Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
SEED TO SUCCESS
•
ติดตาม
19 พ.ค. เวลา 04:58 • หุ้น & เศรษฐกิจ
เลี้ยงชาติ แต่เลี้ยงตัวไม่ได้: ไขปม 3 กับดักที่ทำให้เกษตรกรไทยยังจน
ในปี 2562 เกษตรกรไทยมีผลิตภาพแรงงานต่ำกว่าจีนถึง 1.6 เท่า ขณะที่สัดส่วนมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรต่อ GDP ของไทยลดลงจาก 32% ในปี 2523 เหลือเพียง 12% ในปี 2562 ตัวเลขเหล่านี้จากธนาคารโลกและมหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์เผยให้เห็นความจริงอันขมขื่น: แม้ประเทศไทยจะผลิตอาหารได้มากขึ้น แต่เกษตรกรกลับยากจนลง
การที่เกษตรกรไทยไม่สามารถสร้างความมั่งคั่งได้เทียบเท่ากับประเทศพัฒนาแล้วนั้น มิใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อนและสะสมมาหลายทศวรรษ บทวิเคราะห์นี้จะไขปมปัญหาดังกล่าวผ่านเลนส์ของข้อมูลเชิงประจักษ์และการเปรียบเทียบระหว่างประเทศ
ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจการเกษตรที่เอื้อต่อความเหลื่อมล้ำ
การแบ่งสรรที่ดินแบบหัวชนเท้าไถ
ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรปี 2565 เผยภาพความไม่เป็นธรรมอย่างชัดเจน: เกษตรกร 72% เป็นเพียงผู้ถือครองที่ดินขนาดเล็กน้อยกว่า 16 ไร่ ในขณะที่กลุ่มนายทุนและบริษัทขนาดใหญ่กลับครอบครองที่ดินกว่า 58% ของพื้นที่เกษตรทั้งหมด
ผลกระทบของปัญหานี้สะท้อนผ่านค่าเช่าที่ดินที่กัดเซาะรายได้เกษตรกร เกษตรกรส่วนใหญ่ต้องจ่ายค่าเช่าสูงถึง 30-50% ของรายได้ ทำให้ขาดอำนาจต่อรองและไม่มีเงินลงทุนปรับปรุงการผลิต
เปรียบเทียบกับสหรัฐอเมริกาที่มีนโยบาย Homestead Act มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เพื่อส่งเสริมการถือครองที่ดินขนาดใหญ่ ทำให้เกิดเศรษฐกิจขนาดใหญ่ (Economies of Scale) ที่สามารถลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพได้
การพึ่งพาข้าวเป็นพืชเชิงเดี่ยว
การปลูกข้าวที่ครอบคลุมพื้นที่ถึง 45% ของการเกษตรทั้งหมดสร้างความเสี่ยงสูงจากความผันผวนของราคาและสภาพอากาศ งานวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยระบุว่าการปลูกพืชเชิงเดี่ยวทำให้เกษตรกรไทยสูญเสียรายได้เฉลี่ย 15,000 บาทต่อครัวเรือนต่อปี
ในขณะที่เกษตรกรในแคลิฟอร์เนียใช้ระบบการปลูกพืชหมุนเวียน 3-5 ชนิดต่อปีเพื่อกระจายความเสี่ยง สร้างรายได้ที่มั่นคงและลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด
อำนาจการผูกขาดของพ่อค้าคนกลาง
ระบบการค้าข้าวไทยถูกควบคุมโดยพ่อค้าคนกลางเพียง 10 รายที่ครอบครองตลาดกว่า 80% ส่งผลให้เกษตรกรได้รับราคาข้าวเปลือกเพียง 30-40% ของราคาขายปลีก นี่คือความไม่เป็นธรรมที่แสดงให้เห็นถึงการขาดอำนาจต่อรองของเกษตรกรรายย่อย
ตรงข้ามกับระบบสหกรณ์ในญี่ปุ่นที่สมาพันธ์เกษตรกรมีอำนาจเต็มที่ในการกำหนดราคาผลผลิต ทำให้เกษตรกรญี่ปุ่นได้รับส่วนแบ่งที่เป็นธรรมจากมูลค่าสินค้าเกษตร
ปัญหาที่สอง: ความล้าหลังทางเทคโนโลยี
ช่องว่างการเข้าถึงเครื่องจักรกล
สถิติเปรียบเทียบระหว่างประเทศเผยให้เห็นช่องว่างอย่างชัดเจน: ไทยมีอัตราการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรเพียง 0.3 หน่วยต่อครัวเรือน ขณะที่จีนมีอัตราสูงถึง 2.1 หน่วยต่อครัวเรือน
