22 พ.ค. เวลา 16:32 • หนังสือ

คำถามร้อยบาทกับคำถามล้านบาท

หนังสือแนวที่เราไม่คิดที่จะซื้อเองก็คือหนังสือที่จัดหมวดหมู่ไว้ว่าเป็นประเภท Self-help หรือจิตวิทยาพัฒนาตัวเอง แต่ก็จำกัดอยู่แค่ว่าถ้าเป็น Non-fic เท่านั้น เพราะทุกครั้งที่ลองอ่านแล้วพบว่าเราไม่เคยอ่านหนังสือประเภทนี้ได้นานเลย อ่านไปสักพักก็จะเบื่อจนต้องเลิกอ่าน แต่ถ้าเป็นนิยายที่สารหลักของเรื่องเป็นแนวนี้ก็ไม่ได้ติดอะไรมากนัก
เคยลองตั้งคำถามกับตัวเองอยู่บ่อยๆว่าทำไมถึงไม่ชอบอ่านหนังสือ Self-help ทั้งที่คนรอบตัวชอบอ่านมาก ไม่ว่าจะเพื่อนหรือคนที่ทำงาน คำตอบที่ได้ก็คือเราไม่อินกับลักษณะการนำเสนอที่ชี้นำของหนังสือกลุ่มนั้น เวลาอ่านจะรู้สึกเหมือนถูกพูดกรอกหูว่า "เชื่อแบบนี้สิ คิดแบบนี้สิ ทำแบบนี้สิ ไม่อย่างนั้นล่ะก็คุณจะกลายเป็นคนล้มเหลวนะ ทำไมไม่พัฒนาตัวเองให้ดีกว่าหน่อยล่ะ แย่จริงๆเลย"
กลับกันตอนที่อ่านนิยายที่แฝงแนวคิดพัฒนาตัวเอง เรารู้สึกว่ามันมีช่องว่างให้ได้ตกผลึกสารที่นำเสนอด้วยตัวเอง เหมือนนักเขียนได้เว้นพื้นที่ให้คนอ่านได้ครุ่นคิด ด้วยเหตุนี้สิ่งที่เราได้รับกลับมาจึงมักเป็นแง่คิดที่เหมาะสมกับตัวตนและประสบการณ์ของเรามากที่สุด และนั่นคือสิ่งที่เรารู้สึกจากหนังสือ #คำถามร้อยบาทกับคำถามล้านบาท จาก KOOB เล่มนี้
ตลอดทั้งเล่มมันคือการ "เล่าเรื่อง" ผ่านสายตาของคนวัย 40 กลางๆ ซึ่งเป็นช่วงวัยที่เรียกได้ว่าผ่านโลกมาในระดับหนึ่ง การงานก็เริ่มมาถึงจุดอิ่มตัว เมื่อไม่ต้องวิ่งหน้าตั้งเพื่อค้นหาความสำเร็จอีกต่อไป คนในวัยนี้ก็จะเริ่มมีเวลาในการครุ่นคิดเกี่ยวกับชีวิตในด้านอื่นๆที่ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่มีเวลามากพอจะสนใจ อย่างเรื่องสุขภาพ หรือความสัมพันธ์กับผู้คนรอบตัว โดยเฉพาะคนในครอบครัว
เราสามารถมีชีวิตที่ดีได้โดยไม่จำเป็นต้องเก่งขึ้นทุกวันก็ได้
โลกทุกวันนี้พยายามบอกเราเสมอว่าจะต้องทำตัว productive ตลอดเวลา ต้องจัดสรรรายการชีวิตให้ดีเพื่อใช้เวลาทุกนาทีให้คุ้มค่ามากที่สุด แต่คำว่า "คุ้มค่า" ที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงส่วนใหญ่ล้วนมีเพียงแค่เรื่องการทำงานเท่านั้น ต้องทำงานให้ได้มากขึ้นในเวลาเท่าเดิม ต้องแบ่งเวลาไปเรียนรู้เพื่อให้เก่งขึ้น เมื่อเห็นผ่านตาบ่อยๆ ได้ยินบ่อยๆ คนจำนวนไม่น้อยเลยละอายที่จะหยุดพัก และพยายามบีบคั้นตัวเองมากเกินไป จนสุขภาพกายไม่ไหวสุขภาพใจทรุดโทรม 🥲
ในมุมหนึ่งนั้นการสอนให้คนใช้เวลาให้คุ้มค่าไม่ใช่สิ่งผิด แต่มันจะดีกว่าไหมถ้าจะไม่สอนด้วยการชี้นำว่าชีวิตที่คุ้มค่าคือการประพฤติตนเป็นแรงงานชั้นเยี่ยมของบริษัท
  • การได้ใช้เวลาร่วมกับครอบครัวไม่คุ้มค่าหรือ?
  • การได้ไปลองทำกิจกรรมใหม่ๆไม่คุ้มค่าหรือ?
  • การได้นอนหลับพักผ่อนอย่างสบายใจไม่คุ้มค่าหรือ?
ทุกคนควรจะมีคำตอบของคำถามที่ว่า "ชีวิตที่ดีคือแบบไหน" ในรูปแบบของตัวเอง และคำตอบนั้นไม่จำเป็นจะต้องตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานเสมอไป
อนุญาตให้ตัวเองมีความสุขได้เลยตั้งแต่วันนี้ ไม่อย่างนั้นเราจะเคยชินแต่กับการรุดไปข้างหน้าจนพลาดสิ่งดีๆที่กำลังปรากฏอยู่ตรงหน้า
ช่วง 2-3 ปีมานี้เราเสียผู้ใหญ่ที่เคารพหลายคนไปอย่างกะทันหัน บางคนอายุยังอยู่แค่ช่วงวัย 40-50 เสียด้วยซ้ำ นั่นคือช่วงเวลาที่เราตระหนักได้ว่าอนาคตคือสิ่งที่โคตรจะไม่แน่นอน อย่าว่าแต่พรุ่งนี้เลย อีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้าเราจะยังมีชีวิตอยู่ไหมก็ไม่รู้ การใช้ชีวิตโดยคำนึงถึงอนาคตนั้นไม่ใช่เรื่องแย่ แต่การห่วงพะวงกับมันจนไม่อนุญาตให้ตัวเองได้มีความสุขในปัจจุบันเลยก็ไม่ใช่เรื่องดี
ถ้าบาลานซ์ตรงจุดนี้ได้ เราจะไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงเส้นชัยก่อนถึงจะมีความสุข เพราะเราสามารถมีความสุขไปเรื่อยๆในระหว่างทางได้ ถึงแม้ว่ามันอาจทำให้เดินถึงเป้าหมายช้าลงไปนิดหน่อย แต่ก็คงไม่ได้ร้ายแรงอะไร อย่างน้อยถ้าวันของเรามาถึงเร็วกว่าที่คาดคิดไว้ เราก็จะไม่มีอะไรให้ต้องเสียดายมากนัก 😉
เราสามารถอ่านหนังสือเล่มนี้จบได้แบบสบายๆ เพราะแต่ละหัวข้อที่พี่รุตม์หยิบมาเล่า ไม่ได้เป็นการตีกรอบว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรที่ต้องทำ และอะไรที่ห้ามทำ แต่เป็นเพียงการแชร์ความคิดให้เราฟัง และปล่อยให้ไปคิดต่อด้วยตัวเอง ที่ต้องใช้คำว่าฟังเพราะอ่านแล้วเหมือนได้ยินเสียงพี่รุตม์ดังออกมาจากหน้ากระดาษตลอดเวลา 555555
โดยส่วนตัวแล้วเราไม่ได้ติดตามพี่รุตม์ในพาร์ทของการเป็นนักเขียนเลย ไม่ว่าจะบล็อกหรือหนังสือ เล่มนี้จึงเป็นผลงานของเขาเล่มแรกที่มีโอกาสได้อ่าน (ขอบคุณพี่มาร์คที่เอามาแจกด้วยค่ะ 🙏🏻) และมันก็เป็นการยืนยันความคิดของเราสมัยที่ได้คุยกับพี่รุตม์ครั้งแรก ตอนเขาจัด workshop writing ที่ออฟฟิศ ว่าพี่รุตม์เป็นคนช่างสังเกต ซึ่งลำพังแค่ลักษณะนิสัยนี้ก็ทำให้เขา "เห็น" เรื่องราวมากมายที่คนอื่นไม่เห็นแล้ว
แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้เรื่องเล่าของพี่รุตม์แตกต่างกับของคนอื่น คือการที่เขาเก็บเอาสิ่งที่เห็นไป "คิด" ต่อ ก่อนที่จะ "เขียน" เล่ามันออกมาผ่านสายตาของคนธรรมดาคนหนึ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป คนที่ต้องทำงานหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว ต้องดิ้นรนไขว่คว้าหาความสำเร็จเพื่อชีวิตที่ดีกว่า จนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปค่อนชีวิตแล้วนั่นแหละจึงได้ตระหนักว่า ชีวิตแบบที่ว่านั้นจะไม่มีวันมาถึง ถ้าเรายังไม่เลิกขยับเส้นชัยของตัวเองให้ไกลออกไป
พอแค่นี้ดีกว่า ชักจะยาวไปแล้ว ดึกแล้วด้วย พรุ่งนี้ยังต้องตื่นมาทำงานอีก 😆
โฆษณา