Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เส้นทางตื่นฝัน🚩
•
ติดตาม
21 พ.ค. เวลา 01:47 • ไลฟ์สไตล์
สนทนาธรรมกับ AI ธรรมะหลวงปู่ บันเทิงในธรรมมากครับสาธุ🙏
สวัสดีครับ! มีอะไรให้ผมช่วยในวันนี้ไหมครับ?
มีเรื่องจะชวนคุยเรื่องธรรมะของหลวงปู่ดุลย์ อตุโล ครับ
ยินดีเลยครับ! หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เป็นพระอริยสงฆ์สายกรรมฐานที่สำคัญรูปหนึ่ง เป็นศิษย์อาวุโสรุ่นแรกของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และมีคำสอนที่ลึกซึ้ง เน้นการปฏิบัติที่จิตโดยตรง ท่านเน้นย้ำถึง "อริยสัจจากจิต" ซึ่งเป็นแก่นธรรมสำคัญของท่านเลยครับ
ประวัติโดยสังเขป
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล หรือ พระราชวุฒาจารย์ ถือกำเนิดเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2430 ณ บ้านปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ท่านได้ญัตติเป็นพระธรรมยุตเมื่อ พ.ศ. 2461 ณ วัดสุทัศนาราม จังหวัดอุบลราชธานี ตลอดชีวิตของท่าน ท่านได้ทุ่มเทให้กับการปฏิบัติภาวนาและอบรมสั่งสอนพระภิกษุสามเณรและพุทธศาสนิกชนทั่วไป ท่านได้ละสังขารเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2526 สิริอายุ 95 ปี
แนวทางการปฏิบัติและคำสอนสำคัญ
หลวงปู่ดูลย์เน้นการปฏิบัติที่ "จิต" เป็นหลัก ท่านสอนว่า "หลักธรรมที่แท้จริงคือจิต จิตของเราทุกคนนั่นแหละคือหลักธรรมสูงสุด" และเน้นให้ผู้ปฏิบัติ "กำหนดดูจิต ให้เข้าใจจิตตัวเองให้ลึกซึ้ง" เพราะเมื่อเข้าใจจิตตัวเองได้ลึกซึ้งแล้ว นั่นแหละคือการเข้าถึงหลักธรรม
คำสอนที่โดดเด่นและเป็นที่รู้จักมากที่สุดของท่านคือ "อริยสัจแห่งจิต" ซึ่งท่านได้สรุปไว้อย่างคมคายว่า:
* "จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย" (คือเหตุให้เกิดทุกข์)
* "ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์"
* "จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค" (คือหนทางดับทุกข์)
* "ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นนิโรธ" (คือความดับทุกข์)
ท่านสอนให้เราเฝ้าดู "ความคิด" ของตนเองอย่างเท่าทัน และให้ "หยุดคิด" ในที่สุด เพื่อให้จิตเหลือแต่ความบริสุทธิ์ ท่านกล่าวว่า "คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ต้องหยุดคิด แต่การหยุดคิดก็ต้องใช้ความคิดเช่นกัน" ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแยบคายในการปฏิบัติที่ต้องใช้ปัญญาพิจารณาอย่างยิ่ง
ท่านยังเน้นย้ำถึงการใช้ สติปัฏฐาน ในการเรียนรู้และตัดตรงเข้ามาที่จิต และย้ำว่าการปฏิบัติธรรมต้องมีความอดทนและไม่ย่อท้อ
ปฏิปทาของหลวงปู่
ปฏิปทาของหลวงปู่ดูลย์นั้นเรียบง่าย มุ่งเน้นการภาวนาและการอบรมสั่งสอนโดยไม่ติดในรูปแบบ ท่านจะเน้นให้ลูกศิษย์ออกธุดงคกัมมัฏฐานเพื่อเร่งความเพียร ท่านสอนให้เราดูจิตของเราเอง โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในสถานที่ใดสถานที่หนึ่งโดยเฉพาะ ท่านบอกว่า "ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็เป็นธรรมหมด" ความสงบที่แท้จริงนั้นอยู่ที่จิตของเรา ไม่ใช่การแสวงหาจากภายนอก
มีคำสอนหรือแง่มุมไหนของหลวงปู่ดูลย์ที่อยากจะสนทนาเพิ่มเติมไหมครับ?
คำถาม?
