้า
นอกจากนี้ กองทุนทองคำ GLD ก็ได้รับการเพิ่มน้ำหนัก ~1.5% ซึ่งดาลิโอมองว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มี ความสัมพันธ์ต่ำกับหุ้น และเป็นเครื่องป้องกันความเสี่ยงที่ดีในยามตลาดผันผวน ทั้งนี้ Bridgewater ได้เคยอธิบายว่าทองคำมีคุณสมบัติ “หายาก” ที่ช่วยกระจายความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพในพอร์ตการลงทุน การเพิ่มทองคำและหุ้นจีนดังกล่าว จึงเป็นไปในทิศทางของ การป้องกันความเสี่ยง และ ค้นหาโอกาสนอกตลาดสหรัฐ
🔻 หุ้นที่ขายลด: ฝั่งสินทรัพย์อเมริกา Bridgewater ลดน้ำหนักหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐหลายตัว อย่างมีนัยสำคัญ โดย ลดสัดส่วนหุ้น NVIDIA, Alphabet, Meta Platforms และ Applovin (บริษัทโฆษณาดิจิทัล) อย่างพร้อมเพรียง นอกจากนี้ยังขายลดกองทุนหุ้นสหรัฐอย่าง SPY จำนวนมากตามที่กล่าว ช่วยลดความเสี่ยงจากตลาดหุ้นสหรัฐวงกว้าง
การลดหุ้นกลุ่ม AI เช่น NVIDIA และหุ้นโซเชียลมีเดียอย่าง Meta ชี้ว่าดาลิโอ ระมัดระวังต่อมูลค่าหุ้นเติบโตที่พุ่งสูง และต้องการ ลดความผันผวน ในพอร์ตกลางภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
➡️ สถานะคงเดิม: โดยธรรมชาติของ Bridgewater ที่มีการกระจายลงทุนสูง (ถือครองหุ้นกว่า 660 ตัว) หลายสินทรัพย์หลักยังคงอยู่ในพอร์ตแม้มีการปรับเล็กน้อย เช่น กองทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ iShares IEMG, หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐบางส่วนอย่าง Apple, Microsoft ที่ยังเป็น Top holdings (แม้จะอาจมีปรับลดบางส่วน) สะท้อนว่า Bridgewater ยังไม่ได้ถอนตัวจากตลาดสหรัฐทั้งหมด แต่เลือกลดเฉพาะส่วนที่มองว่าเสี่ยงหรือเกินพื้นฐาน ขณะเดียวกันก็ยังถือ พันธบัตรรัฐบาลและสินทรัพย์รายได้คงที่ (ผ่าน ETF) อยู่บ้างเพื่อรักษาสมดุล
🧭 มุมมองเชิงกลยุทธ์: การปรับพอร์ตของเรย์ ดาลิโอครั้งนี้ถือเป็น ท่าที “Risk-off” ที่ชัดเจน เขาเพิ่มทองคำและลดหุ้นสหรัฐ แสดงถึง ความกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐและตลาดหุ้นอเมริกาที่อาจเผชิญความผันผวนหรือขาลง จึงโยกเงินไปสินทรัพย์ปลอดภัย (ทองคำ) และตลาดที่อาจมีนโยบายกระตุ้น (จีน)
ดาลิโอมีมุมมองว่าช่วงที่ตลาดไม่แน่นอน ควรกระจายความเสี่ยงให้มากที่สุด การเพิ่มน้ำหนักจีนบ่งชี้ว่าเขา ยังมองเห็นโอกาสในตลาดจีน ซึ่งราคาอาจถูกกว่าตลาดตะวันตก และได้รับแรงหนุนจากมาตรการภาครัฐจีน (เขาอาจคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนเพิ่มเติม)
ขณะเดียวกัน การลดหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐกลุ่ม AI สะท้อนความเชื่อของเขาว่า ราคาหุ้นกลุ่มนี้ขึ้นมามากจนใกล้สะท้อนข่าวดีไปหมดแล้ว และมี downside หากเศรษฐกิจชะลอ นอกจากนี้ Bridgewater ยังเคยส่งสัญญาณมุมมองว่าช่วงนี้ สภาพคล่องโลกหดตัว ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์สูง การถือทองคำและเงินสดมากขึ้นจึงเป็นยุทธศาสตร์ที่เหมาะสม
สรุปแล้ว เรย์ ดาลิโอกำลังเล่นเกมรับ เน้น ลดความเสี่ยงพอร์ตโดยรวมและเตรียมพร้อมรับมือกับ “พายุ” ทางเศรษฐกิจ ที่เขาอาจเห็นเค้าลางอยู่ในอนาคตอันใกล้
5️⃣ แคธี วูด (Cathie Wood)
📊 ความเคลื่อนไหวพอร์ต: แคธี วูด ผู้จัดการกองทุน ARK Invest ยังคงเดินหน้าตามวิสัยทัศน์ “ลงทุนในนวัตกรรม” ของเธอ แม้สภาวะตลาดจะผันผวน พอร์ตของ ARK Investment Management ในไตรมาส 1 ปี 2025 มีมูลค่ารวมประมาณ $9.28 พันล้าน ลดลงจาก $11.4 พันล้านในไตรมาสก่อนหน้า
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหุ้นเทคโนโลยีที่ ARK ถืออยู่มีการปรับฐาน และมีเงินไหลออกบางส่วน อย่างไรก็ดี ARK ได้ เพิ่มจำนวนหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรมหลายแห่ง และยังเข้าลงทุนใหม่ในหุ้นจำนวนมาก โดย จำนวนหุ้นในพอร์ตเพิ่มจาก 183 ตัวเป็น 196 ตัว สะท้อนการเข้าซื้อหุ้นใหม่ 22 ตัวในช่วงไตรมาส