ข้อมูลจากกรมวิชาการเกษตรชี้ว่าการใช้เครื่องเกี่ยวนวดข้าวแบบครบวงจรสามารถลดต้นทุนได้ 35% แต่เกษตรกรไทยเพียง 12% เท่านั้นที่เข้าถึงเทคโนโลยีนี้ ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ทำให้เกษตรกรไทยแข่งขันไม่ได้กับคู่แข่งในภูมิภาค
งบประมาณวิจัยและพัฒนาที่ไม่เพียงพอ
ไทยใช้งบประมาณด้านวิจัยการเกษตรเพียง 0.2% ของ GDP เกษตรกรรม ต่ำกว่าอัตรา 1.5% ที่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติแนะนำอย่างมาก
ผลกระทบของการลงทุนที่ไม่เพียงพอนี้เห็นได้จากการพัฒนาพันธุ์พืชที่ช้า งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่แสดงให้เห็นว่าการพัฒนาพันธุ์ข้าวหอมมะลิ 105 ใช้เวลานานถึง 7 ปี ในขณะที่เวียดนามสามารถพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ได้ทุก 2-3 ปี
ระดับการศึกษาที่จำกัด
สถิติจากสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2565 เผยว่าเกษตรกรไทยเพียง 8% ที่จบการศึกษาระดับอุดมศึกษา ตัวเลขนี้ต่างจากเกษตรกรในอิสราเอลที่ 67% จบปริญญาตรีขึ้นไป
หลักสูตรการศึกษาการเกษตรของไทยมีจุดอ่อนในการเน้นทฤษฎีมากกว่าการปฏิบัติ โดยมีชั่วโมงฝึกงานจริงเพียง 15% ของหลักสูตร ความไม่สมดุลนี้ทำให้บัณฑิตขาดทักษะการประยุกต์ใช้ความรู้ในสถานการณ์จริง
ปัญหาที่สาม: นโยบายที่ล้มเหลวในการสร้างพื้นฐาน
การอุดหนุนที่ไม่แก้โจทย์ปัญหาจริง
มาตรการช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ใช้งบประมาณปีละกว่า 38,500 ล้านบาท แต่การศึกษาจากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์พบว่ามาตรการนี้เพิ่มรายได้เกษตรกรเพียง 3.2% ขณะที่ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น 5.7%
นโยบายนี้ต่างจาก Agricultural Subsidy ของสหภาพยุโรปที่เน้นการปรับโครงสร้างการผลิตและส่งเสริมนวัตกรรม ไม่ใช่เพียงการแจกเงินช่วยเหลือเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
สหกรณ์การเกษตรที่อ่อนแอ
ประเทศไทยมีสหกรณ์การเกษตรเพียง 1,752 แห่ง ให้บริการเกษตรกรได้เพียง 15% ซึ่งต่างจากญี่ปุ่นที่มีระบบสหกรณ์เกษตร (JA) ที่รวมสมาชิกได้ 99% ของเกษตรกรทั้งหมด
การศึกษาจากมหาวิทยาลัยขอนแก่นพบว่าสหกรณ์ไทยส่วนใหญ่มีปัญหาการบริหารจัดการ ทำให้สูญเสียโอกาสทางการตลาดปีละกว่า 12,000 ล้านบาท สะท้อนถึงการขาดความเข้มแข็งของสถาบันกลางที่สำคัญสำหรับเกษตรกร
กฎหมายที่ไม่ทันสมัย
พระราชบัญญัติเช่าที่ดินทางการเกษตร พ.ศ. 2564 อนุญาตให้เช่าที่ดินได้สูงสุดเพียง 30 ปี สร้างความไม่มั่นคงในการลงทุนระยะยาว ขณะที่สิงคโปร์มีระบบ Land Leasehold 99 ปีสำหรับโครงการเกษตรเทคโนโลยีสูง
ข้อมูลจากสำนักงานที่ดินแสดงให้เห็นว่าเกษตรกรไทยเพียง 23% มีเอกสารสิทธิ์ที่ดินถูกต้องครบถ้วน สภาพนี้เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อพัฒนาการผลิต
บทเรียนจากความสำเร็จของต่างประเทศ
จีน: การรวมกลุ่มเชิงอุตสาหกรรม
บริษัท Muyuan Foodstuff ของจีนพัฒนาระบบฟาร์มหมูแบบ Vertical Integration ที่ควบคุมทุกขั้นตอนตั้งแต่พันธุกรรมถึงการแปรรูป ส่งผลให้มีอัตรากำไรสุทธิสูงถึง 18% ต่างจากฟาร์มหมูไทยที่มีอัตรากำไรเฉลี่ยเพียง 5%
รัฐบาลจีนสนับสนุนนโยบาย "หนึ่งหมู่บ้าน หนึ่งผลิตภัณฑ์" สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตรปีละกว่า 1.2 ล้านล้านบาท แสดงให้เห็นถึงพลังของการรวมกลุ่มและสร้างเอกลักษณ์สินค้า
