เมื่อวาน เวลา 05:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

LTF สับเปลี่ยนเป็น Thai ESGX รับสิทธิ์ลดหย่อนภาษี ต่อยอดการลงทุนอย่างยั่งยืน

Highlights
📍การสับเปลี่ยน LTF เป็น Thai ESGX เปิดโอกาสให้นักลงทุนได้รับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีสูงสุดถึง 500,000 บาท โดยมีเงื่อนไขต้องโอน LTF ทุกกองทุนที่ถืออยู่ภายในช่วงเวลาที่กำหนด และต้องถือครอง Thai ESGX อย่างน้อย 5 ปีเพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ดังกล่าว
📍กองทุน Thai ESGX เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่ม ESG ที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนภาษีและต่อยอดเงินลงทุน LTF เดิมอย่างมีประสิทธิภาพ
📍นักลงทุนควรศึกษาเงื่อนไข ข้อดี และข้อควรระวังให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ เพื่อใช้โอกาสนี้ในการสร้างผลตอบแทนและความมั่นคงทางการเงินในอนาคต
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือการลงทุนยอดนิยมของคนไทย เนื่องจากให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีควบคู่กับการออมเงินระยะยาวในตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา รัฐบาลได้ยกเลิกสิทธิ์การซื้อ LTF เพื่อลดหย่อนภาษีสำหรับเงินลงทุนใหม่ ส่งผลให้นักลงทุนที่ถือ LTF เดิมเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ในการบริหารเงินลงทุนหลังครบกำหนดถือครอง
เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงนี้ และสนับสนุนให้เงินลงทุนยังคงหมุนเวียนอยู่ในตลาดทุนไทย รัฐบาลจึงเปิดทางเลือกใหม่ “กองทุน ThaiESGX (Thai ESG Extra)” ขึ้นมา โดยเปิดโอกาสให้ผู้ถือ LTF เดิมสามารถ “สับเปลี่ยน” หน่วยลงทุน LTF ที่มีอยู่ ไปยังกองทุน Thai ESGX พร้อมรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด
💡สิทธิประโยชน์ LTF เดิมสิ้นสุดลง ถอนเงินลงทุนออกหรือคงไว้ในตลาดหุ้นไทย
หลังจากที่สิทธิประโยชน์ทางภาษีของ LTF เดิมสิ้นสุดลง อาจลังเลว่า จะถอนเงินลงทุนออกหรือจะคงไว้ในตลาดหุ้นไทยต่อไปดี ล่าสุด ภาครัฐได้ออกมาตรการใหม่เปิดทางเลือกให้ “สับเปลี่ยน” LTF ที่ถืออยู่ ไปยังกองทุน Thai ESGX ซึ่งไม่เพียงช่วยรักษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุด 500,000 บาท ในรอบใหม่ แต่ยังเป็นการต่อยอดเงินออมเข้าสู่หุ้นกลุ่มยั่งยืนที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว
ซึ่งมาตรการนี้ไม่ได้บังคับ แต่เปิดโอกาสให้ตัดสินใจด้วยตนเอง และหากสนใจใช้สิทธิประโยชน์นี้ ต้องเข้าใจเงื่อนไขที่สำคัญก่อนลงมือสับเปลี่ยน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสและรักษาผลประโยชน์สูงสุด
💡เงื่อนไขการสับเปลี่ยน LTF เป็น Thai ESGX
การสับเปลี่ยนกองทุน LTF เป็นกองทุน Thai ESGX เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี มีเงื่อนไขสำคัญ ดังนี้
📍ต้องสับเปลี่ยน LTF ทุกกองทุน ทุก บลจ. ที่ถืออยู่ ต้องโอนหน่วยลงทุน LTF ทั้งหมดที่ถืออยู่ ณ วันที่ 11 มีนาคม 2568 (ยกเว้นหน่วยใน Class SSF) ไปยังกองทุน Thai ESGX หากสับเปลี่ยนไม่ครบ จะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
📍ช่วงเวลาการสับเปลี่ยน สามารถดำเนินการสับเปลี่ยนได้เฉพาะในช่วงวันที่ 13 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2568 เท่านั้น
📍ห้ามขายหรือสับเปลี่ยน LTF หลังวันที่ 11 มีนาคม 2568 หากมีการขายคืนหรือสับเปลี่ยน LTF ไปยังกองทุนอื่น (ทั้งในบลจ.เดียวกันหรือข้ามบลจ.) หลังวันที่ 11 มีนาคม 2568 จะหมดสิทธิ์รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการสับเปลี่ยนนี้
💡วงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุด 500,000 บาท
1. ปีแรก (2568) ลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท
2. ปีที่ 2 – 5 (2569 – 2572) ลดหย่อนปีละ 50,000 บาท
💡มูลค่า LTF ที่สับเปลี่ยนเกิน 500,000 บาท ส่วนเกินไม่ได้รับสิทธิลดหย่อน
หากมูลค่า LTF ที่สับเปลี่ยนเกิน 500,000 บาท ส่วนที่เกินจะไม่ได้รับสิทธิ์ลดหย่อน แต่ยังต้องถือครองครบ 5 ปี
• ต้องถือครอง Thai ESGX อย่างน้อย 5 ปี
หน่วยลงทุน Thai ESGX ที่ได้จากการสับเปลี่ยนต้องถือครองไม่น้อยกว่า 5 ปี (นับแบบวันชนวันจากวันที่สับเปลี่ยน) หากขายก่อนครบกำหนด จะต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษี
• สามารถโอนข้าม บลจ.ได้
สามารถสับเปลี่ยน LTF จากหลาย บลจ. มารวมไว้ที่ Thai ESGX กองทุนเดียวได้ แต่ควรตรวจสอบเงื่อนไขกับแต่ละบลจ.ก่อนดำเนินการ
กระนั้นก็ดี ก่อนจะตัดสินใจสับเปลี่ยน LTF เป็น Thai ESGX หนึ่งในคำถามสำคัญคือ “แล้วจะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอะไรบ้าง” เพราะสิทธิ์ลดหย่อนภาษีถือเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้การลงทุนในกองทุนรูปแบบนี้คุ้มค่าและน่าสนใจมากขึ้น
สำหรับการสับเปลี่ยนในรอบนี้ รัฐบาลได้ออกมาตรการจูงใจที่ให้วงเงินลดหย่อนสูงสุดถึง 500,000 บาท พร้อมเงื่อนไขที่ยืดหยุ่นมากขึ้นเมื่อเทียบกับกองทุนรูปแบบอื่น ๆ เพื่อกระตุ้นให้เงินลงทุนยังคงหมุนเวียนอยู่ในตลาดทุนไทย และสนับสนุนการลงทุนในหุ้นกลุ่ม ESG ที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว
💡สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับจากการสับเปลี่ยน LTF เป็น Thai ESGX
1. ลดหย่อนภาษีสูงสุด 500,000 บาท
นักลงทุนที่สับเปลี่ยน LTF เป็น Thai ESGX จะได้รับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีตามจำนวนเงินที่โอนจริง สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท โดยแบ่งเป็น
ปีแรก (2568) ลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท
ปีที่ 2 – 5 (2569–2572) ลดหย่อนได้ปีละ 50,000 บาท รวม 200,000 บาท
รวมแล้วจะได้รับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีสูงสุด 500,000 บาทตลอดโครงการ
2. เงื่อนไขการใช้สิทธิ์
ต้องสับเปลี่ยน LTF ทุกกองทุนที่ถืออยู่ (ไม่สามารถเลือกบางกองทุนหรือบางส่วนได้)
หากยอด LTF ที่สับเปลี่ยนต่ำกว่า 500,000 บาท จะใช้สิทธิ์ได้ตามยอดจริง
ส่วนที่เกิน 500,000 บาทจะไม่ได้รับสิทธิ์ลดหย่อนในรอบนี้ แต่ยังต้องถือครองครบ 5 ปีเช่นกัน
3. ต้องถือครอง Thai ESGX อย่างน้อย 5 ปี
เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ทางภาษี หน่วยลงทุน Thai ESGX ที่ได้รับจากการสับเปลี่ยนต้องถือครองไม่น้อยกว่า 5 ปี (นับแบบวันชนวัน) หากขายก่อนครบกำหนด จะต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีและอาจต้องเสียเบี้ยปรับตามกฎหมาย
โอกาสในการวางแผนภาษีล่วงหน้า การกระจายสิทธิ์ลดหย่อนออกเป็น 5 ปี ช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถวางแผนภาษีและการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
หมายความว่า การสับเปลี่ยน LTF เป็น Thai ESGX จึงไม่ใช่แค่การต่ออายุสิทธิ์ลดหย่อนภาษี แต่ยังเป็นโอกาสในการวางแผนการเงินระยะยาวอย่างรอบคอบและคุ้มค่าอีกด้วย
ด้วยเงื่อนไขสำคัญของ Thai ESGX ที่ต้องถือหน่วยลงทุนอย่างน้อย 5 ปี และบางคนอาจถือ LTF เกินกว่า 500,000 บาท ราชันย์ ตันติจินดา CFP® K Wealth ธนาคารกสิกรไทย แนะนำว่า ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจโอน LTF ไป Thai ESGX อย่างรอบคอบ
💡ฐานภาษียิ่งสูง ยิ่งควรโอน
• ผู้ที่มีฐานภาษีสูง
เช่น หากคุณมีอัตราภาษีเงินได้ระหว่าง 25 - 35% หรือมีเงินเดือนประมาณ 130,000 – 460,000 บาทขึ้นไป การโอนเงินจาก LTF เดิมไปลงทุนในกองทุน Thai ESGX จะช่วยให้คุณได้เงินคืนภาษีเฉลี่ยประมาณปีละ 5 - 7% ของเงินที่โอนไป “ถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะแค่ถือกองทุนต่อเนื่อง 5 ปี โดยไม่ต้องลงทุนเงินใหม่เพิ่มเลย
ในกรณีที่มีเงินลงทุน LTF มากกว่า 500,000 บาท เช่น 1 ล้านบาท ซึ่งเกินเพดานลดหย่อนสิทธิใหม่ แต่ส่วนที่ใช้สิทธิได้ (500,000 บาทแรก) ก็ยังทำให้ได้รับเงินคืนภาษีเฉลี่ยปีละ 2.5 - 3.5% ของมูลค่า LTF ทั้งก้อน ดังนั้น ก็ยังถือว่าคุ้มในการถือต่อ 5 ปี เช่นกัน” ราชันย์ กล่าว
• ผู้ที่มีฐานภาษีน้อย
เช่น 10% หรือเงินเดือนประมาณ 40,000 – 55,000 บาท เงินคืนภาษีที่ได้รับไม่สูงมาก ประมาณ 10% ของมูลค่า LTF ที่ถือ หรือเฉลี่ยปีละ 2% และหากลงทุนตั้งแต่ปีแรก ๆ ที่มี LTF โดยไม่เคยขายคืนเลย จนมี LTF สะสมมูลค่าสูง เช่น 1 ล้านบาท เงินคืนภาษีที่ได้ จะอยู่ที่เพียง 5% ของมูลค่า LTF (= เงินคืนภาษี 50,000 ÷ มูลค่า LTF 1 ล้านบาท) หรือเฉลี่ยปีละ 1% เท่านั้น “สำหรับคนกลุ่มนี้ การขายคืน LTF และนำเงินไปลงทุนทางเลือกอื่น อาจมีความน่าสนใจมากกว่า”
💡อายุยิ่งน้อย ยิ่งควรโอน
ทางเลือกลดหย่อนภาษี นอกจากกองทุน Thai ESGX กองทุน Thai ESG และประกันชีวิตแล้ว หลักๆ จะเป็นกองทุน RMF ที่ต้องถือและลงทุนต่อเนื่องทุกปีจนถึงอายุ 55 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ดังนี้
• อายุน้อยกว่า 50 ปี
เช่น อายุ 30 ปี RMF ต้องลงทุนต่อเนื่องและถือไปอีกอย่างน้อย 25 ปี ดังนั้น Thai ESGX ที่ลงทุนเพียง 5 ปี จึงน่าสนใจมากกว่า เพราะระยะเวลาการลงทุนสั้นกว่าลงทุนใน RMF ถึง 5 เท่า
• อายุมากกว่า 50 ปี
เช่น อายุ 53 ปี การลงทุนใน RMF อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะ Thai ESGX ต้องถือหน่วยลงทุนอย่างน้อย 5 ปีเต็ม หรือจนถึงอายุประมาณ 58 ปี ส่วน RMF หากเคยลงทุนต่อเนื่องมาก่อนหน้าแล้ว อาจเหลือลงทุนต่ออีกเพียง 2 - 3 ปี (ต้องลงทุนต่อเนื่อง 5 ปีขึ้นไปด้วย) จนอายุ 55 ปีบริบูรณ์ ก็สามารถขายคืน RMF ได้
“อีกทั้ง RMF ยังมีกองทุนตราสารหนี้ ให้เลือกลงทุนซึ่งมีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ เหมาะกับการถือลงทุนระยะสั้นถึงระยะกลาง เพื่อเน้นรักษาเงินต้นส่วนใหญ่ ให้พร้อมใช้ในวัยเกษียณในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า” ราชันย์ ตันติจินดา แนะนำ
💡สรุปก่อนตัดสินใจ สับเปลี่ยน LTF เป็น Thai ESGX
ก่อนจะตัดสินใจสับเปลี่ยน LTF เป็น Thai ESGX หลายคนอาจกำลังชั่งใจว่าทางเลือกนี้ “คุ้มค่า” หรือ “เหมาะสม” กับเป้าหมายทางการเงินของตัวเองหรือไม่ เพราะแม้จะมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีจูงใจ แต่ก็มีเงื่อนไขและข้อพิจารณาหลายประการที่ต้องชั่งน้ำหนักให้รอบด้าน
ดังนั้น ควรพิจารณาเป้าหมายทางการเงิน สภาพคล่อง และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตนเองก่อนตัดสินใจ หากมั่นใจว่าตอบโจทย์เป้าหมายและข้อจำกัดของตัวเอง การสับเปลี่ยนครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ที่คุ้มค่าและสร้างโอกาสในระยะยาว
รู้จักกองทุน Thai ESG แบบเจาะลึก พร้อมแนวคิดในการตัดสินใจเลือกลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษี ผ่าน e-Learning หลักสูตร “เจาะลึกกองทุนลดหย่อนภาษี Thai ESG” ได้ฟรี!!!
โฆษณา