สำหรับ หุ้น 5 อันดับแรกในพอร์ต ARK ยังคงประกอบไปด้วย Tesla, Roku, Palantir, Roblox, Coinbase ซึ่งคิดเป็นราว 30% ของพอร์ตทั้งหมด โดย Tesla (รถยนต์ไฟฟ้า) ยังคงเป็นหุ้นที่ ARK ถือมูลค่าสูงสุด (~$845 ล้าน) ตามด้วย Roku (แพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง), Palantir (ซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูล), Roblox (แพลตฟอร์มเกม) และ Coinbase (ศูนย์ซื้อขายคริปโต) โดยหุ้นเหล่านี้ยังเป็นตำแหน่งหลักที่แคธี วูดเลือกถือยาว ไม่เปลี่ยนแปลงในไตรมาสนี้
➕ หุ้นที่ซื้อเพิ่มและลงทุนใหม่: ช่วงต้นปี 2025 ARK เข้าซื้อหุ้นใหม่ทั้งหมด 22 บริษัท ซึ่งสะท้อนธีมการลงทุนที่หลากหลายของแคธี วูด หุ้นใหม่ที่โดดเด่น ได้แก่ Salesforce (CRM) ผู้นำซอฟต์แวร์บริหารลูกค้าสัมพันธ์ระบบคลาวด์ และ Airbnb (ABNB) แพลตฟอร์มจองที่พักและท่องเที่ยวชื่อดัง ซึ่งการเข้าลงทุนในบริษัทใหญ่เหล่านี้เป็นสัญญาณว่า ARK มองเห็นคุณค่าในหุ้นเทคขนาดใหญ่มากขึ้น
นอกจากนี้ ARK ยังเปิดตำแหน่งใหม่ใน Grayscale Bitcoin Trust (GBTC) และแม้แต่ Bitcoin (BTC) โดยตรงบางส่วน เพื่อเพิ่มน้ำหนักในธีมสินทรัพย์ดิจิทัลและบล็อกเชน
ยังมีหุ้นต่างประเทศและหุ้นขนาดเล็กที่ ARK เข้าถือใหม่ เช่น Baidu (BIDU) ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีจีนด้าน AI/ค้นหาออนไลน์, Futu Holdings (FUTU) บริษัทฟินเทคโบรกเกอร์ออนไลน์จีน, KSPI (Kaspi.kz) ฟินเทคชั้นนำของคาซัคสถาน, Aryt Industries และ Isrotel (บริษัทอุตสาหกรรมและโรงแรมของอิสราเอล) ตลอดจน CoreWeave Inc. บริษัทคลาวด์คอมพิวติ้งด้าน GPU (ซึ่งยังไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์) การเข้าลงทุนในหุ้นอิสราเอลหลายตัวนี้แสดงถึงการปรับพอร์ตของ ARK Israel Innovative Tech ETF ที่อยู่ภายใต้การบริหารของเธอด้วย
สำหรับหุ้นที่ ARK เพิ่มสัดส่วนอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสนี้ (นอกเหนือจากหุ้นใหม่) ก็มีหลายตัว เช่น บริษัทผลิตรถแทรกเตอร์และเครื่องจักร Deere & Co (DE) ที่ ARK ซื้อเพิ่ม ~$69 ล้าน , Iridium Communications (IRDM) บริษัทเครือข่ายดาวเทียม เพิ่ม ~$65 ล้าน, GitLab (GTLB) แพลตฟอร์ม DevOps เพิ่ม ~$60 ล้าน, CRISPR Therapeutics (CRSP) ผู้นำนวัตกรรมพันธุกรรม เพิ่ม ~$41 ล้าน, Amazon (AMZN) ยักษ์อีคอมเมิร์ซ เพิ่ม ~$30 ล้าน และ Teradyne (TER) ผู้ผลิตเครื่องทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ เพิ่ม ~$27 ล้าน เป็นต้น
การเพิ่มหุ้นเหล่านี้บ่งชี้ว่าแคธี วูดยังคง มุ่งมั่นลงทุนในเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก ทั้งด้านหุ่นยนต์, อวกาศ, จีโนม และฟินเทค รวมถึงมองหาโอกาสในหุ้น Big Tech ที่ราคาปรับฐานลงมาน่าสนใจ (เช่น Amazon) เป็นต้น
🔻 หุ้นที่ขายลดและขายออก: แม้ ARK จะซื้อเพิ่มหลายตัว แต่ก็มีการ ลดสัดส่วนหรือขายหุ้นบางตัวออกเพื่อนำเงินไปลงทุนหมุนเวียน เช่นกัน หุ้นสตรีมมิ่ง Roku และหุ้นวิเคราะห์ข้อมูล Palantir ซึ่งเคยเป็นแกนหลัก ถูกขายลดลง ~$143 ล้าน และ ~$127 ล้าน ตามลำดับ ในไตรมาสนี้ (แม้ทั้งสองยังอยู่ใน Top5 กองทุน) แม้ว่า แคธี วูดอาจขายทำกำไรบางส่วนหลังหุ้นเหล่านี้ปรับตัวขึ้น
นอกจากนี้ ARK ยัง ขายลดหุ้นแพลตฟอร์มหุ่นยนต์ซอฟต์แวร์ UiPath (PATH) ราว $116 ล้าน และ ลดหุ้นฟินเทคโบรกเกอร์ Robinhood (HOOD) ราว $111 ล้าน รวมถึง ลดหุ้นกลุ่มฟินเทคผู้ให้กู้อย่าง SoFi (SOFI) ~$86 ล้าน และ หุ้นเกมออนไลน์ Roblox (RBLX) ~$62 ล้าน แสดงการปรับลดบางส่วนในบริษัทที่มีความเสี่ยงสูงหรือราคาขึ้นมาเร็ว
นอกจากนี้ ARK ได้ ขายหุ้นบางตัวออกจนหมดพอร์ต (Sold out) จำนวน 9 บริษัท ซึ่งรวมถึง Accolade (ACCD), Altair (ALTR), และที่สำคัญคือ Apple (AAPL) – ใช่แล้ว แคธี วูดตัดสินใจขายหุ้น Apple ที่กองทุนเคยถืออยู่ออกทั้งหมดในไตรมาสนี้ เพื่อโฟกัสเงินทุนไปยังหุ้นเทคโตเร็วตัวอื่นๆ (ARK ถือ Apple ไม่มากนักอยู่แล้ว จึงเลือกปล่อยออก)
นอกจากนี้ยังขายออกหมดในหุ้นขนาดเล็กอื่นๆ เช่น Desktop Metal (DM), Xerox (XRX) เป็นต้น การขายหุ้นเหล่านี้สะท้อนว่า ARK ยอมตัดธุรกิจที่มองว่าโอกาสจำกัดหรือแนวโน้มไม่น่าตื่นเต้นพอ ออกไป แล้วนำเงินไปเติมหุ้นที่มี conviction สูงกว่า
