18 พ.ค. เวลา 22:05 • ท่องเที่ยว

พระที่นั่งทรงผนวช วัดเบญจมบพิตร

‘พระที่นั่งทรงผนวช’ .. เป็นพระที่นั่งที่เคยอยู่ภายในพระบรมมหาราชวังมาก่อน หม่อมเจ้าประวิช ชุมสาย อีกหนึ่งนายช่างคนสำคัญของราชสำนักเป็นผู้ออกแบบพระที่นั่งองค์นี้ขึ้น
โดยเริ่มจากการสร้างตัวอย่างขึ้นมาก่อนใน พ.ศ. 2412 และนำไปสร้างเป็นอาคารขึ้นจริง ๆ ใน พ.ศ. 2416 เพื่อให้เป็นที่ประทับในคราวที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวช โดยตั้งอยู่ในบริเวณพระพุทธรัตนสถาน ภายในพระบรมมหาราชวัง
ต่อมาเมื่อมีการสถาปนาวัดเบญจมบพิตรขึ้นใน พ.ศ. 2442 .. พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายพระที่นั่งองค์นี้มาถวายวัดเบญจมบพิตรใน พ.ศ. 2443 โดยอาคารส่วนหนึ่งถวายเป็นกุฏิเจ้าอาวาสเรียกว่า ‘พระกุฏิ’ อีกส่วนหนึ่งโปรดเกล้าฯ ให้วาดภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในองค์พระที่นั่ง และอาคารหลังนี้ คือ ‘พระที่นั่งทรงผนวช
‘พระที่นั่งทรงผนวช’ เป็นพระที่นั่งในผังตรีมุข .. มีหน้าบันเป็นรูปพระเกี้ยวอันเป็นตราประจำพระองค์ของในหลวงรัชกาลที่ 5 และมีบันไดทางขึ้นอยู่ด้านข้างมุขทั้ง 2 ฝั่ง .. เราเข้าไปชมพระที่นั่งทางด้านที่ใกล้กับสะพานพระรูป
จากจุดที่เรายืนบนชานชาลาบันไดก่อนเดินขึ้นไปด้านบน .. เมื่อมองผ่านบานประดับของประตูทางเข้าผ่านสู่ด้านใน สายตาเราพบกับพระบรมรูปสลักหินอ่อนของ ร.5 เมื่อครั้งทรงเป็นหนุ่ม
พระบรมรูปสลักหินอ่อน เมื่ออยู่ตรงหน้าเรานั้นดูแปลกตาไปกว่าที่เราเคยเห็นหรือจำได้ .. พระองค์ท่านอยู่ในเครื่องทรง ประดับด้วยเหรียญเครื่องราชย์ฯ เป็นพระบรมรูปปั้นที่งดงามทีเดียว
พระพุทธรูปศิลปะล้านนาที่ประดิษฐานอยู่บริเวณกึ่งกลางอาคารพระที่นั่ง ซึ่งเสมือนเป็นระประธานของอาคารหลังนี้ เป็นพระพุทธรูปศิลปะล้านนา ไม่ทราบชื่อ มีพุทธลักษณะงดงาม
ภายในพระที่นั่งทรงผนวช มีพระแท่นบรรทม
พระบรมรูปเมื่อทรงผนวช
พระเสลี่ยงน้อย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงถวายเพื่อเป็นธรรมาสน์แสดงธรรมและแสดงพระปาติโมกข์ครั้งแรกในวัดเบญจมบพิตร
จิตรกรรมฝาผนังภายในพระที่นั่งทรงผนวช เขียนภาพเกี่ยวกับพระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รวม 20 ตอน ได้แก่ โสกันต์, บรรพชา, เทศนา, หว้ากอ, ธรณีร่ำไห้, ราไชสวรรย์, มิ่งขวัญประชา, ชีบาชื่นชม, ภิรมย์ปรางค์ปรา, พุทธานุสาวรีย์, พระบารมีไพบูลย์, ทูตทูลสาส์นตรา, ราชานิวัติ, ไพรัชประพาส, ประเทศราชนานา (2ตอน), รักษาพุทธศาสน์, ตรวจราชการ, สังหารกุมภา,
การเขียนภาพเหล่านี้แบ่งให้จิตรกรเขียนคนละห้องโดยใช้สีฝุ่นผสมกาวอย่างโบราณ สำหรับจิตรกรผู้เขียนภาพไม่ปรากฏนาม .. แต่สันนิษฐานว่าพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจันทรสุเทพ (หม่อมเจ้าจันทร์ ดารากร) ทรงเป็นผู้เขียนพระองค์หนึ่ง
เนื่องจากทรงเป็นผู้รับต่อเติมพระที่นั่งองค์นี้ และทรงเป็นจิตรกรมีชื่อพระองค์หนึ่งในสมัยนั้น และมีผลงานเขียนแบบตาลปัตร (พัด) สำหรับวัดเบญจมบพิตร เช่น พัดเปรียญ พัดฐานา พัดรอง เป็นต้น
จิตรกรรมฝาผนังรอบผนังทุกด้านเล่าประวัติของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีรวม 20 ภาพ 20 ตอน ถือว่ามีความโดดเด่น เป็นไฮไลท์ของการเยี่ยมชมเลยทีเดียว
เรื่องราวในจิตรกรรมฝาผนังภายในพระที่นั่ง .. เริ่มตั้งแต่พระราชพิธีโสกันต์เมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2408 ไปเรื่อย ๆ จนสุดพื้นที่ผนัง โดยภาพทั้งหมดเขียนเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 5 ในขณะที่พระองค์ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ ดังนั้นภาพสุดท้ายจึงไม่ใช่เหตุการณ์สวรรคต แต่เป็นภาพเมื่อครั้งที่พระที่นั่งทรงผนวชยังอยู่ในพระบรมมหาราชวัง ก่อนที่จะย้ายมายังวัดเบญจมบพิตรนั่นเอง
ฉากสำคัญ ๆ ที่มีความน่าสนใจของจิตรกรรมฝาผนังในอาคารหลังนี้อยู่ที่ความสมจริง ในรูปแบบ “สัจนิยม” ที่มีมาตั้งแต่ครั้งสมัยรัชกาลที่ 4 .. แต่ในสมัยรัชกาลที่ 5 “ความสมจริง” มีความลึกซึ้ง เหมือนจริง ทั้งหน้าตาอาคาร บริบทแวดล้อม รวมไปถึงรูปบุคคลที่เราคุ้นตามาก่อนแล้ว
จิตรกรรมฝาผนังในพระที่นั่งทรงผนวช ยังมีความน่าสนใจในการตั้งชื่อให้สอดคล้องกับภาพวาดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เช่น ‘โสกันต์’ เป็นผนังแรกที่เล่าเหตุการณ์พระราชพิธีโสกันต์ของรัชกาลที่ 5 หรือผนังสุดท้ายอย่าง ‘ย้ายมาที่นี่’ ที่เล่าเหตุการณ์การย้ายพระที่นั่งทรงผนวชมายังวัดเบญจมบพิตร
มีบางตอนที่ตั้งชื่อไพเราะมาก เช่น ‘ธรณีร่ำไห้’ ที่เล่าเหตุการณ์การสวรรคตของรัชกาลที่ 4 หรือ ‘ทูตทูลสาส์นตรา’ เล่าเหตุการณ์การเจริญสัมพันธไมตรีของรัชกาลที่ 5 กับนานาประเทศ
จิตรกรรมฝาผนังที่น่าสนใจเป็นพิเศษ
ผนังที่ 2 ‘บรรพชา’ ... เล่าเหตุการณ์เมื่อครั้งที่รัชกาลที่ 5 ยังเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ทรงเข้าพระราชพิธีบรรพชาเป็นสามเณร ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ วัดพระแก้ว
ในฉากนี้เลยแสดงภาพวัดพระแก้วในสมัยรัชกาลที่ 4 อาคารหลังไหนที่มีในสมัยรัชกาลที่ 4 ก็จะปรากฏอยู่ในฉากนี้ทั้งหมด ทั้งพระอุโบสถ ศาลาราย หรืออาคารที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ในรัชกาลนี้อย่างพุทธปรางค์ปราสาทหรือปราสาทพระเทพบิดรก็ยังอยู่ .. ที่สำคัญ ในฉากนี้ยังแอบใส่ภาพรัชกาลที่ 4 ประทับนั่งหันหลังอยู่ภายในพระที่นั่งไชยชุมพลทอดพระเนตรกระบวนแห่ด้วย
ผนังที่ 4 ‘หว้ากอ’ .. ที่ถือเป็นแห่งเดียวในบรรดาจิตรกรรมฝาผนังรุ่นเก่าที่แสดงภาพเหตุการณ์การทอดพระเนตรสุริยปราคาที่หว้ากอได้สมจริงที่สุด โดยบนพื้นหลังที่เป็นที่ อำเภอหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จริง ๆ
เริ่มตั้งแต่การเตรียมการเสด็จทรงชลมารคโดยเรือพระที่นั่งอรรคราชวรเดช ไปจนถึงพลับพลาที่ทรงประทับทอดพระเนตร ซึ่งหน้าตาเหมือนในภาพถ่ายเก่า
‘ธรณีร่ำไห้’ .. แสดงเหตุการณ์หลังจากที่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เสด็จสวรรคต ภาพหลักบนผนังนี้คือภาพของพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท สถานที่ประดิษฐานพระบรมศพในพระโกศตามประเพณีที่ทำกันเรื่อยมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 9
.. แต่ที่สำคัญมากกว่าความสมจริงของพระที่นั่งหรืออาคารในภาพ คือบรรดาผู้คนในเมืองที่ล้วนแต่งกายด้วยชุดสีขาวและโกนศีรษะกันโดยถ้วนทั่ว สิ่งนี้ถือเป็นรูปแบบของการไว้ทุกข์ตามประเพณีแต่โบราณที่ปัจจุบันหลงเหลือแต่คำบอกเล่าเท่านั้น ภาพนี้จึงเป็นเหมือนเครื่องการันตีว่าคำบอกเล่านี้ไม่ได้พูดขึ้นมาลอย ๆ แต่เคยเกิดขึ้นจริงมาแล้ว
ผนังที่ 9 ‘ภิรมย์ปรางปรา’ .. เล่าถึงเหตุการณ์ในคราวที่รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้แก้ไขดัดแปลงบรรดาพระที่นั่งต่าง ๆ ในพระบรมมหาราชวัง ก่อนจะโปรดให้มีการจัดพระราชพิธีเพื่อเฉลิมฉลองหลังจากการดัดแปลงเสร็จสิ้นแล้ว
.. ภาพการเฉลิมฉลองนั้นน่าสนใจมาก เพราะมีการแสดงมหรสพทั้งการเล่นละครนอก การเล่นโขนชักรอกที่แทบจะสูญหายไปแล้ว หรือการเล่นไม้สูง ที่มีผู้คนแต่งกายทั้งแบบดั้งเดิมและแบบสมัยใหม่ในยุคนั้นมาชมการแสดงเหล่านี้ รวมถึงบรรดาพ่อค้าที่แบกสาแหรกหรือตั้งร้านขายอาหารและเครื่องดื่ม โดยบรรดาพ่อค้าล้วนแต่เป็นคนจีนทั้งสิ้น
ผนังที่ 12 ‘ทูลทูตสาส์นตรา’ .. ถือเป็นอีกหนึ่งผนังใหญ่ที่ช่างดูให้ความสำคัญเป็นพิเศษเพราะมีการใส่รายละเอียด อาจด้วยเพราะนี่เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญในรัชกาลที่ 5 แสดงเหตุการณ์ที่บรรดาทูตานุทูตจากประเทศต่าง ๆ เดินทางมายังสยามเพื่อดูว่าบ้านเมืองยังปกติดีไหม และถวายพระพรแก่ในหลวงพระองค์ใหม่
.. แม้ฉากหลังจะผิดไปจากความเป็นจริงไปบ้าง เพราะการรับทูตควรเกิดขึ้นที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย แต่ในฉากนี้กลับเลือกเก๋งวรนาฏนารีเสพย์แทน เนื่องจากถ้าใช้พระที่นั่งอมรินทรฯ ก็คงจะยากเกินไปสำหรับช่างในเวลานั้นที่จะแสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านในอาคาร
ส่วนภาพของในหลวงรัชกาลที่ 5 และคณะทูตที่น่าจะมาจากออสเตรียนั้นวาดออกมาได้ใกล้เคียงมาก ๆ แถมยังมีรายละเอียดของกระบวนทหารรับราชทูตด้วย
ผนังที่ 15 ‘ประเทศราชนานา’ .. เล่าถึงเหตุการณ์การเสด็จประพาสต่างประเทศ ทั้งการเสด็จไปเกาะหมาก aka เกาะปีนัง แสดงภาพเกาะที่เต็มไปด้วยอาคารและผู้คนอย่างตะวันตก
พร้อมกับรถไฟที่กำลังวิ่งไปตามรางพร้อมฉากหลังที่เป็นวิวทิวทัศน์ของภูเขา และการเสด็จไปยังประเทศพม่า แสดงด้วยภาพวัด และบรรดาผู้คนพม่า ดูได้จากเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของคนในฉาก
ผนังที่ 19 ‘สังหารกุมภา’ .. หลายคนอ่านชื่อนี้แล้วอาจจะกำลังเกาหัวว่าในหลวงรัชกาลที่ 5 ไปเกี่ยวอะไรกับการสังหารจระเข้ .. เหตุการณ์นี้ไม่ได้ถูกกล่าวถึงในพระราชพงศาวดารหรือจดหมายเหตุใด ๆ เป็นแต่เพียงคำบอกเล่าที่เล่าสืบต่อกันมาว่าในสมัยก่อนมีจระเข้ยักษ์ดุร้ายตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในแม่น้ำบางปะกงในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา
.. จระเข้ตัวนี้สร้างความลำบากแก่ผู้คนในสมัยโน้นที่เดินทางสัญจรด้วยเรือมาก จนต้องกราบบังคมทูลเชิญรัชกาลที่ 5 ให้มาปราบด้วยพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งปราบได้สำเร็จจริง ๆ และการที่นำมาวาดลงบนฝาผนังก็อาจช่วยเรายืนยันได้ประมาณหนึ่งว่าเหตุการณ์นี้อาจจะเคยเกิดขึ้นจริงก็ได้
จิตรกรรมฝาผนังของพระที่นั่งทรงผนวชนั้น อาจกล่าวได้ว่ามี “ความสมจริง” ราวกับ “ภาพถ่าย” .. เช่นภาพเหมือนบุคคล มีความสมจริงไม่เฉพาะพระบรมรูปของพระมหากษัตริย์หรือพระบรมวงศานุวงศ์เท่านั้น ยังมีภาพเหมือนขุนนางหลายคนด้วย ซึ่งเป็นพัฒนาการที่ก้าวไปอีกขั้นของจิตรกรรมฝาผนังในสมัยนั้น
ภาพของรัชกาลที่ 4 ในฉากหว้ากอ .. เป็นภาพที่พระองค์ท่านเตรียมออกเดินทาง พระพักตร์รวมถึงเครื่องทรงของพระองค์ท่านบนภาพวาดนั้นเหมือนพระองค์อย่างมาก
ภาพของรัชกาลที่ 5 ก็มีตั้งแต่ที่พระองค์ยังทรงผนวชครองจีวรอยู่ รวมไปถึงภาพหลังจากที่พระองค์ขึ้นครองราชสมบัติแล้ว ซึ่งก็จะเป็นภาพแบบที่เป็นภาพจำของใครหลายคนเวลานึกถึงพระองค์ .. ยิ่งภาพใหญ่เท่าไหร่ รายละเอียดยิ่งเหมือนจริงมากเท่านั้น
นอกเหนือจากภาพของพระมหากษัตริย์แล้ว ที่นี่ยังมีภาพของบุคคลสำคัญคนอื่น ๆ เช่น สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และขุนนางคนสำคัญในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ปรากฏตัวในฉากหว้ากอที่มีใบหน้าเหมือนกับตัวจริงอย่างกับภาพถ่าย
รวมถึงภาพของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ก็ปรากฏบนฝาผนังด้วยเช่นกัน แต่ในกรณีของเจ้าฟ้ามหามาลา ท่านมาแบบแนบเนียนสุด ๆ ในฉากสมโภชช้างเผือก โดยปรากฏมาเพียงแค่พระพักตร์เท่านั้น ซึ่งเหตุที่ท่านปรากฏในฉากนี้อาจมาจากการที่พระองค์เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องคชบาลหรือช้างด้วย
ประตูหน้าต่างด้านนอกเขียนลายรดน้ำตรา "เครื่องราชอิสริยาภรณ์" ที่ทรงปรับปรุงขึ้นใหม่เป็น 5 สาย 5 ชั้น
เครื่องลายครามต่าง ๆ
โฆษณา