22 พ.ค. เวลา 07:08 • หุ้น & เศรษฐกิจ

เมื่อมหาอำนาจขัดแย้ง เปิดโอกาสลงทุนผ่าน DR ในยุคสงครามการค้า

Highlights
📍ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงดำเนินต่อไป ส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกมองหาการกระจายความเสี่ยงและโอกาสใหม่นอกสหรัฐฯ โดยจีนกลายเป็นจุดหมายที่น่าสนใจ
📍จีนมุ่งเน้นการบริโภคภายในประเทศควบคู่กับการเชื่อมโยงตลาดโลก ทำให้ลดผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และยังมีตลาดผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงจำนวนมาก
📍จีนมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI, EV และพลังงานสะอาด และหุ้นจีนยังมีราคาที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับศักยภาพการเติบโตในระยะยาว
📍การกระจายความเสี่ยงสู่จีนเป็นทางเลือกใหม่ของนักลงทุนท่ามกลางความไม่แน่นอนในตลาดสหรัฐฯ การพิจารณาลงทุนในตลาดจีน โดยเฉพาะผ่านเครื่องมืออย่าง DR บนตลาดหลักทรัพย์ไทย ถือเป็นโอกาสกระจายความเสี่ยงที่น่าสนใจ
สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกายังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงในเร็ววัน ถึงแม้ว่าจะมีการเจรจาต่อรองด้านภาษีรอบแรกไปแล้ว แต่สงครามการค้าระหว่างสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจยังคงเป็นไปอย่างเข้มข้น ส่งผลให้ฉากทัศน์การลงทุนทั่วโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญและอาจไม่หวนคืน
โอกาสในจีน การปรับตัวท่ามกลางความขัดแย้งสหรัฐฯ-จีน
ความขัดแย้งที่เริ่มต้นในสมัยประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาโดนัลด์ ทรัมป์สมัยแรกและยังคงดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกันเท่านั้น แต่ยังขยายวงไปสู่การแข่งขันทางเทคโนโลยีและการแย่งชิงความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยเฉพาะในด้าน AI, Semiconductor และ Renewable Energy ส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกเริ่มมองหาโอกาสในการกระจายการลงทุนออกจากสหรัฐอเมริกาไปยังประเทศอื่น ๆ มากขึ้น และหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจกลับกลายเป็นจีน
แม้จะเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงกับสหรัฐอเมริกา แต่จีนได้มีการเตรียมรับมือกับสงครามการค้ามาอย่างต่อเนื่อง ผ่านนโยบาย Dual Circulation ที่มุ่งเน้นการพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก ควบคู่ไปกับการเชื่อมโยงกับตลาดโลก ซึ่งช่วยลดผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐอเมริกาได้ในระดับหนึ่ง
อีกทั้ง จีนยังมีตลาดภายในประเทศที่ใหญ่โตมหาศาล ด้วยจำนวนประชากรกว่า 1.4 พันล้านคน และชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อสูงถึง 400 ล้านคน ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 550 ล้านคนภายในปี 2573 นอกจากนี้ หุ้นจีนยังมีราคาที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับศักยภาพ และที่สำคัญมีความแข็งแกร่งทางเทคโนโลยีที่ไม่ธรรมดา แม้แต่ Jensen Huang ซีอีโอของ NVIDIA ยังเคยกล่าวในการให้สัมภาษณ์ว่าเทคโนโลยี AI ของจีนไม่ได้ตามหลังสหรัฐอเมริกาอีกต่อไป โดยบริษัทอย่าง Baidu, SenseTime และ ByteDance ต่างก็มีความก้าวหน้าในการพัฒนา AI ที่น่าประทับใจ
เปรียบเทียบตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาและจีน
เมื่อมองไปที่โอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาเทียบกับจีนในปัจจุบัน พบว่าตลาดทั้งสองมีจุดเด่นและข้อควรพิจารณาที่แตกต่างกัน ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกายังคงมีความแข็งแกร่งในฐานะตลาดที่มีมูลค่าสูงสุดของโลก มีทางเลือกในการลงทุนที่หลากหลาย มีสภาพคล่องสูง และมีกฎระเบียบที่โปร่งใส ซึ่งสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนทั่วโลก
อีกทั้ง ยังคงเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเทคโนโลยี โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม AI, Cloud Computing และ Cybersecurity ซึ่งมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด แม้การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาในปี 2568 จะชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญจากนโยบายภาษีของทรัมป์ก็ตาม
เจาะลึกตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา
ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะกลุ่ม Magnificent 7 (Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, Meta, Tesla และ NVIDIA) ได้ปรับตัวขึ้นสูงมากอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้มูลค่าหุ้นในปัจจุบันอาจสะท้อนศักยภาพการเติบโตไปมากแล้ว ทำให้โอกาสในอนาคตแม้จะโตได้แต่ก็อาจไม่แรงเท่ากับช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยปัจจุบันบริษัทเหล่านี้มีมูลค่าตลาดรวมกันมากกว่า 1 ใน 4 ของมูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา
ซึ่งเป็นการกระจุกตัวที่สูงมาก และมีโอกาสที่ในอนาคตการกระจุกตัวนี้จะลดลง อีกทั้ง ยังมีความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อและทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา(เฟด) ที่อาจส่งผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าหุ้นเติบโต ซึ่งมีมูลค่าสูงในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา
เจาะลึกตลาดหุ้นจีน
ตลาดหุ้นจีนกลับมีลักษณะที่น่าสนใจในอีกแง่มุมหนึ่ง กล่าวคือ หลังจากที่หุ้นจีนเผชิญกับการปรับตัวลดลงอย่างหนักในช่วง 3 - 4 ปีที่ผ่านมา จากแรงกดดันด้านการจัดระเบียบภาคเอกชนของรัฐบาลจีน และเริ่มฟื้นได้อย่างมีนัยสำคัญในปี 2568 หลังประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ส่งสัญญาณชัดในการหันกลับมาสนับสนุนภาคเอกชนอย่างเต็มที่
โดยจีนมีจุดเด่นจากการเติบโตของชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อสูง การพัฒนาเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าโดยเฉพาะด้าน AI, EV และ Renewable Energy และเป็นผู้นำตลาดยานยนต์ไฟฟ้าโลกทั้งในแง่การผลิตและยอดขาย โดยมีส่วนแบ่งตลาดโลกมากกว่า 60% รวมทั้งนโยบายการพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยี ที่ผลักดันให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายอย่างมาก
นอกจากนี้ จีนได้ประกาศแผนการลงทุนกว่า 40 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 5.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งรวมถึงเซมิคอนดักเตอร์ AI และพลังงานสะอาด ภายในปี 2573 ประกอบกับนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางจีน (PBoC) ในปัจจุบันที่แตกต่างจากประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ โดยล่าสุด PBoC ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย รวมถึงลดอัตราเงินกันสำรอง (RRR) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เมื่อเทียบสัดส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk to Reward) แล้ว หุ้นจีนอาจมีความน่าสนใจมากกว่าในระยะยาว
กระจายความเสี่ยงผ่าน DR
สำหรับนักลงทุนไทย แม้ว่าหุ้นกลุ่ม Magnificent 7 ของสหรัฐอเมริกาอาจยังมีโอกาสเติบโตได้ต่อไป โดยเฉพาะจากพลังขับเคลื่อนของเทคโนโลยี AI และ Cloud Computing ที่คาดว่าจะยังเติบโตในอัตราเร่งไปอีกอย่างน้อย 5 - 10 ปี แต่คำถามสำคัญ คือ การเติบโตนี้จะเป็นไปตามที่นักลงทุนคาดหวังเหมือนในอดีตหรือไม่ หลังจากที่ราคาหุ้นได้สะท้อนมูลค่าไปมากแล้ว
โดยได้เห็นสัญญาณเตือนบางประการจากผลประกอบการไตรมาสล่าสุดของบริษัทชั้นนำบางแห่ง เช่น Tesla ที่รายได้และกำไรลดลงจากปีก่อนหน้า หรือ Apple ที่การเติบโตของรายได้ชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่นักลงทุนควรพิจารณากระจายการลงทุนไปยังหุ้นกลุ่มอื่น ๆ บ้าง
กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจนอกเหนือจาก Magnificent 7 เช่น กลุ่ม Semiconductor ที่ไม่ใช่เพียง NVIDIA เช่น ASML ผู้ผลิตเครื่องจักรสำหรับผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งเป็น Monopoly ในตลาด EUV Lithography, TSMC ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของโลกที่ผลิตชิปให้กับทั้ง Apple, AMD, NVIDIA และบริษัทชั้นนำอื่น ๆ รวมถึง AMD คู่แข่งสำคัญของ NVIDIA ในตลาด CPU และ GPU
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่ม Healthcare อย่าง UnitedHealth Group บริษัทประกันสุขภาพรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา, Eli Lilly บริษัทยาที่มีผลิตภัณฑ์ยารักษาโรคเบาหวานและยาลดน้ำหนักที่ได้รับความนิยมอย่างมาก และ Novo Nordisk บริษัทยาจากเดนมาร์กที่เป็นผู้นำในตลาดยาลดน้ำหนัก Wegovy และยาเบาหวาน Ozempic ที่ได้รับประโยชน์จากเทรนด์สังคมผู้สูงอายุและนวัตกรรมยารักษาโรค ซึ่งกลุ่มเหล่านี้มีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่งแม้ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
ในขณะที่หุ้นจีนที่เผชิญกับความผันผวนและความไม่แน่นอนทางนโยบายในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ราคาปรับตัวลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว และล่าสุดรัฐบาลจีนได้กลับมาแสดงท่าทีสนับสนุนภาคเอกชนอย่างชัดเจนมากขึ้น โดยประธานาธิบดี Xi Jinping ได้จัดการประชุมร่วมกับผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของจีน และยืนยันถึงความสำคัญของภาคเอกชนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีน มีการผ่อนปรนกฎระเบียบและนโยบายการควบคุมที่เข้มงวด
โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยีและอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นภาคส่วนสำคัญของเศรษฐกิจจีน และพร้อมเดินเกมสงครามการค้าระยะยาวกับสหรัฐฯ แสดงถึงศักยภาพของเศรษฐกิจจีน
โอกาสการลงทุนผ่าน DR บนตลาดหลักทรัพย์ไทย
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยสามารถเข้าถึงการลงทุนในหุ้นต่างประเทศได้สะดวกมากขึ้น ผ่านตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ หรือ DR (Depositary Receipt) โดยล่าสุดได้มีการขยายเวลาการซื้อขาย DR ที่อ้างอิงหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในทวีปอเมริกาและยุโรป ให้สามารถซื้อขายได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ตั้งแต่เวลา 10.00-16.30 น. และ 19.00-03.00 น. (ของวันถัดไป) เริ่มตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป
โดยการขยายเวลาซื้อขาย DR ครั้งนี้ ถือเป็นการเพิ่มโอกาสให้นักลงทุนไทยสามารถซื้อขายหุ้นต่างประเทศได้สอดคล้องกับเวลาการซื้อขายจริงในตลาดหลักทรัพย์ต้นทาง ทำให้สามารถตอบสนองต่อข่าวสารและความเคลื่อนไหวของตลาดได้อย่างทันท่วงที โดยเฉพาะในช่วงที่มีการประกาศผลประกอบการหรือข่าวสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น ขณะที่ DRx (Fractional DR) ที่อ้างอิงกับหลักทรัพย์ในตลาดอเมริกา ได้ถูกย้ายไปซื้อขายรวมกับ DR โดยอัตโนมัติในวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 และเริ่มซื้อขายตามเวลาใหม่ของ DR ตั้งแต่ 10.00 น. ของวันเดียวกัน
ทั้งนี้ ข้อดีของการลงทุนใน DR เมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้นต่างประเทศโดยตรง คือ ความสะดวกในการซื้อขาย สามารถใช้บัญชีหุ้นในประเทศที่มีอยู่แล้ว ไม่ต้องเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ในต่างประเทศ ไม่ต้องแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และที่สำคัญคือไม่ต้องเสียภาษีจากการลงทุนในต่างประเทศเมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้นต่างประเทศโดยตรง
ดังนั้น การขยายเวลาซื้อขาย DR นี้จึงเป็นโอกาสดีสำหรับนักลงทุนไทยที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและแสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ท่ามกลางความผันผวนของตลาดโลกและสงครามการค้าที่ยังคงดำเนินอยู่ แต่ก็คงต้องตระหนักถึงความเสี่ยงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการลงทุนด้วยเช่นเดียวกัน
สำหรับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่สนใจ เรียนรู้พื้นฐานการลงทุนใน DR กลไกการเคลื่อนไหวของราคา ตลอดจนวิธีการซื้อขาย และกลยุทธ์ลงทุนใน DR สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “ลงทุน DR ฉบับมือใหม่” ได้ฟรี!!!
โฆษณา