🧭 มุมมองเชิงกลยุทธ์: แคธี วูดยังคงยืนหยัดกับแนวคิดการลงทุนใน “disruptive innovation” แม้ว่านักลงทุนจำนวนมากจะหันมาตั้งรับในช่วงตลาดผันผวนก็ตาม การที่เธอเพิ่มพอร์ตในหุ้นอย่าง Tesla, Coinbase, GitLab, และลงทุนใหม่ในบริษัทนวัตกรรมทั่วโลก ตั้งแต่บริษัท AI จีนจนถึงคริปโต บ่งชี้ว่าเธอ ใช้จังหวะที่ราคาหุ้นเทคโนโลยีปรับลงในการเข้าซื้อสะสม เพื่อหวังผลตอบแทนระยะยาว
แคธีเชื่อว่าธีมอย่างรถยนต์ไฟฟ้า, บล็อกเชน, อวกาศ, และชีวเภสัชจะสร้างการเติบโตแบบทวีคูณในอนาคต ดังนั้นแม้ปี 2025 หลายกองทุนจะลดความเสี่ยง แต่ ARK กลับสวนทางด้วยการ เพิ่มน้ำหนักการเดิมพันเชิงรุก อย่างไรก็ดี การที่มูลค่าพอร์ต ARK ลดลง และเธอก็ขายหุ้นบางส่วนออก (เช่น Roku, Palantir) แสดงว่าเธอก็มีการ บริหารความเสี่ยง โดยขายทำกำไรบางส่วนเมื่อราคาหุ้นขึ้น และคุมจำนวนหุ้นในแต่ละธีมไม่ให้กระจุกตัวเกินไป
การขาย Apple ออกทั้งหมดก็สอดคล้องกับปรัชญาของเธอที่ว่า ARK มุ่งหาบริษัทที่จะโต 5-10 เท่าตัว มากกว่าบริษัทใหญ่ที่เติบโตจำกัด
ในแง่กลยุทธ์ แคธี วูดกำลัง วางตำแหน่งกองทุนให้พร้อมรับคลื่นเทคโนโลยียุคใหม่ ถึงแม้ระยะสั้นอาจผันผวน แต่เธอเดิมพันว่าการถือหุ้นนวัตกรรมเหล่านี้จะให้ผลตอบแทนสูงเมื่อมองยาว 5-10 ปีข้างหน้า ซึ่งท่าทีนี้แตกต่างจากนักลงทุนชื่อดังรายอื่นที่หันมาตุนเงินสดหรือซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย – แต่ ARK เลือกที่จะ “สวนกระแส” ด้วยความเชื่อมั่นในอนาคตของเทคโนโลยี
6️⃣ จอร์จ โซรอส (George Soros)
📊 ความเคลื่อนไหวพอร์ต: กองทุน Soros Fund Management ของจอร์จ โซรอส ได้ปรับพอร์ตในไตรมาส 1 ปี 2025 ไปในเชิง ตั้งรับมากขึ้นและเน้นหุ้นขนาดใหญ่ที่มั่นคง พร้อมกับลดความเสี่ยงในหุ้นขนาดเล็ก
การเปลี่ยนแปลงสำคัญคือ โซรอสได้ขายสินทรัพย์กลุ่ม Small-cap ออกเกือบหมด แล้วโยกเงินไปยังสินทรัพย์ Large-cap ตามคำที่สื่อเรียกว่า “Sell Small Cap, Buy Large Cap”
ตัวอย่างเด่นคือเขา ขายหุ้นทั้งหมดในกองทุน iShares Russell 2000 (IWM) ซึ่งเป็น ETF ตลาดหุ้นขนาดเล็กสหรัฐ จำนวน 0.752 ล้านหน่วยออกจนหมดพอร์ต ส่งผลกระทบประมาณ -3.4% ต่อมูลค่าพอร์ตโดยรวม การขาย IWM นี้สะท้อนว่าทีมโซรอส ลดทอนความเชื่อมั่นในหุ้นบริษัทเล็ก ซึ่งมักเปราะบางกว่าในช่วงเศรษฐกิจผันผวน ขณะเดียวกัน พวกเขาได้ เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในดัชนี S&P 500 ผ่านการซื้อ ETF อย่าง SPY เพื่อเสริมพอร์ตฝั่งหุ้นใหญ่ที่มีเสถียรภาพมากขึ้น
➕ หุ้น/สินทรัพย์ที่ซื้อเพิ่ม: การย้ายสู่ Large-cap ของโซรอสสะท้อนผ่านดีลหลายรายการ เช่น การเข้าซื้อสัญญา Call Options ในหุ้น First Solar (FSLR) ผู้ผลิตแผงโซลาร์รายใหญ่ ซึ่งเพิ่มน้ำหนัก ~3.02% ของพอร์ต สะท้อนมุมมองเชิงบวกต่อพลังงานสะอาดในระยะยาว
อีกทั้งยัง ลงทุนเพิ่มในหุ้น American Electric Power (AEP) บริษัทสาธารณูปโภคไฟฟ้ารายใหญ่ของสหรัฐ +1.43% ของพอร์ต แสดงการเน้นหุ้น Defensive ที่กระแสเงินสดมั่นคง
นอกจากนี้มีรายงานว่าโซรอส เพิ่มการถือครองหุ้น NVIDIA (NVDA) บริษัทชิประดับเมกะแคป ซึ่งเป็นหุ้นใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูง เพื่อทดแทนหุ้นเทคขนาดเล็กที่ผันผวน โดยในรายงานพบการ เพิ่มสัดส่วน NVIDIA พร้อมๆ กับ ลดการถือหุ้น Super Micro Computer (SMCI) จนหมด (SMCI เป็นผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ที่เล็กกว่า) การโยกจาก SMCI ไป NVDA แสดงถึงการเลือก Quality และ Size ที่ใหญ่ขึ้น
🔻 หุ้นที่ขายลด/ปิดสถานะ: นอกจากการขาย IWM ดังกล่าว โซรอสยังได้ ลดการถือหุ้น Alphabet (GOOGL) บริษัทแม่ของกูเกิลลงบางส่วน (ราว -2.65% ของพอร์ต) อาจเพื่อปรับพอร์ตหลังราคาฟื้นตัว รวมถึง ขายสถานะ Put Options ที่เคยมีใน IWM ออก (ลดสถานะ short small-cap ทิ้ง)
นอกจากนี้เขา ลดสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้แปลงสภาพบางตัว เช่น ขายหุ้นกู้แปลงสภาพของ Ford Motor ที่ถืออยู่ (-2.49%) และของ Akamai Technologies (-2.75%) เพื่อลดความซับซ้อนของพอร์ต และหันมาโฟกัสหุ้นสามัญมากขึ้น ส่วนหุ้นที่ปิดสถานะจนหมด อาทิ Super Micro (SMCI) ที่กล่าวไป, หุ้นกลุ่มขนาดเล็ก/กลางอื่น ก็ถูกปล่อยออกเพื่อปรับลดจำนวนรายการ
โดยรวมกองทุนโซรอสได้ ลดจำนวนการถือหุ้นลง (Top 10 concentration เพิ่มขึ้นเป็น ~27.5% ) เพื่อให้บริหารจัดการง่ายในช่วงตลาดผันผวน
🧭 มุมมองเชิงกลยุทธ์: กลยุทธ์ “ขายเล็กซื้อใหญ่” ของจอร์จ โซรอสบ่งชี้ว่าเขา คาดการณ์ความไม่แน่นอนข้างหน้าที่จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจขนาดเล็กมากกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ เขาเชื่อว่าบริษัทใหญ่จะมี ความสามารถในการต้านทานความผันผวนได้ดีกว่า มีงบดุลแข็งแกร่งและเข้าถึงแหล่งเงินทุนง่าย
ในขณะที่บริษัทเล็กอาจประสบปัญหาได้หากเศรษฐกิจชะลอตัวหรือสภาพคล่องตึงตัว การเพิ่ม S&P 500 (SPY) และขาย Russell 2000 (IWM) ออกหมด จึงเหมือนเป็นการ rotation จาก Small-cap ไป Large-cap อย่างชัดเจน อีกทั้งการเพิ่มหุ้น NVDA และ AEP แสดงว่าเขา ยังต้องการเติบโตจากหุ้นเทคคุณภาพ แต่ก็ควบคู่กับหุ้น Defensive ที่มีเงินปันผลสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยง
โซรอสยังขึ้นชื่อเรื่องการเก็ง macro – การปรับพอร์ตนี้อาจสะท้อนมุมมอง macro ของเขาว่า เงินเฟ้อและดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะทำให้หุ้นเล็กถูกบีบ แต่บริษัทใหญ่จะอยู่รอดและกินส่วนแบ่งตลาดเพิ่ม
นอกจากนี้ โซรอสยังมีประวัติชอบถือสินทรัพย์สภาพคล่องสูง (เช่น ETF ดัชนี) เพื่อพร้อมปรับเมื่อเห็นสัญญาณ ดังนั้นพอร์ตที่ defensive และเน้นหุ้นใหญ่ ณ ตอนนี้ทำให้เขา คล่องตัวพร้อมรับมือความผันผวน หากสถานการณ์ดีขึ้นเขาสามารถหมุนกลับมาหุ้นเติบโตได้เร็ว
สรุปแล้ว กลยุทธ์ของโซรอสคือ ถือของใหญ่ ปลอดภัย ไว้ก่อน รอดูทิศทางเศรษฐกิจ โดยเชื่อว่าถ้าจะมีคลื่นลม บริษัทใหญ่จะ “ต้านพายุ” ได้ดีกว่า
7️⃣ เดวิด เทปเปอร์ (David Tepper)
📊 ความเคลื่อนไหวพอร์ต: เดวิด เทปเปอร์ แห่ง Appaloosa Management ซึ่งเมื่อปลายปี 2024 เคยประกาศแนวคิด “ซื้อทุกอย่างที่เป็นจีน” หลังรัฐบาลปักกิ่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ แต่ในไตรมาส 1 ปี 2025 เขาได้ ปรับลดความร้อนแรงในหุ้นจีนลงอย่างเห็นได้ชัด
พอร์ตล่าสุดเผยว่าเทปเปอร์ ลดการถือครองหุ้นบริษัทจีนหลายแห่งลงอย่างมาก ราวกับถอยจากคำพูดเดิมของตน เช่น เขา ขายลดหุ้น Baidu (BIDU) ออกเกือบครึ่งหนึ่งของที่ถือ และ ลดสัดส่วนหุ้น Alibaba (BABA), JD.com (JD), PDD Holdings (PDD)(เจ้าของแพลตฟอร์ม Temu) และ KE Holdings (BEKE)(แพลตฟอร์มอสังหาฯ จีน) ลงประมาณ 19–26% ต่อบริษัท เมื่อเทียบกับสิ้นปีที่แล้ว
นอกจากนี้ยัง ลดการลงทุนใน ETF ตลาดหุ้นจีน อย่าง iShares China Large-Cap (FXI) ลง ~16% และ KraneShares CSI China Internet (KWEB) ลง ~13% การถอนตัวบางส่วนจากหุ้นจีนและ ETF เหล่านี้สะท้อนว่า เทปเปอร์ได้ปรับมุมมองจาก “เต็มพอร์ตจีน” มาเป็น “ค่อยๆ ถอย” อาจเนื่องจากความกังวลด้านภูมิรัฐศาสตร์หรือประสิทธิผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ไม่เป็นไปตามคาด
➕ หุ้นที่ซื้อเพิ่ม/เข้าลงทุนใหม่: ในขณะที่ลดหุ้นจีน เทปเปอร์ได้นำเงินบางส่วนกลับมาลงทุนใน หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐ และหุ้นคุณค่าอื่นๆ ตัวอย่างสำคัญคือ เขาได้เข้าซื้อหุ้น Broadcom (AVGO) บริษัทเซมิคอนดักเตอร์และชิ้นส่วนโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย จำนวน 130,000 หุ้น ในไตรมาสนี้ ทำให้ Broadcom กลายเป็นตำแหน่งใหม่ในพอร์ต
ซึ่งน่าสนใจเพราะ Broadcom ได้รับประโยชน์จากความต้องการชิปและระบบเครือข่าย (รวมถึงเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI และ 5G) และมีมูลค่าที่ไม่แพงเท่าหุ้นกลุ่ม AI อื่นๆ การเข้าซื้อ AVGO จึงอาจสะท้อนว่าเทปเปอร์ ยอมเปลี่ยนมาถือหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ฝั่งอเมริกาที่แนวโน้มดี ในขณะที่ลด NVIDIA ลง (เขาได้ขายลด NVIDIA เล็กน้อยด้วย)
นอกจากนี้เทปเปอร์ยัง เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้น Meta Platforms (META) บริษัทแม่ของ Facebook/Instagram ซึ่งเป็นหุ้นเทคขนาดใหญ่สหรัฐ โดยเขาซื้อ META เพิ่มจนกลายมาเป็น หุ้นอันดับ 5 ของพอร์ต (~5.7%) การเพิ่ม META บ่งบอกว่าเขาเห็นคุณค่าในหุ้นโซเชียลมีเดียนี้ (ซึ่งราคาปี 2024 ลงไปมากและเริ่มฟื้น) ส่วนหุ้นสหรัฐอื่นๆ ที่น่าสนใจคือ Amazon.com (AMZN) ที่ยังเป็น อันดับ 3 ของพอร์ต (~8.6%) ซึ่ง เทปเปอร์ไม่ได้ขายหรือซื้อเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ ในไตรมาสนี้ แปลว่าเขายังคงถือ Amazon ซึ่งมองว่าเป็น core holding ต่อไป
🔻 หุ้นที่ขายลด/ปิดสถานะ: นอกจากกลุ่มจีนที่กล่าวมา เทปเปอร์ได้ ขายหุ้นบางตัวในสหรัฐออกจนหมดพอร์ต เช่น FedEx (FDX) บริษัทขนส่งพัสดุยักษ์ใหญ่ และ Intel (INTC) ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐ โดยเขาได้ปิดสถานะทั้ง FedEx และ Intel ในไตรมาสนี้ (ขายหุ้นที่เหลือออกทั้งหมด)
การขาย FedEx อาจสะท้อนว่าเขากังวลต่อแนวโน้มโลจิสติกส์/การขนส่งโลก (อาจจะชะลอตัว) หรือการแข่งขันที่สูง ส่วนการขาย Intel ทั้งหมดแสดงว่าเขา หมดความอดทนกับการฟื้นตัวของ Intel ที่ยังล่าช้าและเสียส่วนแบ่งตลาด นอกจากนี้เทปเปอร์ยังลดการถือหุ้น Lyft (LYFT) บริการเรียกรถคู่แข่ง Uber ออกบางส่วน (สะท้อนมุมมองว่าตลาดเรียกรถอาจจะถูกครองโดยผู้ชนะไม่กี่ราย ซึ่ง Uber ดูได้เปรียบกว่า)
และ ขายลดหุ้น NVIDIA, Oracle (ORCL), Microsoft (MSFT) เล็กน้อย เพื่อปรับพอร์ตหลังหุ้นเหล่านี้ปรับตัวขึ้น (หรือลดความเสี่ยงจากการถือครองกลุ่มเทคใหญ่หลายตัวซ้ำซ้อน) อย่างไรก็ดี Alibaba แม้ถูกปรับลดลง 20% ก็ ยังคงเป็นหุ้นอันดับหนึ่งของพอร์ต (~21.9%) ดังนั้นการที่เทปเปอร์ไม่ได้ขายหมด แปลว่าเขา ยังเชื่อมั่นระยะยาวในอาลีบาบา อยู่ เพียงแต่ลดขนาดลงให้เหมาะสมกับความเสี่ยง
🧭 มุมมองเชิงกลยุทธ์: การกระทำของเดวิด เทปเปอร์ในไตรมาสนี้เหมือนเป็น การลดเพดานความเสี่ยง หลังจากช่วงก่อนหน้าที่กล้าเข้าเต็มที่ในหุ้นจีน ตอนนี้เขาเลือกถอนบางส่วนเพราะอาจเห็นปัจจัยลบ เช่น ความตึงเครียดทางการค้าสหรัฐ-จีนที่เพิ่มขึ้น (เรื่องภาษีและเทคโนโลยี) หรือ ข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด
การลด Alibaba และพวก PDD, JD ลง ~20% แสดงว่าเขายังเหลือหุ้นอยู่ (เผื่อเหลือ upside หากจีนยังไปได้) แต่ก็เผื่อ downside ด้วยการลดครึ่งหนึ่ง
ในขณะเดียวกัน การขยับเงินมาฝั่งสหรัฐ โดยซื้อ Broadcom, เพิ่ม Meta และถือ Amazon ไว้ สื่อว่าเทปเปอร์ กลับมาให้ความสำคัญกับหุ้นเทคสหรัฐที่พื้นฐานแข็งแรง มีฐานรายได้ทั่วโลก และมีราคาน่าสนใจ มากขึ้นแทน นอกจากนี้การขายออก FedEx, Intel ชี้ว่าเขา ไม่อยากถือหุ้นวัฏจักรที่อ่อนไหว (FedEx พึ่งพาการค้าโลก, Intel พึ่งพาการลงทุน chip fab และยังฟื้นช้า)
ทั้งหมดนี้แปลว่าเขาปรับพอร์ตให้ คุณภาพสูงขึ้น เน้นบริษัทที่แนวโน้มกำไรชัดเจนหรือมีการเติบโตแน่นอนกว่า ยิ่งไปกว่านั้น เทปเปอร์เคยมีชื่อว่าเป็นนักลงทุนที่กล้าได้กล้าเสีย (risk taker) แต่ครั้งนี้การลดพอร์ตจีนบ่งบอกว่า เขาพร้อมจะถอยเมื่อเห็นสัญญาณไม่ดี ซึ่งเป็นสัญชาตญาณของผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ดี
ดังนั้นด้วยพอร์ตล่าสุด เทปเปอร์จึงมีทั้งส่วนที่ยังเชื่อในจีน (ถือ BABA, PDD ต่อ) และส่วนที่ย้ายมาสหรัฐ (AVGO, META) เพื่อถ่วงดุลกัน กลยุทธ์นี้เสมือน การกระจายเดิมพัน – ไม่ทิ้งธีมจีนซะทีเดียว แต่ก็เสริมความปลอดภัยผ่านหุ้นสหรัฐคุณภาพ นับเป็นท่าที “ค่อยเป็นค่อยไป” ลดความเสี่ยงลงแต่ก็ยังรักษาโอกาสเติบโตไว้ในพอร์ต
8️⃣ สแตนลีย์ ดรักเคนมิลเลอร์ (Stanley Druckenmiller)
📊 ความเคลื่อนไหวพอร์ต: มหาเศรษฐีนักลงทุนสายมาโคร สแตนลีย์ ดรักเคนมิลเลอร์ ซึ่งบริหารเงินผ่าน Duquesne Family Office ได้ทำการปรับพอร์ตที่น่าสนใจในไตรมาส 1 ปี 2025 โดย หมุนเวียนเงินลงทุนระหว่างกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างชัดเจน เขาเพิ่มตำแหน่งในหุ้นบางกลุ่มที่มองว่าถูกหรือมีโอกาส turnaround พร้อมกับตัดขาดทุน/ทำกำไรขายหุ้นในกลุ่มที่ไม่ต้องการออกไป
➕ หุ้นที่ซื้อใหม่: ดรักเคนมิลเลอร์ เปิดสถานะใหม่ในหุ้น 10 ตัวในไตรมาสนี้ ซึ่งครอบคลุมหลายภาคส่วน เช่น CCC Intelligent Solutions (CCCS) บริษัทซอฟต์แวร์ประกันภัยรถยนต์, Caesars Entertainment (CZR) ธุรกิจคาสิโนและรีสอร์ตชื่อดัง, DocuSign (DOCU) ผู้นำด้านซอฟต์แวร์เซ็นสัญญาอิเล็กทรอนิกส์, EQT Corporation (EQT) ผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ในสหรัฐ
Roku (ROKU) แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งทีวี, BridgeBio Pharma (BBIO) บริษัทชีวเวชภัณฑ์ด้านโรคพันธุกรรม, Twilio (TWLO) ผู้ให้บริการระบบคลาวด์สื่อสาร (API สำหรับ SMS/Voice), Antero Resources (AR) บริษัทผลิตก๊าซธรรมชาติ (อีกแห่ง) และ Capital One Financial (COF) ธนาคารผู้ให้บริการบัตรเครดิตรายใหญ่ของสหรัฐ
การเข้าซื้อหุ้นใหม่เหล่านี้บ่งบอกว่าเขากำลังเก็งกำไรเชิงรุกในหุ้นที่ราคาลงไปมากหรือหุ้นวัฏจักรที่มีแนวโน้มฟื้นตัว เช่น กลุ่มพลังงาน (EQT, AR) ที่อาจได้อานิสงส์หากราคาก๊าซขยับขึ้น, กลุ่มเทคที่เคยตกต่ำ (DocuSign, Twilio, Roku) ที่อาจ rebound, และกลุ่มท่องเที่ยว/บันเทิง (Caesars) ที่ฟื้นหลังโควิด รวมถึงหุ้นการเงิน (Capital One) ที่ราคาถูกหลังธนาคารโดนเทขายจากข่าววิกฤตสภาพคล่องบางแห่ง
🔼 หุ้นที่เพิ่มสัดส่วน: ดรักเคนมิลเลอร์ยัง เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นเดิมบางตัวที่ถืออยู่ก่อนหน้า ได้แก่ Teva Pharmaceutical (TEVA) บริษัทยาชื่อดัง, PureCycle Technologies (PCT) บริษัทรีไซเคิลพลาสติกเชิงเทคโนโลยี, Insmed (INSM) ชีวเภสัชภัณฑ์โรคหายาก, Barclays (BCS) ธนาคารใหญ่ของอังกฤษ, Taiwan Semiconductor Manufacturing (TSM) ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดในโลก, Daktronics (DAKT) บริษัทป้ายไฟและจอ LED, Coupang (CPNG) อีคอมเมิร์ซเกาหลี, YPF S.A. (YPF) บริษัทพลังงานแห่งชาติอาร์เจนตินา เป็นต้น
โดยเฉพาะการเพิ่ม TSMC เป็นจุดน่าสนใจมาก เพราะสะท้อนว่าเขา มองบวกต่อซัพพลายเชนเซมิคอนดักเตอร์ (ต่างจากไมเคิล เบอร์รี่ที่ชอร์ต NVIDIA) ดรักเคนมิลเลอร์อาจเห็นว่า TSMC มีความจำเป็นต่ออุตสาหกรรมเทคทั่วโลกและราคาไม่ได้แพงเกินไป การเพิ่ม Barclays ก็น่าสนใจเนื่องจากช่วงนั้นหุ้นแบงก์ฝรั่งถูกเทขาย – เขาอาจคาดว่าธนาคารอังกฤษมีฐานะมั่นคงกว่าธนาคารภูมิภาคสหรัฐจึงเข้าซื้อเพิ่มในราคาถูก
🔻 หุ้นที่ขายออก/ปิดสถานะ: ด้านการลดพอร์ต สแตนได้ ขายหุ้นออกจนหมด (Closed Positions) ถึง 18 ตัว ในไตรมาสนี้ ซึ่งมีหลายตัวที่เด่น เช่น Warner Bros Discovery (WBD) ค่ายสื่อบันเทิงใหญ่ที่เขาเคยถือ – อาจเพราะกังวลหนี้และแนวโน้มธุรกิจสื่อ, Skechers (SKX) แบรนด์รองเท้ากีฬา – อาจขายทำกำไรหลังฟื้น, Micron Technology (MU) ผู้ผลิตชิปเมมโมรี – อาจมองว่าฟื้นช้าหรือมีทางเลือกอื่นดีกว่า (เช่น TSMC)
ขายหุ้นธนาคารภูมิภาคสหรัฐหลายแห่ง เช่น US Bancorp (USB), Huntington Bancshares (HBAN), First Horizon (FHN), KeyCorp (KEY), Truist Financial (TFC) – จะเห็นว่าเขา เทขายหุ้นกลุ่มธนาคารระดับภูมิภาคเกือบหมดพอร์ต น่าจะเป็นผลจากความกังวลวิกฤตความเชื่อมั่นในแบงก์หลังกรณี Silicon Valley Bank ล้ม (มี.ค. 2023) ที่ยังส่งแรงกระเพื่อมมาถึงต้นปี 2025 ทำให้ดรักเคนมิลเลอร์ไม่อยากถือความเสี่ยงนี้ต่อ เขาเลยยอมตัดขาดทุนออกไปเพื่อกันความเสี่ยง
ด้านหุ้นพลังงานบางตัวอย่าง Woodside Energy (WDS) ก็ขายทิ้ง เช่นเดียวกับ Vistra Energy (VST) และ NTT (NVT) เป็นต้น นอกจากนี้ หุ้นเทคโนโลยีและสุขภาพบางตัว เช่น Natera (NTRA) (ตรวจพันธุกรรม) และ Coherent (COHR) (เลเซอร์) เขาก็ลดสัดส่วนลงด้วย ขณะที่ Amazon.com (AMZN) ซึ่งเป็นหุ้น Big Tech เขาก็ ขายลดลงบางส่วน ในไตรมาสนี้ อาจเพื่อทำกำไรหลังหุ้นฟื้นหรือลดความเสี่ยงจากการถือหุ้นเติบโตขนาดใหญ่
🧭 มุมมองเชิงกลยุทธ์: ภาพรวมพอร์ตของดรักเคนมิลเลอร์หลังปรับมีลักษณะ “Barbell Strategy” กล่าวคือ ถือหุ้นกลุ่มเติบโตและวัฏจักรที่มีโอกาสเด้งแรง (เช่น Tech growth – Roku, Twilio; Energy – EQT; Travel/Casino – Caesars) ในขณะเดียวกันก็ ตัดหุ้นที่เสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจลง (กลุ่มแบงก์ภูมิภาค, สื่อ) และเลือกถือหุ้นคุณภาพหรือ Defensive เพิ่มขึ้น (TSMC, Barclays, Teva)
นั่นหมายความว่าเขา เตรียมพร้อมทั้งสองทาง หากเศรษฐกิจดีผิดคาด หุ้นกลุ่มที่ซื้อใหม่อาจวิ่งนำตลาด แต่ถ้าเศรษฐกิจแย่ หุ้นกลุ่มที่เขาออกไป (แบงก์, สื่อ) ก็น่าจะได้รับผลกระทบหนักกว่า จึงเลี่ยงไว้ก่อน
การเพิ่ม TSMC และ Coupang บ่งบอกว่าเขา ยังเชื่อในธีมเอเชียบางส่วน (ไต้หวัน, เกาหลี) ที่มีศักยภาพเติบโต ส่วนการทิ้งหุ้นธนาคารสหรัฐเล็กๆ ยกแผง ชี้ว่าเขา ไม่สบายใจกับความเปราะบางของระบบการเงินสหรัฐ และมองว่าความเสี่ยงไม่คุ้มผลตอบแทน
ดรักเคนมิลเลอร์มีชื่อเสียงเรื่อง trading ตามแนวโน้มใหญ่ (macro trader) การจัดพอร์ตเช่นนี้จึงเป็นการ เดิมพันทั้งขาขึ้นและขาลงอย่างสมดุล – พร้อมจะพลิกกลับไปมาได้ตามข้อมูลใหม่ ในเชิงกลยุทธ์ เขากำลัง รักษาความยืดหยุ่น ของพอร์ตในสภาวะที่ทิศทางไม่ชัด ให้มีทั้งส่วนที่ offensive พอหากตลาดดี และ defensive พอหากตลาดแย่ ผลคือพอร์ตของ Duquesne หลัง Q1 จึงหลากหลาย แต่สะอาดขึ้นจากการลดจำนวนหุ้นลงและเน้นตัวที่เขามั่นใจจริงๆ เท่านั้น
9️⃣ เคน กริฟฟิน (Ken Griffin)
📊 ความเคลื่อนไหวพอร์ต: เคน กริฟฟิน ผู้ก่อตั้ง Citadel Advisors บริหารพอร์ตขนาดมหึมา (มูลค่าเกิน $5 แสนล้าน ใน 13F ล่าสุด) ผ่านกลยุทธ์ Multi-strategy ที่มีทั้งการถือหุ้นยาวและการเทรดเชิงรุกระยะสั้น
ในไตรมาส 1 ปี 2025 ปรากฏว่า Citadel ได้ ปรับพอร์ตอนุพันธ์และสถานะป้องกันความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อเตรียมรับความผันผวนของตลาด พวกเขา เพิ่มสถานะ Put Options จำนวนมากในดัชนีตลาดหุ้นหลัก โดยเฉพาะ สัญญา Put ของกองทุน SPDR S&P 500 (SPY) ซึ่งเพิ่มขึ้นคิดเป็น +2.25% ของสัดส่วนพอร์ตทั้งหมด กลายเป็นการเพิ่มน้ำหนักมากที่สุดในบรรดาการซื้อขายไตรมาสนี้ และยัง เข้าซื้อสัญญา Call ของกองทุน Invesco QQQ (ดัชนี Nasdaq-100) เพิ่ม +0.94% รวมถึง Call ของ SPY +0.48% ด้วย
นอกจากนี้ Citadel ยัง เพิ่มสถานะ Put ในกองทุน iShares High Yield Corporate Bond (HYG) ซึ่งสะท้อนการเดิมพันขาลงต่อกลุ่มตราสารหนี้ที่ความเสี่ยงสูง +0.37% และ เพิ่มสถานะ Put ในกองทุนทองคำ SPDR Gold Shares (GLD) +0.29%
สรุปคือ เคน กริฟฟินได้สะสมทั้งสถานะชอร์ต (Put) และสถานะลอง (Call) ในดัชนีใหญ่พร้อมๆ กัน เป็นการบ่งชี้ว่าเขาคาดตลาดอาจแกว่งแรง ไม่ไปทางใดก็ทางหนึ่ง จึงเตรียมกลยุทธ์ long straddle (ถือทั้ง Call/Put) ไว้ล่วงหน้า
นอกจากนี้การชอร์ต HYG แปลว่า Citadel คาดว่าเครดิตเอกชนและพันธบัตรเกรดต่ำอาจเผชิญความเสี่ยง (เช่น ผิดนัดชำระมากขึ้นในภาวะดอกเบี้ยสูง) และการชอร์ต GLD ก็สื่อว่าพวกเขา ไม่คิดว่าทองคำจะขึ้นได้มากไปกว่านี้ (อาจเพราะคาดเงินเฟ้อชะลอหรือเงินดอลลาร์แข็งค่า)
➕ หุ้น/สินทรัพย์ที่ซื้อเพิ่ม: เนื่องจาก Citadel ถือครองหลักทรัพย์หลายพันรายการ การสรุปหุ้นรายตัวจึงทำได้ยาก สถานะเพิ่มที่เด่นชัดคือ สัญญา Put และ Call ในดัชนี ตามที่กล่าว ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มสุทธิมากที่สุดในพอร์ต (เช่น SPY Put เพิ่มขึ้นคิดเป็นมูลค่าถึง +8.23% ของพอร์ต และ SPY Call +6.22% )
นอกจากนี้แหล่งข่าวยังระบุว่า Citadel ได้เพิ่มการถือหุ้นในบริษัทเซมิคอนดักเตอร์รายหนึ่งถึง ~11 ล้านหุ้น (ที่ไม่ใช่ NVIDIA) ในไตรมาสนี้ ซึ่งคาดว่าอาจเป็น หุ้น Advanced Micro Devices (AMD) หรือ Micron (MU) ที่ราคายัง Laggard เทียบกับ NVIDIA การเพิ่มหุ้นกลุ่มนี้ชี้ว่า Citadel ยังหาโอกาสในหุ้นเทคขนาดใหญ่ที่ปรับฐาน (แต่ข้อมูลนี้ไม่ได้อยู่ใน 13F โดยตรง)
🔻 หุ้นที่ขายลด: Citadel ได้ ลดสถานะอนุพันธ์ในหุ้นเทคขนาดใหญ่อย่างชัดเจน เช่น ลดสัญญา Call ใน NVIDIA ลง (-1.16%) และ ลดสัญญา Put ใน NVIDIA ลง (-1.09%) แสดงว่าพวกเขาปิดโพสิชั่นใน NVIDIA ทั้งฝั่งขึ้นและฝั่งลงจำนวนมาก อาจเพราะทำกำไรไปแล้วจากความผันผวนของหุ้นนี้เมื่อต้นปี
นอกจากนี้ สัญญา Call ใน Tesla (TSLA) ก็ถูกขายลดลง -1.03% ของพอร์ต บ่งบอกการลดเดิมพันขาขึ้นในเทสลา (อาจหลังจากราคาฟื้น) ขณะเดียวกัน สถานะ Call และ Put ใน Microsoft (MSFT) ก็ลดลง ~0.3–0.36% เช่นกัน แปลว่า Citadel ปรับลดการเก็งกำไรในหุ้นเมกะแคปที่นิ่งอย่าง Microsoft ลง
ส่วนหุ้นรายตัวอื่นๆ Citadel มีการ ขายออกหุ้นจำนวน 1,740 ตัวจนหมดพอร์ต และ ลดสัดส่วนในหุ้นอีกกว่า 6,200 ตัว (ในขณะที่เปิดใหม่ 1,694 ตัว และเพิ่มใน 6,333 ตัว) ตัวเลขเหล่านี้แสดง การหมุนเวียนที่สูงมาก (Turnover ~21%) ของพอร์ต Citadel การขายหุ้นออกจำนวนมากนี้ส่วนใหญ่เป็นการปรับสถานะเล็กๆ น้อยๆ ตามกลยุทธ์ Market-making และ Statistical arbitrage ของกองทุน ซึ่งเป็นเรื่องปกติ
➡️ สถานะคงไว้และโครงสร้างพอร์ต: 10 อันดับแรกของพอร์ต Citadel คิดเป็น ~31.7% ของมูลค่าพอร์ต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสถานะในกองทุนดัชนีและหุ้นบิ๊กแคป เช่น SPY (กองทุน S&P500) ที่ถือกว่า 77.56 ล้านหน่วย (มูลค่ามหาศาล) , QQQ (กองทุน Nasdaq100), หุ้นบลูชิพอย่าง Microsoft, Apple, Amazon ฯลฯ ที่ Citadel ยังถือในปริมาณมาก แม้อาจปรับลดเล็กน้อย
Citadel ดำเนินกลยุทธ์หลากหลาย ดังนั้นพอร์ต 13F ที่เห็นอาจเป็นเพียงฝั่ง Long (สุทธิ) เพื่อการรายงาน ขณะที่ฝั่ง Short ที่แท้จริงอาจถูกปิดผ่านตราสารอนุพันธ์แล้ว อย่างไรก็ดี สัดส่วน Sector Allocation ของ Citadel ยังคงกระจายทั่วทั้งเทคโนโลยี > การเงิน > สาธารณูปโภค > พลังงาน ฯลฯ อย่างสมดุล เพื่อไม่ให้พอร์ตสัมผัสความผันผวนเฉพาะกลุ่มเกินไป
🧭 มุมมองเชิงกลยุทธ์: การเพิ่มทั้ง Call และ Put ในดัชนีของ Citadel บอกได้ว่า เคน กริฟฟินกำลังเดิมพันกับ “ความผันผวน” ของตลาด มากกว่าจะเลือกข้างตลาดขึ้นหรือลงอย่างชัดเจน เขาอาจมองว่ามีเหตุการณ์สำคัญ (เช่น การเจรจาการค้า, นโยบายดอกเบี้ย, ภาษี) ที่จะทำให้ตลาดเคลื่อนไหวแรงในไตรมาสถัดๆ ไป จึงเข้าถือ options ทั้งสองฝั่ง (long volatility) เพื่อเตรียมรับกำไรไม่ว่าเกิดการทะยานขึ้นหรือล่มลงของดัชนี
นอกจากนี้ การตั้งรับด้วย Put ใน HYG และการชอร์ตทองคำ แสดงมุมมองว่า สภาพคล่องและเครดิตอาจตึงตัว ทำให้พันธบัตรความเสี่ยงสูงน่าจะราคาลง (yield ขึ้น) ขณะเดียวกันทองคำซึ่งมักขึ้นในยามวิกฤต กลับถูกชอร์ต แปลว่า Citadel อาจคาดว่า ยังไม่เกิดวิกฤตใหญ่ที่จะดันราคาทอง และในสถานการณ์ดอกเบี้ยสูงต่อเนื่อง ทองอาจโดนแรงขายด้วยซ้ำ
การลดอนุพันธ์ในหุ้นอย่าง NVIDIA, Tesla ก็สมเหตุผลเพราะหุ้นเหล่านี้ขึ้นแรง – Citadel น่าจะ ทำกำไรและลดพอร์ตเพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนรายตัว มุ่งไปโฟกัสภาพรวมผ่านดัชนีแทน
ดังนั้นโดยรวมแล้ว กลยุทธ์ของเคน กริฟฟินในช่วงนี้คือ การบริหารความเสี่ยงเชิงมหภาคอย่างแยบยล ใช้อนุพันธ์จำนวนมากเพื่อป้องกันพอร์ตและสร้างกำไรจาก movement ของตลาด ในขณะเดียวกันก็ยังถือหุ้นพื้นฐานดีๆ กระจายอุตสาหกรรมไว้ (Apple, Microsoft ฯลฯ) เป็นแกนหลัก
ยุทธศาสตร์แบบนี้ทำให้ Citadel พร้อมรับทุกสถานการณ์ – หากตลาดพุ่ง เขาก็ได้กำไรจากหุ้น Long และ Call แต่หากตลาดทรุด เขาก็มี Put จำนวนมากคอยคุ้มกัน สอดคล้องกับชื่อเสียงของ Citadel ในฐานะกองทุนที่ ทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง ผ่านการเทรดเชิงซ้อนหลายมิติ
🎯 สรุปภาพรวม: การปรับพอร์ตของนักลงทุนชั้นนำทั้ง 9 คนในไตรมาส 1/2025 สะท้อนแนวโน้มใหญ่บางประการ โดยหลายราย (บัฟเฟตต์, โซรอส, ดาลิโอ, กริฟฟิน) เลือกตั้งรับ สะสมเงินสดหรือใช้อนุพันธ์ป้องกันความเสี่ยง พร้อมลดหุ้นเสี่ยง (โดยเฉพาะกลุ่มการเงินและเทคโนโลยีที่ราคาพุ่งแรง)
ขณะที่บางราย (แคธี วูด, แอ็คแมน, ดรักเคนมิลเลอร์) ยังเสาะหาโอกาสในหุ้นเติบโตที่ราคาย่อลงหรือธีมใหม่ๆ (นวัตกรรม, ยานยนต์ไฟฟ้า, AI)
สำหรับไมเคิล เบอร์รี่ เขาโดดเด่นสุดในด้านมุมมองขาลงสุดขั้วต่อหุ้นเทค ซึ่งถ้าปรากฏเป็นจริงก็จะส่งผลอย่างยิ่งต่อพอร์ตผู้อื่นเช่นกัน
ดังนั้นภาพรวมบ่งชี้ว่านักลงทุนระดับตำนานเหล่านี้ เตรียมรับมือความผันผวนที่กำลังจะมาถึง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่ว่าจะผ่านการถือสินทรัพย์ปลอดภัย การป้องกันความเสี่ยง หรือการเลือกลงทุนในธุรกิจที่แข็งแกร่งจริงๆ เท่านั้น การวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวของพวกเขาให้บทเรียนว่าในช่วงเวลาที่ตลาดไม่แน่นอน การปรับพอร์ตอย่างมีชั้นเชิงและยืดหยุ่น คือกุญแจสู่การรักษาความมั่งคั่งและคว้าโอกาสในอนาคตค่ะ
โฆษณา