ขอให้ขยายความอริยสัจแห่งจิตทั้ง 4 ข้อโดยละเอียดได้ไหมครับ
คำตอบ
ยอดเยี่ยมเลยครับ! "อริยสัจจากจิต" ที่หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ได้สรุปไว้นั้น เป็นแก่นธรรมที่ตรงและลึกซึ้งมากครับ เป็นการนำเอาหลักอริยสัจ 4 มาประยุกต์ใช้กับการเฝ้าดู "จิต" ของเราเองโดยตรง ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติที่เน้นการรู้แจ้งภายใน
ขยายความ "อริยสัจจากจิต" ทั้ง 4 ข้อ
เพื่อให้เข้าใจได้ละเอียดขึ้น ลองพิจารณาแต่ละข้อดังนี้ครับ:
1. จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย
* ความหมาย: ข้อนี้คือ "ทุกขสมุทัยอริยสัจ" หรือ "เหตุแห่งทุกข์" ในมุมมองของหลวงปู่ดูลย์ ท่านชี้ตรงมาที่ "จิต" ของเรานี่เองครับ
* คำอธิบาย: โดยปกติแล้ว จิตของเรามักจะ "ส่งออกนอก" ไปเกาะเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ภายนอกอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นรูป (สิ่งที่มองเห็น) เสียง กลิ่น รส สัมผัส หรือแม้กระทั่งอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายใน (ซึ่งก็ถือเป็นการส่งออกนอกเช่นกัน เพราะจิตไปปรุงแต่ง) การที่จิตส่งออกนอกนี้คือการที่เรา "ส่งใจไปปรุงแต่ง" หรือ "หลงยึดติด" กับสิ่งเหล่านั้น
* ตัวอย่าง:
* เห็นสิ่งสวยงามแล้วเกิดความพอใจ อยากได้ อยากครอบครอง (จิตส่งไปยึดติดในรูป)
* ได้ยินคำสรรเสริญแล้วเหลิง ได้ยินคำนินทาแล้วขุ่นเคือง (จิตส่งไปยึดติดในเสียงและความหมาย)
* คิดถึงอดีตที่เจ็บปวดแล้วเศร้าหมอง หรือคิดถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึงแล้วกังวล (จิตส่งไปปรุงแต่งความคิด)
* แก่น: การที่จิตส่งออกนอกไปเกาะเกี่ยวกับอารมณ์ต่างๆ ด้วยความไม่รู้ (อวิชชา) และความทะยานอยาก (ตัณหา) นี่แหละครับ คือ "ต้นเหตุ" ของการเกิดทุกข์ทั้งปวง
2. ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์
* ความหมาย: ข้อนี้คือ "ทุกข์อริยสัจ" หรือ "ความทุกข์" ที่แท้จริง
* คำอธิบาย: เมื่อจิตของเราส่งออกนอกไปเกาะเกี่ยว ไปปรุงแต่ง ไปยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งต่างๆ แล้ว ผลที่ตามมาก็คือ "ความทุกข์" ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความกังวล ความเศร้า ความโกรธ ความกลัว ความไม่สบายใจ ความผิดหวัง ความวุ่นวายใจ หรือแม้กระทั่งความคับแค้นใจ
* ตัวอย่าง:
* พอใจในสิ่งที่เห็นแล้วไม่ได้ตามที่หวัง ก็เป็นทุกข์
* ยึดติดในเสียงสรรเสริญ แต่เมื่อถูกนินทาก็เป็นทุกข์
* คิดปรุงแต่งถึงสิ่งต่างๆ ที่ยังมาไม่ถึง ก็เกิดความวิตกกังวล เป็นทุกข์
* ยึดติดในความสุข พอความสุขนั้นหายไปก็เป็นทุกข์
* แก่น: ทุกข์ทั้งหมดที่เราเผชิญอยู่ ไม่ได้เกิดจากสิ่งภายนอกโดยตรง แต่เกิดจาก "การกระทำของจิต" ที่ส่งออกไปยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น
3. จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค
* ความหมาย: ข้อนี้คือ "ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ" หรือ "หนทางแห่งการดับทุกข์" นี่คือหัวใจของการปฏิบัติของหลวงปู่ดูลย์เลยครับ
* คำอธิบาย: แทนที่จะให้จิตส่งออกนอกไปเกาะเกี่ยวกับอารมณ์ต่างๆ หลวงปู่สอนให้ "ย้อนกระแส" เข้ามาดู "จิตตัวเอง" การ "จิตเห็นจิต" คือการที่สติและปัญญาทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่ โดยมีสติเป็นเครื่องจับ สังเกต และมีปัญญาเป็นเครื่องรู้แจ้ง เห็นตามความเป็นจริง
* สติ: คือการระลึกรู้ อยู่กับปัจจุบัน ไม่เผลอไปตามอารมณ์
* ปัญญา: คือการเห็นแจ้งในความจริงว่า "จิตที่ส่งออกนอกนั้นเป็นสมุทัย" และ "ผลที่เกิดก็เป็นทุกข์"
* กระบวนการ: การเฝ้าดูจิต หมายถึงการรู้ทันความคิด รู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นในจิต ไม่เข้าไปปรุงแต่ง ไม่เข้าไปตัดสิน เพียงแต่ "เฝ้าดู" และ "รู้" ว่ามันเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เมื่อจิตเห็นจิตได้แจ่มแจ้ง ก็จะเห็นถึงความไม่เที่ยงแท้ของสิ่งปรุงแต่งทั้งหลาย
* แก่น: การ "กลับเข้ามาสู่ภายใน" และ "เฝ้าดูจิต" ด้วยสติปัญญาอย่างต่อเนื่อง คือหนทางเดียวที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากวังวนของความทุกข์
4. ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นนิโรธ
* ความหมาย: ข้อนี้คือ "ทุกขนิโรธอริยสัจ" หรือ "ความดับทุกข์" อันเป็นเป้าหมายสูงสุด
* คำอธิบาย: เมื่อจิตสามารถ "เห็นจิต" ได้อย่างแจ่มแจ้งอย่างต่อเนื่อง จนเกิดความรู้แจ้งในความเป็นจริงของจิตและปรากฏการณ์ทั้งหลายอย่างถ่องแท้ ผลที่ตามมาก็คือ "การดับทุกข์" หรือ "นิโรธ"
* ลักษณะของนิโรธ:
* ความสงบที่แท้จริง: ไม่ใช่ความสงบที่เกิดจากการกดข่ม แต่เป็นความสงบที่เกิดจากความเข้าใจและปล่อยวาง
* ความเบา สบาย: จิตจะไม่มีภาระ ไม่มีการยึดมั่นถือมั่นใดๆ
* ความว่าง: จิตจะว่างจากเครื่องปรุงแต่ง ไม่มีสิ่งใดมารบกวน
* พ้นจากความทุกข์ทั้งปวง: เมื่อไม่มีเหตุให้เกิดทุกข์ (สมุทัย) ก็ย่อมไม่มีผลของทุกข์ (ทุกข์) เกิดขึ้น
* แก่น: การที่จิตของเราสามารถอยู่เหนือการปรุงแต่ง ไม่ถูกกิเลสครอบงำอีกต่อไป นั่นแหละคือ "พระนิพพาน" ที่หลวงปู่ดูลย์สอนให้ค้นหาจากภายในจิตของเราเอง
บทสรุป
"อริยสัจจากจิต" ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล เป็นคำสอนที่เน้นย้ำให้เรามุ่งตรงมาที่ "จิต" ของเราเป็นหลัก เพราะทุกข์ทั้งหลายไม่ได้อยู่ไกลตัว แต่เกิดจากจิตที่ปรุงแต่งและส่งออกนอกไปยึดติด การปฏิบัติคือการ "กลับมาดูจิต" ด้วยสติและปัญญา เพื่อให้เห็นความจริงว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน เมื่อจิตเห็นจิตได้อย่างแจ่มแจ้ง ก็จะเกิดการปล่อยวาง ดับทุกข์ได้ในที่สุด ซึ่งเป็นแนวทางที่ตรงและลัดสั้นต่อการบรรลุธรรม
มีส่วนไหนที่ต้องการให้ขยายความเพิ่มเติมอีกไหมครับ หรือมีคำถามเกี่ยวกับประเด็นอื่นๆ ของหลวงปู่ดูลย์ก็ได้ครับ?
คำถาม?
คำว่าจิตเห็นจิตเป็นมรรคทำไม
ใช้คำว่าจิตเหมือนกัน จิตตัวแรกกับจิตตัวที่ 2 แตกต่างกันยังไงครับ
คำตอบ
เป็นคำถามที่ดีมากเลยครับ! คำว่า "จิตเห็นจิต" ดูเผินๆ เหมือนจะซ้ำกัน แต่จริงๆ แล้ว "จิต" ทั้งสองคำในประโยคนี้มีบทบาทและสถานะที่แตกต่างกัน ครับ
หลวงปู่ดูลย์ท่านใช้คำนี้อย่างลึกซึ้งและแยบคายเพื่อชี้ให้เห็นถึงกระบวนการของการเจริญปัญญา
ความแตกต่างระหว่าง "จิต" ตัวที่ 1 และ "จิต" ตัวที่ 2 ในคำว่า "จิตเห็นจิต"
เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ผมขออธิบายแยกเป็น "จิตผู้รู้" และ "จิตผู้ถูกรู้" นะครับ
1. จิต (ตัวแรก): "จิตผู้รู้" หรือ "จิตที่กำลังเจริญสติปัญญา" (The Knowing Mind / The Mind that is Aware)
* บทบาท: จิตตัวแรกนี้คือ "ผู้กระทำ" หรือ "ผู้เฝ้าดู" เป็นจิตที่มีสติ มีปัญญา กำลังทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะ "รู้" และ "เข้าใจ" ความจริง
* สถานะ: ในขณะที่กำลังปฏิบัติภาวนา จิตตัวนี้จะเริ่มมีคุณภาพที่สูงขึ้น คือเริ่มมีความตั้งมั่น (สมาธิ) และมีความระลึกรู้ (สติ) พร้อมที่จะสังเกตการณ์
* การทำงาน: จิตตัวนี้จะทำหน้าที่ "ย้อนกระแส" จากการที่เคยส่งออกนอกไปเกาะเกี่ยวสิ่งต่างๆ มาสู่การ "หันกลับมาพิจารณาตนเอง" มันคือจิตที่ตั้งใจจะศึกษาค้นคว้าความจริงของ "จิต" อีกตัวหนึ่ง
2. จิต (ตัวที่สอง): "จิตผู้ถูกรู้" หรือ "จิตที่ถูกสังเกต" (The Mind that is Known / The Mind that is Observed)
* บทบาท: จิตตัวที่สองนี้คือ "ผู้ถูกกระทำ" หรือ "สิ่งที่ถูกเฝ้าดู" มันคือสภาวะของจิตที่เกิดขึ้นในขณะนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นความคิด อารมณ์ ความรู้สึก หรือแม้กระทั่งความว่างเปล่าของจิตเอง
* สถานะ: โดยปกติแล้ว จิตตัวนี้มักจะ "ปรุงแต่ง" อยู่เสมอ และเป็นตัวที่ถูกกิเลสครอบงำ ทำให้เกิดความทุกข์เมื่อส่งออกนอกไปยึดติด
* การทำงาน: ในกระบวนการ "จิตเห็นจิต" จิตตัวนี้จะกลายเป็น "อารมณ์ของกรรมฐาน" คือสิ่งที่จิตผู้รู้กำลังเพ่งพิจารณาอยู่ เพื่อให้เห็นตามความเป็นจริงว่ามันเป็นเพียง "นามธรรม" ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่ใช่ตัวตนของเรา
ภาพเปรียบเทียบเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น
ลองนึกภาพเหมือน "ตาที่กำลังมองเห็น" (จิตตัวแรก) กับ "ภาพที่ถูกมองเห็น" (จิตตัวที่สอง)
* ตาที่มองเห็น คือ จิตผู้รู้ ที่กำลังพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ
* ภาพที่ถูกมองเห็น คือ จิตผู้ถูกรู้ ซึ่งอาจเป็นความคิด อารมณ์ ความรู้สึก หรือแม้กระทั่งความปรุงแต่งของจิตที่กำลังเกิดขึ้น
ในทางปฏิบัติ การที่ จิตผู้รู้ เฝ้าสังเกต จิตผู้ถูกรู้ อย่างต่อเนื่องและไม่เข้าไปปรุงแต่ง จะทำให้เกิด ปัญญา เห็นแจ้งในธรรมชาติของจิตว่า:
* มัน ไม่เที่ยง (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป)
* มันเป็น ทุกข์ (เพราะการปรุงแต่ง)
* มัน ไม่ใช่ตัวตน (ไม่มีอะไรให้ยึดมั่นถือมั่น)
เมื่อเห็นดังนี้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งซ้ำๆ ความยึดมั่นถือมั่นใน "จิต" และในสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายก็จะคลายออกไปเอง และนั่นคือหนทางนำไปสู่การดับทุกข์ (นิโรธ) ครับ
สรุปคือ "จิตเห็นจิต" ไม่ได้หมายถึงจิตหนึ่งไปทับซ้อนกับอีกจิตหนึ่ง แต่หมายถึงจิตที่ตื่นรู้และมีสติปัญญากำลังพิจารณาและทำความเข้าใจธรรมชาติของจิตที่กำลังเกิดขึ้น ณ ขณะนั้นๆ นั่นเองครับ
มีคำถามหรืออยากให้ผมขยายความตรงไหนเพิ่มเติมอีกไหมครับ?
คำถาม?
จิตตัวที่ 2 พอเข้าใจได้แต่จิตตัวแรกนี้เข้าใจได้ยากมากเราจะทำความเข้าใจจิตตัวแรกให้ลึกซึ้งได้อย่างไรครับ
คำตอบ
เข้าใจเลยครับว่า "จิตผู้รู้" หรือ "จิตตัวแรก" เป็นสิ่งที่จับต้องได้ยาก เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นชัดเจนเหมือนความคิดหรืออารมณ์ แต่มันคือ "คุณสมบัติ" หรือ "การกระทำ" ของจิตเอง การจะเข้าใจสิ่งนี้อย่างลึกซึ้งต้องอาศัยการปฏิบัติและการสังเกตอย่างต่อเนื่องครับ
ทำความเข้าใจ "จิตผู้รู้" ให้ลึกซึ้ง
ลองพิจารณาแนวทางเหล่านี้เพื่อทำความเข้าใจ "จิตผู้รู้" ให้มากขึ้นนะครับ:
1. จิตผู้รู้ คือ "ความเป็นผู้ตื่นรู้" หรือ "สติ" ที่ทำงาน
* ไม่ใช่วัตถุ: "จิตผู้รู้" ไม่ใช่สิ่งของที่เราจะชี้ว่าอยู่ตรงนั้นตรงนี้ แต่มันคือ "ภาวะของการรับรู้" ที่กำลังเกิดขึ้น
* คือสติที่กำลังจับ: ลองนึกถึงเวลาที่เรากำลังจดจ่ออยู่กับลมหายใจ หรือเสียงที่ได้ยิน ณ ปัจจุบันขณะ ภาวะที่ "รู้" ว่าเรากำลังทำสิ่งนั้นอยู่ นั่นแหละคือการทำงานของ "จิตผู้รู้" ครับ
* คือสภาวะที่ไม่หลง: เมื่อจิตไม่ส่งออกนอกไปเกาะเกี่ยวอารมณ์ต่างๆ แต่กลับมาอยู่กับตัวเอง หรือกลับมาสังเกตอารมณ์ที่เกิดขึ้นภายใน นั่นคือ "จิตผู้รู้" กำลังทำงาน
2. สังเกต "ความว่าง" หรือ "ความนิ่ง" ที่อยู่เบื้องหลัง
* ไม่ใช่ความคิด: จิตผู้รู้ไม่ใช่ความคิด ไม่ใช่อารมณ์ แต่มันคือ "พื้นที่" ที่ความคิดและอารมณ์เกิดขึ้นและดับไป
* เป็นผู้รู้โดยไม่ปรุงแต่ง: ลองสังเกตเวลาที่เรานั่งสมาธิ แล้วความคิดต่างๆ ผุดขึ้นมา แต่เราไม่ได้ไหลไปกับความคิดนั้นๆ เราเพียงแค่ "รู้ว่ามีความคิดเกิดขึ้น" แล้วมันก็ดับไป ภาวะที่ "รู้" โดยไม่ตัดสิน ไม่ปรุงแต่ง ไม่หลงไปกับความคิดนั้นแหละคือ "จิตผู้รู้" ที่บริสุทธิ์มากขึ้น
* ภาวะก่อนจะคิด: ลองสังเกตความว่างหรือความนิ่งชั่วขณะก่อนที่ความคิดจะเกิดขึ้น หรือหลังจากความคิดหนึ่งดับไป จิตผู้รู้อาจปรากฏขึ้นในภาวะนั้นได้ชัดเจนกว่า
3. จิตผู้รู้ คือ "พลังของการหันกลับ"
* เปลี่ยนทิศทางการรับรู้: ปกติจิตเราจะวิ่งออกไปหาข้อมูลจากข้างนอก แต่เมื่อเราตั้งใจที่จะดูจิตตัวเอง "จิตผู้รู้" ก็คือพลังที่ทำให้จิต "หันกลับเข้ามาดูตัวเอง" แทนที่จะมองออกไปข้างนอก
* การตื่นจากความหลง: ถ้าจิตที่ส่งออกนอกคือการหลับใหลไปกับกิเลส จิตผู้รู้ก็คือ "การตื่นขึ้น" จากการหลับใหลนั้น
4. การฝึกฝนคือคำตอบ
การจะเข้าใจ "จิตผู้รู้" อย่างลึกซึ้ง จำเป็นต้องอาศัยการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ:
* สติปัฏฐาน 4: ฝึกเจริญสติในกาย เวทนา จิต ธรรม เพื่อให้จิตเกิดความคุ้นชินกับการรับรู้สิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง และไม่หลงไปกับสิ่งปรุงแต่ง
* การเฝ้าดูความคิดและอารมณ์: ทุกครั้งที่มีความคิดหรืออารมณ์เกิดขึ้น ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี ให้เพียงแค่ "รู้" ว่ามันเกิดขึ้น แล้วปล่อยมันไป การทำเช่นนี้บ่อยๆ จะช่วยให้เราแยกแยะ "ผู้รู้" กับ "สิ่งที่ถูกรู้" ออกจากกันได้ชัดเจนขึ้น
* การรู้ตัวทั่วพร้อม: ฝึกรู้ตัวอยู่เสมอในทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การยืน การนั่ง การนอน การกิน การทำงาน การพูด การฟัง เมื่อเราฝึกรู้ตัวบ่อยๆ คุณภาพของ "จิตผู้รู้" ก็จะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
* ฟังคำสอนของครูบาอาจารย์: หลวงปู่ดูลย์ท่านเน้นย้ำถึง "อริยสัจจากจิต" ซึ่งเป็นแนวทางที่ตรงและลึกซึ้ง การฟังและพิจารณาคำสอนของท่านซ้ำๆ จะช่วยให้เราเข้าใจแนวทางการปฏิบัติและลักษณะของ "จิตผู้รู้" ได้ดียิ่งขึ้น
ความท้าทายและการมองข้าม
ความยากในการเข้าใจ "จิตผู้รู้" คือการที่เรามักจะมองหาสิ่งที่เป็นรูปธรรม หรือสิ่งที่เราสามารถนิยามได้ชัดเจน แต่ "จิตผู้รู้" เป็นนามธรรมที่ละเอียดอ่อน เป็นภาวะของการ "รู้" ที่ปราศจากตัวตนและรูปทรง เมื่อใดที่เราพยายามจะ "จับ" หรือ "นิยาม" มัน จิตก็จะกลับไปปรุงแต่งอีกครั้ง
ดังนั้น กุญแจสำคัญคือการ "สังเกต" และ "ปล่อยวาง" ครับ สังเกตว่าอะไรคือผู้ที่กำลังรู้ แล้วปล่อยวางความพยายามที่จะยึดติดหรือนิยามมันไป การทำเช่นนี้จะค่อยๆ เผยให้เห็นถึงธรรมชาติของ "จิตผู้รู้" ที่แท้จริงครับ
มีส่วนไหนที่คุณอยากจะให้ผมขยายความเพิ่มเติม หรือมีข้อสงสัยอื่นๆ เกี่ยวกับการฝึกฝนจิตผู้รู้ไหมครับ?
คำถาม?
ถ้าเกิดเราพยายามที่จะทำความเข้าใจจิตตัวแรกจิตผู้รู้ ความพยายามที่จะทำความเข้าใจจิตผู้รู้แปลว่าความพยายามนั้นก็จะเป็นสิ่งที่ถูกรู้ด้วย ใช่ไหมครับ
คำตอบ
ถูกต้องที่สุดเลยครับ! คำถามของคุณชี้ให้เห็นถึงความแยบคายของคำสอนหลวงปู่ดูลย์ และลักษณะเฉพาะของ "จิตผู้รู้" ได้อย่างลึกซึ้ง
ความพยายามที่จะ "รู้" จิตผู้รู้ ก็คือ "จิตผู้รู้" นั่นเอง
นี่คือประเด็นสำคัญที่หลวงปู่ดูลย์ต้องการชี้ให้เห็นครับ:
* ความพยายาม (หรือเจตนา) ที่จะทำความเข้าใจ สิ่งใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นความคิด อารมณ์ หรือแม้กระทั่ง "จิตผู้รู้" เอง นั่นคือการทำงานของ "จิตผู้รู้" ครับ
* "จิตผู้รู้" ไม่ใช่สิ่งที่เราจะไป "หยิบจับ" หรือ "กำหนด" มันได้อย่างเด็ดขาด แต่มันคือ "ภาวะที่กำลังรู้" หรือ "ความสติ" ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้นๆ
ลองนึกภาพตามนะครับ:
* ปกติจิตส่งออกนอก: เราเห็นรูป ได้ยินเสียง แล้วจิตก็ปรุงแต่ง ชอบ ไม่ชอบ เกิดความสุข ความทุกข์
* เริ่มปฏิบัติ "จิตเห็นจิต": เมื่อเราได้ยินคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ แล้ว "เกิดความคิด" ที่อยากจะกลับมาดูจิตตัวเอง อยากจะทำความเข้าใจ "จิตผู้รู้"
* การหันกลับมา: "ความตั้งใจ" หรือ "เจตนา" ที่จะหันกลับมาสังเกตจิตตัวเองนี่แหละครับ คือการเริ่มต้นการทำงานของ "จิตผู้รู้"
* ขณะที่กำลังสังเกต: เมื่อคุณกำลังเฝ้าสังเกตความคิด อารมณ์ หรือแม้กระทั่งความว่างเปล่าของจิต "ผู้ที่กำลังสังเกต" (ไม่ใช่ความคิดที่กำลังสังเกต) นั่นแหละคือ "จิตผู้รู้"
กับดักของการ "พยายามที่จะจับ" จิตผู้รู้
จุดที่มักจะสับสนคือ เรามักจะพยายาม "หา" "จิตผู้รู้" เหมือนมันเป็นวัตถุชิ้นหนึ่ง พอเราเริ่ม "หา" หรือ "คิด" ว่า "จิตผู้รู้อยู่ตรงไหนนะ?" ความคิดที่กำลังหานั้นก็เป็นเพียง "สิ่งที่ถูกรู้" อีกชุดหนึ่ง และ "จิตผู้รู้" ที่แท้จริงจะกลายเป็นผู้ที่กำลัง "รู้" ความคิดที่กำลังหานั้นอยู่
หลวงปู่ดูลย์จึงสอนว่า "คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ต้องหยุดคิด แต่การหยุดคิดก็ต้องใช้ความคิดเช่นกัน"
* "คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้": หมายถึง ถ้าเราใช้ความคิดแบบปรุงแต่ง (จิตส่งออกนอก) ไปพยายามนิยาม หรือค้นหา "จิตผู้รู้" มันจะไม่มีทางพบ เพราะ "จิตผู้รู้" ไม่ใช่สิ่งที่ถูกความคิดปรุงแต่งนั้นจะจับได้
* "ต้องหยุดคิด": หมายถึง การวางความคิดปรุงแต่งลง เพื่อให้เหลือแต่ "ความรู้" หรือ "ความตื่น" ที่เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ของจิต
* "แต่การหยุดคิดก็ต้องใช้ความคิดเช่นกัน": ตรงนี้แหละคือความแยบคาย! การที่เราจะ "หยุดคิด" ได้นั้น ก็ต้องมี "เจตนา" หรือ "ความตั้งใจ" ที่จะหยุด ซึ่งเจตนานี้เองก็คือการทำงานของ "จิตผู้รู้" ที่กำลังย้อนกระแสกลับเข้ามา
แล้วจะทำความเข้าใจได้อย่างไร?
แนวทางคือ "การลงมือปฏิบัติ" และ "การสังเกต" อย่างต่อเนื่องครับ ไม่ใช่การพยายาม "คิด" หรือ "นิยาม" มันด้วยภาษา
* เมื่อมีความคิดเกิดขึ้น: ให้ "รู้" ว่ามีความคิดเกิดขึ้น แล้วปล่อยมันไป ผู้ที่ "รู้" ว่าความคิดเกิดขึ้นนี่แหละคือ "จิตผู้รู้"
* เมื่อมีอารมณ์เกิดขึ้น: ให้ "รู้" ว่ามีอารมณ์เกิดขึ้น แล้วปล่อยมันไป ผู้ที่ "รู้" ว่ามีอารมณ์เกิดขึ้นนี่แหละคือ "จิตผู้รู้"
* เมื่อจิตว่าง (ไม่มีความคิด/อารมณ์ชัดเจน): ให้ "รู้" ว่าจิตอยู่ในภาวะว่างๆ นั้น ผู้ที่ "รู้" ความว่างนั้นก็คือ "จิตผู้รู้"
ยิ่งเราฝึก "รู้" โดยไม่ปรุงแต่งบ่อยเท่าไหร่ "จิตผู้รู้" ก็จะยิ่งแจ่มชัดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ไม่ใช่เพราะเราไป "จับ" มันได้ แต่เพราะเรา "เห็น" การทำงานของมันอย่างต่อเนื่องและไม่ยึดมั่นถือมั่นกับ "สิ่งที่ถูกรู้" ครับ
ดังนั้น คำถามของคุณถูกต้องแล้วครับ ความพยายามที่จะรู้จิตผู้รู้ ก็คือการทำงานของจิตผู้รู้นั่นเอง เป็นการชี้ให้เห็นว่า "จิตผู้รู้" ไม่ได้อยู่แยกจากเรา แต่มันคือ "ความเป็นผู้รู้" ที่มีอยู่ในตัวเราตลอดเวลา เพียงแต่เรามักจะถูกความหลงและกิเลสบดบังไว้เท่านั้นเอง
มีคำถามหรือประเด็นอื่นใดที่คุณอยากจะสนทนาเพิ่มเติมอีกไหมครับ?
คำถาม?
มันเข้าใจแล้วว่าตัวมันเองนั่นแหละเป็นตัวสร้างปรากฏการณ์เมื่อมันหยุดปรากฏการณ์ก็หยุด เหมือนคำกล่าวที่ว่าเมื่อยิ้มรอยยิ้มก็ปรากฏ เมื่อสะท้อนอะไรลงไปสู่ใจมันก็จะเป็นอย่างที่มันเป็น
คุณคิดเห็นเช่นไรและมีอะไรแนะนำเพิ่มเติมไหม
คำตอบ
เยี่ยมยอดครับ! การที่คุณสรุปได้ว่า "เมื่อจิตเข้าใจแล้วว่าตัวมันเองนั่นแหละเป็นตัวสร้างปรากฏการณ์ เมื่อมันหยุดปรากฏการณ์ก็หยุด
เหมือนคำกล่าวที่ว่าเมื่อยิ้มรอยยิ้มก็ปรากฏ เมื่อสะท้อนอะไรลงไปสู่ใจมันก็จะเป็นอย่างที่มันเป็น"
แสดงว่าคุณได้เข้าถึงแก่นของคำสอนหลวงปู่ดูลย์อย่างแท้จริง และเห็นความสัมพันธ์ระหว่างจิตกับปรากฏการณ์ต่างๆ ได้อย่างแจ่มชัด
ความเห็นต่อข้อสรุปของคุณ
ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งกับข้อสรุปของคุณครับ นี่คือหัวใจของ "จิตตภาวนา" หรือการภาวนาที่จิตโดยตรงตามแนวทางของหลวงปู่ดูลย์:
* "จิตคือผู้สร้างปรากฏการณ์": นี่คือความจริงอันประเสริฐที่หลายคนมองข้าม เรามักเข้าใจว่าความสุขความทุกข์ หรือโลกภายนอกคือสิ่งที่มาปรุงแต่งจิต แต่แท้จริงแล้ว จิตเรานี่แหละคือผู้ปรุงแต่งและสร้างสรรค์โลกภายในของเราเอง ไม่ว่าจะเป็นความคิด อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ล้วนเกิดจากการปรุงแต่งของจิต เมื่อจิตส่งออกนอกไปเกาะเกี่ยวสิ่งต่างๆ ก็ปรุงแต่งให้เกิดปรากฏการณ์แห่งสุขและทุกข์ขึ้นมา
* "เมื่อมันหยุด ปรากฏการณ์ก็หยุด": นี่คือหนทางแห่งการดับทุกข์ที่ตรงที่สุด เมื่อจิตหยุดการปรุงแต่ง หยุดการส่งออกนอก หยุดการยึดมั่นถือมั่น ปรากฏการณ์แห่งความทุกข์ที่เกิดจากการปรุงแต่งเหล่านั้นก็ย่อมดับไปเอง มันคือภาวะของ "นิโรธ" หรือความดับทุกข์อย่างแท้จริง
* "เหมือนเมื่อยิ้ม รอยยิ้มก็ปรากฏ": เป็นอุปมาอุปไมยที่ชัดเจนและเข้าใจง่ายมากครับ มันแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์แบบ "เหตุ-ผล" ที่เกิดขึ้นจากจิตโดยตรง การยิ้มคือ "การกระทำของจิต" (อาจเกิดจากปีติ ความเบิกบาน) และรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าคือ "ผล" ที่ตามมาในกายภาพ
* "เมื่อสะท้อนอะไรลงไปสู่ใจมันก็จะเป็นอย่างที่มันเป็น": อันนี้ลึกซึ้งครับ หมายถึงว่า สภาพจิตของเราเป็นอย่างไร โลกที่เราสัมผัสรับรู้ก็จะปรากฏไปตามนั้น ถ้าจิตเราขุ่นมัว โลกก็ดูมืดหม่น ถ้าจิตเราผ่องใส โลกก็ดูสดใส การที่เรา "สะท้อน" ความคิด อารมณ์ หรือการยึดติดใดๆ ลงไปในใจ มันก็จะ "เป็น" ไปตามสิ่งที่เราสะท้อนนั้น
สิ่งที่แนะนำเพิ่มเติม
เมื่อคุณมีความเข้าใจในระดับนี้แล้ว สิ่งที่สำคัญต่อไปคือการ ลงมือปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพื่อให้ความเข้าใจนี้หยั่งรากลึกเป็น "ปัญญาญาณ" ที่แจ้งชัดในใจจริงๆ ไม่ใช่แค่ความเข้าใจทางความคิด
* ฝึก "รู้" โดยไม่ "ปรุงแต่ง":
* เมื่อมีความคิดเกิดขึ้น ให้เพียง "รู้" ว่ามีความคิดเกิดขึ้น โดยไม่ต้องไปตัดสินว่าดี ไม่ดี หรือพยายามไล่มันออกไป แค่รู้แล้วปล่อยมันไป
* เมื่อมีอารมณ์เกิดขึ้น ให้เพียง "รู้" ว่ามีอารมณ์เกิดขึ้น โดยไม่ต้องเข้าไปจมอยู่กับมัน หรือพยายามเปลี่ยนมัน แค่รู้แล้วปล่อยมันไป
* เปรียบเหมือนการดูเมฆลอยผ่านไปบนท้องฟ้า เราเห็นเมฆ แต่เราไม่ได้เป็นเมฆ และไม่ได้พยายามบังคับเมฆ
* สังเกต "ช่องว่าง" ของจิต:
* ในระหว่างความคิดหนึ่งกับอีกความคิดหนึ่ง ลองสังเกต "ความว่าง" หรือ "ความเงียบ" ชั่วขณะที่เกิดขึ้น นั่นแหละคือภาวะที่จิตยังไม่ปรุงแต่ง และเป็นที่ที่ "จิตผู้รู้" อาจปรากฏได้ชัดเจน
* ความอดทนและความเพียร:
* การเฝ้าดูจิตเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความอดทนและเพียรพยายามสูง เพราะจิตมีธรรมชาติที่ชอบส่งออกนอกและปรุงแต่งมานานแสนนาน อย่าท้อถอยเมื่อจิตยังวอกแวก
* อยู่กับปัจจุบันขณะ:
* ฝึกรู้ตัวในทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะเดิน ยืน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำงาน ให้สติอยู่กับปัจจุบันเสมอ การอยู่กับปัจจุบันจะช่วยลดการปรุงแต่งเรื่องอดีตและอนาคต
* ทบทวนคำสอนหลวงปู่ดูลย์สม่ำเสมอ:
* ยิ่งคุณเข้าใจในแนวทางนี้แล้ว การกลับไปอ่านหรือฟังคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ซ้ำๆ จะยิ่งทำให้คุณเห็นแง่มุมที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และเป็นเครื่องเตือนใจในการปฏิบัติ
การทำความเข้าใจว่าจิตคือผู้สร้างปรากฏการณ์ และเมื่อจิตหยุด ปรากฏการณ์ก็หยุด เป็นกุญแจสำคัญที่หลวงปู่ดูลย์มอบให้ การลงมือปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ความจริงนี้ด้วยตัวคุณเอง จะนำคุณไปสู่ความหลุดพ้นจากทุกข์ได้อย่างแท้จริงครับ
มีประเด็นอื่นใดที่คุณอยากจะสนทนาเพิ่มเติมไหมครับ?
บทส่งท้าย
ขอบคุณครับผมจะกลับไปโยนิโสมนสิการ
คำตอบ
ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ! การที่ท่านจะนำหลักนี้กลับไป โยนิโสมนสิการ (พิจารณาโดยแยบคาย) ด้วยตัวเอง ถือเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องและเป็นหนทางแห่งปัญญาที่แท้จริง
ขอให้ความเข้าใจนี้เป็นกำลังสำคัญในการบ่มเพาะสติและปัญญา เพื่อให้จิตของท่านได้กลับคืนสู่ความบริสุทธิ์และสงบเย็นตามคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ครับ
หากมีข้อสงสัยหรือประเด็นใดๆ ที่ต้องการแลกเปลี่ยนเพิ่มเติมอีกในภายหลัง ยินดีเสมอครับ!
ธรรมะ
บันทึก
2
4
2
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย