22 พ.ค. เวลา 08:50 • ปรัชญา
"ความคิด" ในขณะที่กำลังคิด มันมีจุดกำเนิดมาจากสัญญา ครับ มันมาจากความทรงจำ เป็นการจำสิ่งที่เคยรับรู้ คือการจำได้หมายรู้ที่ผ่านเข้ามา ที่เราเคยสัมผัส ซึ่งเราจะใช้สมองในการจำครับ
1
จากนั้นมันจะส่งต่อไปยังสิ่งที่เรียกว่า "สังขาร" ในส่วนนี้คือการปรุงแต่งครับ ทำให้มีอารมณ์ครับ
สัญญาและสังขาร พอมันรวมกัน ก็จะนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า วิญญาณ ครับ แปลว่ามันจะเกิดจิตรู้เห็นสิ่งที่เรากำลังปรุงแต่งที่มีรากมาจากสัญญาครับ
พอมาถึงตรงนี้มันจะเกิดความรู้สึกครับ ไอ้ความรู้สึกตัวนี้แหละมันจะเป็นความรู้สึกทางใจครับ ชอบหรือไม่ชอบ อยากจะคิดต่อไปเรื่อยๆ เรียกว่า เวทนา ครับ
1
แล้วเมื่อเกิดเวทนา มันจะกลายเป็น นันทิ เป็นความเพลิดเพลินต่อไปเรื่อยๆ เช่นมีความสุขที่คิดถึงคนนั้นคนนี้ คิดถึงสิ่งของ หรือ โกรธ มีความสุข มีความแค้น หรือคิดวางแผนอนาคต สมมุติว่าถ้าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หรือคิดถึงอดีตเป็นต้น บางครั้งเราอาจจะคิดว่าเรามีสติสมบูรณ์พร้อม แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลยครับ เพราะเรากำลังตกอยู่ภายใต้ ตัณหา เรียบร้อยแล้วครับ เพราะเมื่อมีนันทิ ตัณหาย่อมเกิดขึ้น คือความอยากครับ เมื่อมีความอยาก อุปาทานจึงเกิดขึ้น กลายเป็นความยึดมั่น นั่นเองครับ
ทีนี้ กลับมาที่คำถามของคุณเฉิน ซึ่งคำตอบก็คือ ขณะที่เรากำลังคิดถึง เราใช้ทุกอย่างประกอบกัน (แต่มีลำดับขั้นในการเกิดขึ้นตามที่ผมได้อธิบายไว้) ซึ่งตอนที่กำลังคิดนั้น คุณอาจจะบอกว่าคุณมีสติก็ได้ แต่สติคุณไม่แข็งพอที่จะหลุดออกจากอำนาจของนิวรณ์ จึงเกิดนันทิที่เพลิดเพลินอยู่กับการปรุงแต่งที่เป็นกำลังครับ
และทั้งหมดนี้จะหมุนวนอย่างรวดเร็ว เวียนวนไม่รู้จบ มันจะวนเป็นระบบแบบนี้ตลอด
ทั้งหมดนี้เป็นเหตุ ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า "ภพ"
และเมื่อมี ภพ
ชาติ ชรา มรณะ ทุกข์ โทมนัส ภัยอันน่ากลัวจึงได้เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว
ซึ่งวิธีแก้ไขระบบที่หมุนวนตรงนี้ก็คือ
การฝึกยอมรับความจริงครับ ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นไปตามความเป็นจริง ยอมรับอดีต ยอมรับปัจจุบัน และการจะยอมรับปัจจุบันได้ต้องฝึกสติให้แข็ง ให้มีอำนาจ โดยการฝึกสมาธิ ละนันทิ ปล่อยอนาคต ไม่ปรุงแต่ง ไม่เกิดสังขาร
เมื่อไม่เกิด สังขาร
วิญญาณก็ดับ
เวทนาก็ดับ
ตัณหาก็ดับ
อุปาทานก็ดับ
สิ่งที่เรียกว่า ภพ ก็ไม่เกิดขึ้น
ชาติ ชรา มรณะ ทุกข์ โทมนัส ก็เป็นอันจบ
ซึ่งทั้งหมดที่ผมได้บรรยายนี้
คือธรรมะที่เรียกว่า ธรรมอันเป็นเหตุที่อาศัยกันและกันในการเกิดขึ้น ซึ่งมันสามารถสงเคราะห์ใช้ได้กับทุกสิ่งในจักรวาลที่เราอยากจะตั้งคำถามหรือสงสัยเลยครับ เป็นการพิจารณาแบบแยบยลโยนิโสมนสิการ ซึ่งหลักธรรมะตรงนี้ มันเป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้ามักจะพิจารณาเมื่อยามที่ท่านว่างจากภารกิจ เมื่อท่านหลีกเร้นวิเวกแต่เพียงผู้เดียว หรือใช้สาธยายธรรม
ซึ่งธรรมะนี้มีชื่อเรียกว่าอะไร มีใครรู้ชื่อบ้างครับ
โฆษณา