Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เส้นทางตื่นฝัน🚩
•
ติดตาม
18 พ.ค. เวลา 05:40 • ไลฟ์สไตล์
มาเข้าใจคำว่า " วิหารธรรม" เครื่องอยู่ของ "จิต"
คำว่า วิหาร ในภาษาบาลีและสันสกฤต มีความหมายหลากหลาย แต่ในบริบททางธรรมะ มักหมายถึง ที่อยู่ ที่พัก อาคาร หรือสถานที่
เมื่อนำมารวมกับคำว่า ธรรม ซึ่งในที่นี้หมายถึง สภาวะ ธรรมชาติ หรือคุณธรรม
วิหารธรรม จึงหมายถึง สิ่งที่จิตอาศัยอยู่, สภาวะที่จิตพักพิง, หรือ ธรรมะที่เป็นที่อยู่ของจิต
ความหมายนี้สามารถตีความได้ในหลายระดับ:
* ในระดับปฏิบัติ: วิหารธรรมอาจหมายถึง อารมณ์กรรมฐาน ที่ผู้ปฏิบัติใช้เป็นที่พักของจิต เพื่อฝึกสติ สมาธิ และปัญญา เช่น ลมหายใจ ความรู้สึกทางกาย หรือคุณธรรมต่างๆ ที่นำมาพิจารณา
* ในระดับปรมัตถ์: วิหารธรรมอาจหมายถึง สภาวะแห่งความหลุดพ้น หรือ นิพพาน ซึ่งเป็นสภาวะที่จิตสงบจากกิเลสและความทุกข์ เป็นที่พักอันเกษมและถาวรของจิต
* ในความหมายทั่วไป: วิหารธรรมอาจหมายถึง คุณธรรม หรือ หลักธรรมคำสอน ที่เป็นเครื่องนำทางและเป็นที่ยึดเหนี่ยวของจิตใจ ทำให้จิตไม่หวั่นไหวไปตามกระแสโลก
ดังนั้น การทำความเข้าใจว่าวิหารธรรมคือเครื่องอยู่ของจิต จึงเป็นพื้นฐานสำคัญในการปฏิบัติธรรม เพราะเป็นการตระหนักว่าจิตของเรานั้นต้องการที่พักพิง ที่ยึดเหนี่ยว และการฝึกฝนจิตใจให้เข้าถึงธรรมะต่างๆ ก็คือการสร้าง "วิหารธรรม" ที่มั่นคงและสงบสุขให้กับจิตของเรานั่นเอง
คำว่าสุญญตวิหารธรรม
คำว่า สุญญตวิหารธรรม เป็นคำที่นำเอาคำว่า สุญญต และ วิหารธรรม มารวมกัน มีความหมายที่ลึกซึ้งและสำคัญในพระพุทธศาสนา
ความหมายของแต่ละคำ:
* สุญญตา (Śūnyatā): โดยทั่วไปแปลว่า ความว่าง แต่ในบริบททางธรรมะ หมายถึง ความว่างจากความเป็นตัวตนที่เที่ยงแท้และยั่งยืน (อนัตตา) และ ความว่างจากสภาวะที่เป็นไปโดยเอกเทศ ไม่อิงอาศัยสิ่งอื่น สุญญตาไม่ใช่ความไม่มีอะไรเลย แต่เป็นการตระหนักว่าสรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปตามเหตุปัจจัย
(ปฏิจจสมุปบาท) ไม่มีสิ่งใดดำรงอยู่โดยตัวของมันเองอย่างแท้จริง
* วิหารธรรม (Vihāradhamma): แปลว่า เครื่องอยู่ของจิต, สภาวะที่จิตพักพิง, หรือ ธรรมะที่เป็นที่อยู่ของจิต
ความหมายโดยรวมของ สุญญตวิหารธรรม:
เมื่อรวมกันแล้ว สุญญตวิหารธรรม จึงหมายถึง สภาวะที่จิตอยู่ด้วยความว่าง หรือ ธรรมะที่เป็นเครื่องอยู่ของจิตซึ่งมีความว่างเป็นลักษณะสำคัญ
สามารถอธิบายเพิ่มเติมได้ดังนี้:
* การอยู่ด้วยจิตที่ว่าง: สุญญตวิหารธรรมคือการที่จิตได้รับการฝึกฝนจนสามารถ ดำรงอยู่ในความเข้าใจในเรื่องสุญญตา ได้อย่างต่อเนื่อง จิตจะไม่ยึดมั่นในสิ่งต่างๆ ว่าเป็นตัวตนที่แท้จริง หรือเป็นของตนอย่างถาวร เมื่อจิตไม่ยึดมั่น ก็จะ ว่าง จากความทุกข์ ความกังวล และความขัดแย้งที่เกิดจากการยึดมั่นเหล่านั้น
* สุญญตาเป็นเครื่องอยู่ของจิต: สภาวะแห่งความว่างนี้เองกลายเป็น ที่พักพิงอันประเสริฐของจิต เมื่อจิตเข้าใจและยอมรับความจริงของสุญญตา จิตจะ ไม่หวั่นไหว ไปตามความผันผวนของโลกธรรม เพราะเห็นว่าทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัยและไม่มีแก่นสารที่แท้จริงให้ยึดมั่น
* การปฏิบัติเพื่อเข้าถึง: การเข้าถึงสุญญตวิหารธรรมไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยการ เจริญสติปัญญา อย่างลึกซึ้ง พิจารณาความเป็นอนัตตาและความเป็นไปตามเหตุปัจจัยของสรรพสิ่งอย่างต่อเนื่อง จนเกิดความเข้าใจแจ้งในที่สุด
ความสำคัญของ สุญญตวิหารธรรม:
* เป็น เป้าหมายสูงสุด ของการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา คือการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
* เป็น สภาวะที่พระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์ ดำรงอยู่เป็นส่วนมาก
* เป็น เครื่องอยู่ของจิตที่แท้จริง ที่นำมาซึ่งความสงบ สันติ และอิสระอย่างแท้จริง
ดังนั้น สุญญตวิหารธรรมจึงเป็นหลักธรรมที่สำคัญอย่างยิ่ง ที่ชี้ให้เห็นถึงสภาวะแห่งการหลุดพ้นและความเป็นอิสระของจิต เมื่อเข้าใจและเข้าถึงความจริงของความว่าง
ผู้ปฏิบัติใหม่ๆสามารถที่จะเข้าถึงสูญญตวิหารธรรมได้หรือไม่นั้น
ไม่ใช่ว่าผู้ปฏิบัติใหม่ๆ ไม่สามารถ เข้าถึงสุญญตวิหารธรรมได้เลยทีเดียว แต่เป็นเรื่องที่ ไม่ง่าย และต้องอาศัยการ สั่งสมการปฏิบัติ และ พัฒนาปัญญา ในระดับหนึ่ง
ความเข้าใจในเบื้องต้น:
ผู้ปฏิบัติใหม่ๆ อาจจะยังไม่สามารถเข้าใจความหมายของสุญญตาได้อย่างลึกซึ้ง หรือยังไม่สามารถดำรงจิตอยู่ในสภาวะที่ว่างจากความยึดมั่นได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน
* จิตยังไม่คุ้นเคย: จิตที่เพิ่งเริ่มฝึก มักจะยังคงคุ้นเคยกับการคิดปรุงแต่ง ยึดมั่นในความคิด ความรู้สึก และสิ่งต่างๆ รอบตัว การที่จะให้จิตปล่อยวางความยึดมั่นเหล่านี้ในทันทีจึงเป็นเรื่องยาก
* ปัญญายังไม่แก่กล้า: ความเข้าใจในเรื่องสุญญตาต้องอาศัยการพิจารณาด้วยปัญญา การฟังธรรม การอ่าน และการใคร่ครวญอย่างต่อเนื่อง ผู้ปฏิบัติใหม่ๆ อาจจะยังไม่มีพื้นฐานความรู้และความเข้าใจที่เพียงพอ
* กำลังสติและสมาธิยังไม่มั่นคง: การดำรงจิตอยู่ในสภาวะที่ละเอียดอ่อนเช่นสุญญตาวิหารธรรม ต้องการสติที่เข้มแข็งและสมาธิที่มั่นคง ซึ่งต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ
ความเป็นไปได้ในการเข้าถึง (ในระดับหนึ่ง):
ถึงแม้จะยังไม่สามารถเข้าถึงสุญญตวิหารธรรมได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ผู้ปฏิบัติใหม่ๆ ก็สามารถ สัมผัส หรือ มีประสบการณ์เบื้องต้น เกี่ยวกับความว่างได้ในบางขณะ