สหรัฐอเมริกา: เศรษฐกิจขนาดใหญ่
ฟาร์มข้าวโพดในมิดเวสต์สหรัฐฯ มีขนาดเฉลี่ย 1,200 เอเคอร์ และใช้ระบบ Precision Farming ลดต้นทุนได้ 40% กฎหมาย Farm Bill ฉบับล่าสุดจัดสรรงบประมาณ 428,000 ล้านดอลลาร์สำหรับการวิจัยและพัฒนาการเกษตร
ผลจากการลงทุนขนาดใหญ่นี้คือผลิตภาพแรงงานเกษตรสหรัฐฯ สูงกว่าไทย 27 เท่า สะท้อนถึงความสำคัญของการลงทุนเชิงโครงสร้างและเทคโนโลยี
อิสราเอล: นวัตกรรมเกษตรกรรม
ระบบน้ำหยดของ Netafim ช่วยลดการใช้น้ำได้ 70% ในขณะที่เกษตรกรไทยยังพึ่งพาน้ำฝนถึง 65% ของพื้นที่เกษตร อิสราเอลใช้งบประมาณวิจัยการเกษตร 4.5% ของ GDP เกษตรกรรม และสามารถพัฒนาพันธุ์พืชทนแล้งได้ปีละกว่า 50 สายพันธุ์
ความเข้มข้นในการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนานี้ทำให้อิสราเอลกลายเป็นผู้ส่งออกเทคโนโลยีการเกษตรรายใหญ่ของโลก
แนวทางการปฏิรูป: บทสรุปเชิงนโยบาย
การปฏิรูปที่ดินแบบก้าวกระโดด
โมเดล Land Bank ตามแนวทางไต้หวันที่อนุญาตให้เกษตรกรเช่าที่ดินระยะยาว 50 ปี พร้อมระบบประเมินผลผลิตต่อหน่วยพื้นที่ สามารถเพิ่มมูลค่าที่ดินเกษตรได้ 3-5 เท่า การศึกษาจากธนาคารพัฒนาเอเชียเสนอให้จัดตั้งกองทุนที่ดินเกษตรกรรมมูลค่า 100,000 ล้านบาท
การปฏิวัติห่วงโซ่อุปทาน
การนำระบบ Blockchain มาใช้ในตลาดข้าวสารสามารถเพิ่มรายได้เกษตรกร 25% จากการตรวจสอบย้อนกลับ โครงการตลาดเกษตรดิจิทัลของมาเลเซียแสดงให้เห็นว่าสามารถลดส่วนกลางพ่อค้าได้ 40%
การลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัลจะช่วยให้เกษตรกรเข้าถึงตลาดได้โดยตรง และได้รับส่วนแบ่งที่เป็นธรรมจากมูลค่าผลิตภัณฑ์
การศึกษาเกษตรยุคใหม่
การจัดตั้ง Agricultural Innovation Hub ตามแนวทาง Wageningen University ของเนเธอร์แลนด์ ที่ผสมผสานหลักสูตรด้านเทคโนโลยีชีวภาพ วิทยาการข้อมูล และการจัดการห่วงโซ่อุปทาน สามารถผลิตบุคลากรเกษตรยุคใหม่ได้ปีละ 5,000 คน
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านเกษตรกรรมจะเป็นรากฐานสำคัญในการยกระดับความสามารถในการแข่งขัน
บทสรุป: เส้นทางสู่ความมั่งคั่งที่ยั่งยืน
ปัญหาความยากจนของเกษตรกรไทยมิใช่เรื่องที่แก้ได้ด้วยมาตรการเฉพาะหน้า แต่ต้องอาศัยการปฏิรูปเชิงระบบที่ครอบคลุมสาเหตุหลักสามประการ: การกระจายอำนาจในการครองที่ดิน การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม และการสร้างสถาบันเกษตรกรที่เข้มแข็ง
จากประเทศที่ประสบความสำเร็จแสดงให้เห็นว่าการลงทุนในการวิจัยและพัฒนา การปฏิรูปที่ดินอย่างเป็นระบบ และการสร้างระบบตลาดที่โปร่งใสเป็นกุญแจสำคัญสู่ความมั่งคั่งในภาคเกษตร
ประเทศไทยมีศักยภาพในการกลายเป็นผู้นำด้านอาหารของโลก แต่จำเป็นต้องมีความกล้าหาญในการปฏิรูปเชิงโครงสร้างและการลงทุนระยะยาวเพื่อให้เกษตรกรไทยได้รับความมั่งคั่งที่สมควรจากผลงานของตน การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงจะช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อย แต่จะสร้างรากฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและยั่งยืนสำหรับประเทศโดยรวม
ข่าวรอบโลก
ธุรกิจ
เศรษฐกิจ
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย