22 พ.ค. เวลา 04:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

รัฐโยกงบ 1.5 แสนล้าน กูรูชี้ดัน GDP โต 0.8% หุ้นก่อสร้าง-ค้าปลีก รับอานิสงส์

บล.เอเซีย พลัส ส่องเงินลงทุนรัฐฯ 1.57 แสนล้าน ดัน GDP ขยายตัวได้เพิ่ม 0.8% มองหุ้นก่อสร้าง-ค้าปลีก รับอานิสงส์ทางอ้อม พร้อมเสนอเร่งออก Soft Loan ช่วยผู้ส่งออก
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า จากกรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท มาลงทุนในโครงการอื่นๆ ทั้ง 1.โครงสร้างพื้นฐาน 2.การท่องเที่ยว 3. ลดผลกระทบภาคการส่งออก/เพิ่มผลิตภาพ และ 4. เศรษฐกิจชุมชนและอื่นๆ
มองว่าการนำเอาเม็ดเงินลงทุนใส่ในโครงการที่น่าจะเอื้อประโยชน์ให้กับประชาชน และสนับสนุนเศรษฐกิจไทยได้ในระยะกลางและยาว ย่อมเป็นเรื่องดีที่กว่าในช่วงที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจทั้งในประเทศและโดยเฉพาะในต่างประเทศที่ยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่มาก
โดยเบื้องต้นจากการคาดการณ์เม็ดเงินลงทุนขนาด 1.57 แสนล้านบาทดังกล่าว จะส่งประสิทธิผลต่อตัวเลขเศรษฐกิจไทยได้เพิ่มราว 0.8% ของ GDP โดยรวม แต่อย่างไรก็ดี ด้วยโครงการลงทุนทั้ง 4 ด้านยังไม่มีความชัดเจนว่าในแต่ละด้านจะให้เงินลงทุนประมาณเท่าไหร่ จึงอาจจะมองได้ยากว่าจะขับเคลื่อน GDP ได้มากกว่านี้หรือไม่
สำหรับหุ้นกลุ่มได้จะได้รับอานิสงส์จากแผนการลงทุนทั้ง 4 โครงการดังกล่าวนั้น ด้วยโจทย์ในการแก้ไขปัญหาจุดตัดระหว่างทางรถไฟและถนนเสมอระดับ รวมถึงการปรับปรุง/พัฒนาถนนเชื่อมโยงเมืองรอง มองว่ากลุ่มรับเหมาก่อสร้างจะได้รับอานิสงส์จากการลงทุนดังกล่าว ขณะที่การกระตุ้นการท่องเที่ยวมองว่ากลุ่มค้าปลีกได้อานิสงส์ทางอ้อม
อย่างไรก็ดี มองว่าโครงการลงทุนที่ 3 ลดผลกระทบภาคการส่งออก/เพิ่มผลิตภาพ ด้านการลดผลกระทบแรงงาน สนับสนุนมาตรการการเงินการคลังสนับสนุนสินเชื่อ (เฉพาะผู้ประกอบการส่งออก) เพื่อส่งเสริมการจ้างงานให้กับกองทุนประกันสังคมด้านดิจิทัล พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล เพื่อสนับสนุนการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลและการค้าระหว่างประเทศ
จุดที่ทางฝ่ายเห็นด้วยว่าต้องเร่งด่วนที่สุดที่ภาครัฐควรให้ความเชื่อเหลือ คือ มาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจ (สินเชื่อฟื้นฟู) ที่ให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ เป็นกลุ่มที่ควรได้รับความช่วยเหลือมากที่สุด
ในขณะเดียวกัน หากมองไปภายภาคหน้า รัฐบาลควรเร่งขับเคลื่อนภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อดึงให้เกิดการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center) ก็ควรมีการลงทุนเตรียมความพร้อมในด้านพลังงานให้เพียงพอ เพราะดาต้าเซ็นเตอร์ใช้ไฟจำนวนมาก เป็นต้น
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator) กล่าวว่า กรณีการชะลอโครงการการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ออกไปก่อนของภาครัฐ โดยจะดึงเอาเงินส่วนดังกล่าวไปลงทุนในโครงการอื่นๆ กระจายเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ ภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องที่ดี
เชื่อว่าเม็ดเงินจากการลงทุนดังกล่าวจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะกลางและยาวได้ ซึ่งดีกว่าเมื่อเทียบกับการเงินลงทุนไปใช้กับโครงการการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ซึ่งจะมีผลเชิงบวกต่อกำลังซื้อของประชาชนในประเทศแค่เพียงระยะสั้นๆ เท่านั้น อีกทั้งมองว่ากำลังซื้อดังกล่าวยังไม่เพียงพอต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนเช่นนี้ได้
แต่แน่นอนว่าเมื่อโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เฟส 3 และ 4 ถูกชะลอไปก่อน ก็อาจส่งผลเชิงลบต่อจิตวิทยาการลงทุนโดยเฉพาะกลุ่มหุ้นค้าปลีก ที่คาดกว่าจะได้รับอานิสงส์จากการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน แต่อย่างไรก็ดี ด้วยการที่การแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตถูกแบ่งออกเป็นหลายเฟส ทำให้ความคาดหวังของตลาดก็ลดลงไป
โฆษณา