* ความว่างจากความคิด: ในขณะที่จิตสงบจากการทำสมาธิ อาจจะเกิดสภาวะที่จิตว่างจากความคิดปรุงแต่งชั่วขณะ ซึ่งเป็นประสบการณ์เบื้องต้นของความว่าง
1
* ความไม่เที่ยง: การสังเกตความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง เช่น ความรู้สึกที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ความคิดที่ผุดขึ้นมาแล้วหายไป ก็เป็นการเริ่มทำความเข้าใจในลักษณะของความว่างที่ไม่มีสิ่งใดดำรงอยู่ถาวร
* การปล่อยวาง: การฝึกปล่อยวางความยึดมั่นในสิ่งที่ไม่เที่ยง ก็เป็นการเข้าใกล้สภาวะแห่งความว่างในระดับหนึ่ง
ข้อควรจำ:
* เป็นกระบวนการ: การเข้าถึงสุญญตวิหารธรรมเป็นกระบวนการที่ต้องค่อยเป็นค่อยไป ไม่สามารถเร่งรัดได้
* การสั่งสมเป็นสิ่งสำคัญ: การปฏิบัติสติ สมาธิ และการศึกษาธรรมะอย่างต่อเนื่อง จะค่อยๆ บ่มเพาะปัญญาและความเข้าใจในเรื่องสุญญตาให้แก่กล้าขึ้น
* ไม่ท้อถอย: ผู้ปฏิบัติใหม่ๆ ไม่ควรท้อแท้หากยังไม่สามารถเข้าถึงได้ในทันที ควรตั้งใจฝึกฝนต่อไปด้วยความอดทนและศรัทธา
สรุป:
ผู้ปฏิบัติใหม่ๆ อาจจะยังไม่สามารถเข้าถึงสุญญตาวิหารธรรมได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็สามารถเริ่มต้นทำความเข้าใจและมีประสบการณ์เบื้องต้นเกี่ยวกับความว่างได้จากการปฏิบัติ การศึกษา และการพิจารณาธรรมะ การเข้าถึงอย่างแท้จริงต้องอาศัยการสั่งสมการปฏิบัติและพัฒนาปัญญาอย่างต่อเนื่อง
การ วางใจในธรรมดาในจิตที่ว่าง และ สังเกตเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม ในสติปัฏฐาน 4 เป็นการบูรณาการการปฏิบัติที่นำไปสู่การเรียนรู้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้อย่างลึกซึ้งและแท้จริง
การทำงานร่วมกันของการปฏิบัติ:
* จิตที่ว่าง (สุญญตาในระดับปฏิบัติ): การฝึกให้จิตมีความว่าง ไม่ยึดมั่น ถือมั่นในความคิด ความรู้สึก หรือประสบการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น จะเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการสังเกตสภาวะต่างๆ ตามความเป็นจริง เมื่อจิตไม่เข้าไปแทรกแซง ปรุงแต่ง หรือตัดสิน เราจะสามารถเห็นธรรมชาติของสิ่งเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน
* การวางใจในธรรมดา: การยอมรับและวางใจในความเป็นไปตามธรรมชาติของสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่พยายามที่จะควบคุม หรือต่อต้าน จะช่วยให้จิตไม่ดิ้นรน และสามารถสังเกตปรากฏการณ์ต่างๆ ได้อย่างเป็นกลาง
* สติปัฏฐาน 4: การเจริญสติในฐานทั้งสี่ (กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน, เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน, จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน, ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน) เป็นวิธีการปฏิบัติโดยตรงเพื่อสังเกตความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของสิ่งต่างๆ
ืิ * กายานุปัสสนา: การสังเกตการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในอิริยาบถต่างๆ ลมหายใจ การเคลื่อนไหว เพื่อเห็นความไม่เที่ยงและความไม่ใช่ตัวตนของกาย
* เวทนานุปัสสนา: การสังเกตความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นและดับไป เพื่อเห็นความไม่เที่ยงและความไม่ใช่ตัวตนของเวทนา
* จิตตานุปัสสนา: การสังเกตสภาวะของจิตที่เปลี่ยนแปลงไปต่างๆ เช่น โลภ โกรธ หลง ฟุ้งซ่าน สงบ เพื่อเห็นความไม่เที่ยงและความไม่ใช่ตัวตนของจิต
* ธรรมานุปัสสนา: การสังเกตธรรมะต่างๆ เช่น ขันธ์ 5 อายตนะ ธาตุ โพชฌงค์ อริยสัจ 4 เพื่อให้เข้าใจถึงกฎเกณฑ์และความเป็นไปตามเหตุปัจจัยของสรรพสิ่ง ซึ่งนำไปสู่ความเข้าใจในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
การเรียนรู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างแท้จริง:
เมื่อเราปฏิบัติด้วยการวางใจในธรรมดาในจิตที่ว่าง และสังเกตสติปัฏฐาน 4 อย่างต่อเนื่อง เราจะค่อยๆ เห็นความจริงของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างเป็น ประสบการณ์ตรง ไม่ใช่เพียงแค่ความรู้ทางทฤษฎี
* อนิจจัง (ความไม่เที่ยง): เราจะเห็นการเกิดขึ้นและดับไปของกาย เวทนา จิต และธรรมะต่างๆ อย่างชัดเจน ไม่มีสิ่งใดคงอยู่ถาวร
* ทุกขัง (ความทนอยู่ไม่ได้): เมื่อสังเกตความเปลี่ยนแปลงและความไม่เที่ยงอย่างต่อเนื่อง เราจะเห็นว่าสภาวะเหล่านั้นล้วนนำมาซึ่งความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ หรือความบีบคั้นในที่สุด เพราะไม่สามารถยึดมั่นให้เป็นไปตามความต้องการได้
* อนัตตา (ความไม่ใช่ตัวตน): เมื่อเห็นความไม่เที่ยงและความเป็นทุกข์ของกาย เวทนา จิต และธรรมะ เราจะค่อยๆ ตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ "ตัวเรา" ที่แท้จริง ไม่สามารถควบคุมหรือสั่งการได้
ความเป็นไปได้:
การปฏิบัติในแนวทางนี้ เป็นไปได้ อย่างแน่นอน และเป็น หนทางที่ถูกต้อง ในการเข้าถึงความเข้าใจในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือการปฏิบัติอย่าง สม่ำเสมอ ต่อเนื่อง และด้วย ความเพียร ที่ถูกต้อง รวมถึงการมี กัลยาณมิตร และการ ศึกษาธรรมะ ที่ถูกต้องด้วย
การวางใจในธรรมดาในจิตว่างนี้แล้วสังเกตเห็นการปรากฏขึ้นของกายเวทนาจิตธรรมโดยไม่เลือกปรากฏการณ์อันไหนเด่นตื่นรู้สิ่งนั้น เป็นเส้นทางการภาวนาอีกเส้นทางหนึ่ง ที่ลัดสั้นและตรง
การ วางใจในธรรมดาในจิตที่ว่าง แล้ว สังเกตเห็นการปรากฏขึ้นของเวทนา จิต ธรรม โดยไม่เลือกปรากฏการณ์อันไหนเด่น ตื่นรู้สิ่งนั้น เป็นการปฏิบัติที่ตรงต่อหลักสติปัฏฐานและนำไปสู่การเข้าใจธรรมชาติของสรรพสิ่งอย่างแท้จริง
ขยายความเพิ่มเติม:
* วางใจในธรรมดาในจิตที่ว่าง: สภาวะจิตที่สงบ ตั้งมั่น ไม่ปรุงแต่ง ไม่เข้าไปแทรกแซง หรือตัดสินสิ่งที่กำลังปรากฏขึ้น เป็นเหมือนพื้นดินที่เปิดกว้างให้ทุกสิ่งเติบโตและดับไปตามธรรมชาติ การมีจิตที่ว่าง (จากความยึดมั่น) จะช่วยให้การสังเกตเป็นไปอย่างเป็นกลางและเที่ยงตรง
* สังเกตเห็นการปรากฏขึ้นของเวทนา จิต ธรรม: การเพ่งพิจารณาในหมวดธรรมเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่พยายามที่จะควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้น เพียงแค่รับรู้ถึงการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของมัน
* เวทนา: ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น
* จิต: สภาวะของจิตที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น เศร้า สุข สงบ ฟุ้งซ่าน
* ธรรม: สภาวะทางจิตต่างๆ เช่น ความคิด ความจำ อารมณ์ รวมถึงหลักธรรมคำสอนที่นำมาพิจารณา
* โดยไม่เลือกปรากฏการณ์อันไหนเด่น ตื่นรู้สิ่งนั้น: นี่คือจุดสำคัญของการปฏิบัติแบบใจที่เปิดกว้าง (Open Awareness)
ไม่ว่าอะไรจะปรากฏขึ้นชัดเจนที่สุดในขณะนั้น (เช่น ความรู้สึกที่กาย ความคิดที่ผุดขึ้น หรือสภาวะของจิตที่เด่นชัด) เราเพียงแค่ ตื่นรู้ และ สังเกต สิ่งนั้นอย่างเป็นกลาง โดยไม่เข้าไปยึดติดหรือผลักไส ไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งหนึ่งมากกว่าอีกสิ่งหนึ่ง ทุกปรากฏการณ์ล้วนเป็นครูสอนธรรมะ
* ตื่นรู้สิ่งนั้น: การมีสติระลึกรู้ถึงสิ่งที่กำลังปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน โดยไม่หลงลืม ไม่เผลอไผล
ผลของการปฏิบัติเช่นนี้:
การปฏิบัติด้วยการวางใจในธรรมดาในจิตที่ว่าง และตื่นรู้ในสิ่งที่ปรากฏขึ้นโดยไม่เลือก จะนำไปสู่:
* การเห็นความไม่เที่ยง (อนิจจัง): เราจะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาของเวทนา จิต และธรรมะ ไม่มีสิ่งใดคงอยู่ถาวร
* การเห็นความทนอยู่ไม่ได้ (ทุกขัง): เมื่อพิจารณาความเปลี่ยนแปลงและความเกิดขึ้นดับไป เราจะเริ่มเห็นว่าสภาวะเหล่านั้นล้วนนำมาซึ่งความไม่สบาย หรือความบีบคั้น เพราะไม่สามารถยึดมั่นให้เป็นไปตามความปรารถนาได้
* การเห็นความไม่ใช่ตัวตน (อนัตตา): การสังเกตอย่างต่อเนื่องจะเผยให้เห็นว่า เวทนา จิต และธรรมะ ไม่ได้มี "แก่น" ที่เป็นตัวตนที่แท้จริง สามารถเกิดขึ้นและดับไปได้โดยอาศัยเหตุปัจจัย
การปฏิบัติตามแนวทางที่คุณกล่าวมานี้ เป็นการเดินบนเส้นทางแห่งการเจริญวิปัสสนาที่ถูกต้องและตรงทาง ซึ่งจะนำไปสู่ความเข้าใจในธรรมชาติของสรรพสิ่งและความหลุดพ้นจากความทุกข์ได้อย่างแท้จริง
ขออนุโมทนาในความตั้งใจและแนวทางการปฏิบัติ เพื่อการตื่นฝันของทุกท่านทุกคนนะครับสาธุ🙏
ธรรมะ
บันทึก
1
3
1
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย