21 พ.ค. เวลา 01:35 • ครอบครัว & เด็ก
ทรัพย์สมบัติเป็นสิ่งที่เจ้าของมรดกยกให้ด้วยความเสน่หา ไม่ใช่ค่าจ้างค่าตอบแทน ถ้าไม่ได้สั่งไว้ก็หารแบ่งไปตามที่กฎหมายกำหนด
แต่การดูแลพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ไม่มีกฎหมายบังคับ ในทางปฏิบัติจึงมีกรอบทางวัฒนธรรม (ที่เรียกว่าความกตัญญูกตเวที) มีสายตาของสังคมที่จ้องมองอยู่ มาเป็นตัวกำหนดอีกที มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตัวเอง มากำกับการกระทำ
1
ถ้าทำด้วยจิตสำนึกล้วนๆถือว่าเป็นคนมีบุญเลยนะ ที่มีโอกาส-มีศักยภาพ-มีใจที่จะตอบแทนผู้มีพระคุณ เพราะมีคนมากมายที่คิดได้คิดเป็น แต่ไม่มีโอกาส & ศักยภาพไม่อำนวย
ถึงจะทำไปเพราะเป็นภาคบังคับ โยนกันไปโยนกันมาแล้วมาหล่นปุ๊ใส่หัวเรา ก็พึงมองเสียว่า เรามีความสามารถและมีศักยภาพที่จะดูแลท่านได้ แล้วก็ปรับความคิดเสียใหม่ว่า "ได้ทำอะไร มิใช่ ทำแล้วได้อะไร"
ทรัพย์สมบัติเงินทองมรดก หาเองได้ งอกได้ หมดได้ หมดแล้วก็หาใหม่ได้ เวลาของพ่อแม่มีแต่จะนับถอยหลัง แต่สิ่งที่เราเลือกที่จะทำ(หรือไม่ทำ)เมื่อทำไปแล้ว ผ่านไปแล้ว มันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว สิ่งเหล่านั้นจะอยู่กับเราตลอดไป!!
1
ในบรรดาพี่ๆน้องๆของเรานะ มีหลายระดับฐานะ รวยฉ่ำก็มี แค่เอาตัวรอดก็มี คชจ.ในการดูแลพ่อแม่ ช่วยกันจ่ายตามกำลังความสามารถ แต่การบริหารจัดการพ่อแม่ เราเหมาคนเดียวเพราะว่างสุด 555 นี่แหละเรียกว่าวาสนา
การได้ดูแลผู้สูงอายุ เป็นเหมือนโอกาสให้เราได้เห็นความจริงอีกบทหนึ่งของชีวิต ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสแบบนี้ค่ะ จะว่าไปเหมือนได้แอบดูข้อสอบนั่นแหละ แล้วทีนี้พอตัวเองแก่มั่ง จะได้ไม่ช็อคมาก ไม่ทุลักทุเลมาก ไม่ต้องฟูมฟายกับความเสื่อมของสังขาร
โฆษณา