22 พ.ค. เวลา 14:13 • ไลฟ์สไตล์

ณ ยอดเขาแห่งใจ ชายหนุ่ม 4 คน ผู้จัดการกับก้อนเมฆ

ณ ยอดเขาแห่งใจ
ชายหนุ่มคนที่1 กำลังถักทอกางตาข่ายสยายกั้นมวลเมฆ
ชายหนุ่มคนที่ 2 กำลังโหมแรงแข็งขันก่อกำแพงกั้นเมฆ
ชายหนุ่มคนที่ 3 สาละวนขนซันไลต์ไฮเตอร์มาขัดสีฉวีวรรณให้ท้องฟ้าใสสะอาดปราศจากหมู่เมฆ
ชายหนุ่มคนที่ 4 นั่งอภิรมย์ชมชื่นมวลหมู่เมฆที่ไหลผ่านท้องฟ้าแห่งใจ หาได้สนภาระกิจรักษาท้องฟ้าแห่งใจให้ใสสะอาด ปราศจากหมู่เมฆ แต่อย่างใด
อุปมาอุปไมย "ชายหนุ่มทั้ง 4 คน" เปรียบเทียบ ท้องฟ้า กับ ก้อนเมฆ ณ "ยอดเขาแห่งใจ" เป็นการอธิบายวิธีการที่แตกต่างกันในการ จัดการกับอารมณ์ หรือ การภาวนา
* ท้องฟ้า: แทน จิตใจ หรือ สภาวะเดิมแท้ของจิต ที่สงบนิ่ง บริสุทธิ์ และโปร่งใส
* ก้อนเมฆ: แทน อารมณ์ ความคิด ความรู้สึก หรือ สิ่งรบกวน ต่างๆ ที่เกิดขึ้นและผ่านเข้ามาในจิตใจ
ชายหนุ่มแต่ละคนกับการจัดการอารมณ์
ชายหนุ่มคนที่ 1: กำลังถักทอกางตาข่ายสยายกั้นมวลเมฆ
ชายหนุ่มคนนี้เปรียบเสมือนคนที่พยายาม ควบคุม หรือ กักขังอารมณ์ ไว้ไม่ให้เกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นแล้วก็พยายามรั้งเอาไว้ไม่ให้มันแสดงออก เขากำลังสร้างกลไกป้องกัน หรือใช้ความพยายามอย่างมากในการกดทับอารมณ์ต่างๆ เช่น พยายามไม่โกรธ พยายามไม่เศร้า หรือพยายามไม่คิดเรื่องที่ไม่ดี การทำเช่นนี้อาจทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า และอารมณ์เหล่านั้นก็อาจจะถูกสะสมไว้และระเบิดออกมาในภายหลังได้
ชายหนุ่มคนที่ 2: กำลังโหมแรงแข็งขันก่อกำแพงกั้นเมฆ
ชายหนุ่มคนนี้คล้ายกับคนแรก แต่มีความพยายามที่แข็งกร้าวและรุนแรงกว่าในการ ต่อสู้ หรือ ปฏิเสธอารมณ์ เขากำลังสร้าง "กำแพง" เพื่อปิดกั้นตัวเองจากอารมณ์ที่ไม่พึงประสงค์ โดยหวังว่าอารมณ์เหล่านั้นจะไม่สามารถเข้ามาในจิตใจได้เลย การทำเช่นนี้อาจทำให้เกิดความเครียด ความขัดแย้งภายใน และความรู้สึกโดดเดี่ยว เพราะปฏิเสธที่จะเผชิญหน้ากับความจริงของอารมณ์ตัวเอง
ชายหนุ่มคนที่ 3: สาละวนขนซันไลต์ไฮเตอร์มาขัดสีฉวีวรรณให้ท้องฟ้าใสสะอาดปราศจากหมู่เมฆ
ชายหนุ่มคนนี้เปรียบเสมือนคนที่พยายาม กำจัด หรือ ชำระล้างอารมณ์ ที่เกิดขึ้นให้หมดไป เขาเชื่อว่าจิตใจที่บริสุทธิ์คือจิตใจที่ปราศจากอารมณ์ใดๆ เลย ดังนั้นจึงพยายามใช้ความพยายามอย่างมากในการ "ขัดสีฉวีวรรณ" หรือ "ล้าง" อารมณ์เหล่านั้นออกไป การทำเช่นนี้อาจหมายถึงการพยายามคิดบวกตลอดเวลา การไม่ยอมรับความอ่อนแอของตัวเอง หรือการกดดันตัวเองให้ต้องรู้สึกดีอยู่เสมอ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในความเป็นจริง
ชายหนุ่มคนที่ 4: นั่งอภิรมย์ชมชื่นมวลหมู่เมฆที่ไหลผ่านท้องฟ้าแห่งใจหาได้สนภาระกิจรักษาท้องฟ้าแห่งใจให้ใสสะอาดปราศจากหมู่เมฆ
ชายหนุ่มคนนี้เป็นตัวแทนของ การยอมรับ และ การปล่อยวาง ในการจัดการกับอารมณ์ เขาเข้าใจว่าอารมณ์เป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เหมือนก้อนเมฆที่ลอยผ่านท้องฟ้า เขาไม่พยายามควบคุม ต่อสู้ หรือกำจัดมัน แต่เพียงแค่นั่ง เฝ้าดู และ รับรู้ การมีอยู่ของอารมณ์เหล่านั้นโดยไม่เข้าไปตัดสิน ไม่ติดยึด และไม่หวั่นไหว การทำเช่นนี้ทำให้จิตใจกลับมาสู่สภาวะสงบได้เอง เพราะไม่ได้ถูกรบกวนด้วยความพยายามที่จะจัดการกับอารมณ์
บทสรุป
อุปมานี้ชี้ให้เห็นว่าการภาวนา หรือการจัดการอารมณ์ที่มีประสิทธิภาพนั้น ไม่ใช่การพยายามควบคุม ปฏิเสธ หรือกำจัดอารมณ์ แต่เป็นการ ยอมรับ และ สังเกต อารมณ์เหล่านั้นอย่างเป็นกลาง โดยไม่เข้าไปแทรกแซงหรือปรุงแต่ง ซึ่งจะนำไปสู่ความสงบภายในที่แท้จริง เหมือนท้องฟ้าที่ยังคงเป็นท้องฟ้า แม้จะมีเมฆมากหรือน้อยก็ตาม
ชายหนุ่มคนที่ 4 เข้าใจ ธรรมชาติของจิตใจและอารมณ์ อย่างลึกซึ้งทำให้เขาสามารถนั่งมองก้อนเมฆ (อารมณ์) ไหลผ่านท้องฟ้า (จิตใจ) ได้อย่างสบายอารมณ์ นี่คือสิ่งที่เขาเข้าใจ:
1. อารมณ์เป็นเพียงชั่วคราวและไม่ถาวร
เขาตระหนักว่าอารมณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสุข ทุกข์ โกรธ เศร้า หรือกังวล ล้วนเป็นสิ่งที่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เหมือนก้อนเมฆที่ลอยมาแล้วก็ลอยลับไป ไม่ได้คงอยู่ตลอดไป การยึดติดหรือพยายามรั้งอารมณ์ใดๆ ไว้ จึงเป็นการฝืนธรรมชาติ
2. จิตใจคือ "ท้องฟ้า" ไม่ใช่ "เมฆ"
เขาเข้าใจว่า ตัวตนที่แท้จริง ของเรา หรือแก่นแท้ของจิตใจนั้น สงบ โปร่งโล่ง และบริสุทธิ์ เปรียบเหมือนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าจะมีเมฆดำทะมึน หรือเมฆขาวฟูฟ่องลอยผ่านมา ท้องฟ้าก็ยังคงเป็นท้องฟ้า ไม่ได้ถูกเมฆทำให้แปดเปื้อนหรือเสียหาย เขาจึงไม่หลงระเริงไปกับอารมณ์ ไม่ว่าดีหรือร้าย
3. การต่อสู้กับอารมณ์คือการเพิ่มความทุกข์
ชายหนุ่มคนที่ 4 เห็นว่าการพยายามควบคุม ต่อสู้ หรือกำจัดอารมณ์ (เหมือนชายหนุ่ม 1, 2, 3) มีแต่จะทำให้เกิดความเหนื่อยล้า ความขัดแย้งภายใน และความทุกข์เพิ่มขึ้น เพราะเป็นการฝืนธรรมชาติของอารมณ์ การยอมรับและปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ คือหนทางแห่งความสงบที่แท้จริง
4. การสังเกตโดยไม่ตัดสินและไม่ยึดติด
เขามีความสามารถในการ เฝ้าดูอารมณ์ ที่เกิดขึ้นในใจเหมือนเป็นผู้สังเกตการณ์ภายนอก โดย ไม่เข้าไปตัดสิน ว่าอารมณ์นั้นดีหรือไม่ดี ไม่พยายามเปลี่ยนแปลง ไม่พยายามยึดติด หรือผลักไสออกไป การสังเกตอย่างเป็นกลางเช่นนี้ ทำให้เขาไม่ได้ถูกอารมณ์พาไป แต่สามารถดำรงอยู่ในสภาวะที่รู้ตัวและตื่นรู้ได้
5. ปล่อยวางการควบคุม
เขายอมรับว่าบางสิ่งก็อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา เช่นเดียวกับการที่เมฆจะลอยมาหรือลอยไป เราไม่สามารถสั่งให้เมฆหายไปได้ อารมณ์ก็เช่นกัน การปล่อยวางความพยายามในการควบคุมอารมณ์ ทำให้จิตใจเป็นอิสระและเบาขึ้น
ด้วยความเข้าใจเหล่านี้ ทำให้ชาย
หนุ่มคนที่ 4 สามารถเผชิญหน้ากับอารมณ์ต่างๆ ได้อย่างสงบ ไม่หวั่นไหว และดำรงอยู่ใน "ยอดเขาแห่งใจ" ที่มั่นคง ไม่ว่าพายุอารมณ์จะโหมกระหน่ำเพียงใด เขาก็ยังคงเป็นผู้สังเกตการณ์ที่สบายอารมณ์
หัวใจแห่งความเข้าใจของชายหนุ่มคนที่ 4
สิ่งที่ชายหนุ่มคนที่ 4 เข้าใจอย่างถ่องแท้คือ:
* ท้องฟ้าคือ "ใจ ธาตุรู้" ที่เป็นพื้นฐาน: เขาตระหนักว่าจิตใจหรือ "ธาตุรู้" (consciousness/knowingness) ที่เป็นธรรมชาติเดิมแท้นั้น มีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องสร้างขึ้นมาใหม่ ไม่ต้องพยายามทำให้สะอาดบริสุทธิ์ เพราะมันบริสุทธิ์และกว้างใหญ่ในตัวมันเองอยู่แล้ว เปรียบเสมือนท้องฟ้าที่ไม่ได้สกปรกไปเพราะเมฆ
* อารมณ์ ความคิด ความรู้สึกคือ "หมู่เมฆ พายุ สายฝน" ที่มาใช้พื้นที่ชั่วคราว: เขาเห็นว่าอารมณ์ต่างๆ ไม่ว่าดีร้าย ล้วนเป็นเพียงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ของจิตใจชั่วคราว เหมือนเมฆที่ลอยผ่านท้องฟ้า ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของท้องฟ้าอย่างถาวร และไม่สามารถทำลายท้องฟ้าได้
* การตระหนักรู้คือการปล่อยให้มันเป็นไป: ด้วยความเข้าใจนี้ เขาจึงไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่า ตระหนักรู้ (awareness) ถึงการมีอยู่ของอารมณ์เหล่านั้น สังเกตการณ์มันโดยไม่เข้าไปยึดติด ไม่เข้าไปเปลี่ยนแปลง หรือพยายามขับไล่
เมื่อเขามีความเข้าใจและตระหนักรู้เช่นนี้ อารมณ์และความคิดต่างๆ ก็จะ พัดผ่านไป เองตามธรรมชาติ เหมือนก้อนเมฆที่ลอยจากไป โดยไม่ทิ้งร่องรอยหรือความขุ่นมัวใดๆ ไว้บนท้องฟ้าแห่งใจของเขาเลยครับ นี่คือแก่นแท้ของการภาวนาและการจัดการอารมณ์ในแนวทางของการยอมรับและปล่อยวางอย่างแท้จริง
โฆษณา