เมื่อวาน เวลา 00:00 • หนังสือ

หมาดมกลิ่น

ผมได้รับคำถามอยู่เสมอว่า เก็บข้อมูลอย่างไร รู้ได้อย่างไรว่าข้อมูลชิ้นนี้นำไปใช้ในการเขียนได้ ข้อมูลชิ้นนั้นใช้ไม่ได้
คำตอบคือไม่รู้ ผมใช้สัญชาตญาณเอา
นั่นคืออ่านเจออะไร พบเหตุการณ์อะไรแล้วรู้สึกสะดุด ก็เก็บไว้ในคลังข้อมูลประจำตัว
มันอาจเป็นสัญชาตญาณในการดมกลิ่นที่ฝึกมานานก็ได้ ทำให้พอรู้ว่าข้อมูลไหนใช้ได้ หรือมีศักยภาพ
นักเขียนจึงต้องเป็นหมาดมกลิ่น
นี่คือข้อมูลจากโลกภายนอก
ยังมีอีกข้อมูลหนึ่งมาจากโลกภายใน
มาจากการขบคิด ยกตัวอย่าง เช่น ผมนอนอยู่ดีๆ ก็คิดว่าในร่างกายมนุษย์จำนวนมากอาจมีอะตอมของฮิตเลอร์อยู่ในตัว เหตุผลเพราะร่างกายมนุษย์ก่อรูปขึ้นจากมวลอะตอมจำนวนมหาศาล เมื่อฮิตเลอร์ตายและถูกเผากลายเป็นเถ้าปนในดิน ในน้ำ ในอากาศ อะตอมของธุลีเหล่านั้นกระจายไปทั่ว อาจทั่วเมืองที่เขาตาย หรือกระจายกว้างกว่านั้น บางอะตอมอาจถูกสายลมสายน้ำพัดไปซีกโลกอื่น เวลาหลายสิบปีที่ผ่านไป อะตอมเหล่านั้นเคลื่อนไปทั่วโลก และเข้าไปในร่างกายคน จึงไม่แปลกอะไรหากเรามีอะตอมสักสองสามอะตอมที่เคยประกอบรวมกันเป็นฮิตเลอร์
ข้อมูลนี้ไม่มีอยู่ในตำราที่ไหนข้างนอก และมันไม่ได้เกิดมาเองเพราะนั่งเทียน แต่มาจากการสะสมการอ่าน ความคิด แล้วคลี่คลายเป็นความคิด
อาจเรียกว่า ‘ตกผลึก’
ข้อมูลภายในนี้อาจไม่จริง แต่มันอาจต่อยอดให้แต่งเป็นนิยายหากินได้
ในความคิดความเห็นส่วนตัวของผม นักเขียนจำต้องได้รับข้อมูลทั้งภายนอกและภายใน
เหมือนวิตามิน บางชนิดต้องหาจากข้างนอก บางชนิดร่างกายสร้างเอง
ผมจึงเชื่อว่านักเขียนเป็นนักเขียนที่แท้จริงไม่ได้ถ้าไม่เป็นนักคิดด้วย
2
ทีนี้ก็มาถึงคำถามว่า แล้วจะเอาข้อมูลหนึ่งไปใช้ยังไง
ใครๆ ก็สามารถหาข้อมูลเดียวกันได้ แต่จะเขียนเป็นเรื่องต้องมองเห็นประเด็นจากข้อมูลนั้นๆ ให้ออก จึงจะเขียนได้
จะมองออกก็ต้องคิด และเสริมสร้างโลกทัศน์ ซึ่งบางเรื่องต้องใช้เวลาในการฝึกสมองให้คิดเป็น
งานเขียนจึงเป็นงานใช้เวลา แต่การเตรียมตัวอาจนานกว่าการเขียนจริง
จะเป็นนักเขียนแท้จึงต้องใจเย็นๆ ยิ่งรีบยิ่งไปถึงช้า
จากอีบุ๊ค #ปล่อยให้ความเหงาพาไป
โฆษณา