23 พ.ค. เวลา 14:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

CLSA ห่วงการเมืองไทยไร้เสถียรภาพ กูรูชี้กองทุนต่างชาติเมินหุ้นไทย

CLSA ชี้การเมืองไทยไร้เสถียรภาพ กดดันตลาดหุ้น โบรกมองความไม่แน่นอนมีผลต่อความเชื่อมั่นการลงทุน กองทุนต่างชาติเลือกเมินตลาดหุ้นไทย
จากกรณีที่ทาง บริษัทหลักทรัพย์ ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CLSA ระบุว่า ล่าสุดประเมินสถานการณ์การลงทุนในประเทศไทยว่า ความเสี่ยงทางการเมืองกำลังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ท่ามกลางความขัดแย้งภายในรัฐบาลผสมระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย
ที่อาจนำไปสู่จุดเปลี่ยนทางการเมืองในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม 2568 โดยมีเหตุการณ์สำคัญหลายประการที่ต้องจับตา ได้แก่ การอภิปรายร่างงบประมาณประจำปี 2569 การพิจารณาคดีประกันตัวอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร และข้อกล่าวหาทุจริตในการเลือกตั้งวุฒิสภา
โดยปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลผสม รวมถึงอาจมีกระทบต่อทิศทางของตลาดหุ้นไทยร่วมด้วย ทั้งนี้ CLSA คาดว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2/2568 จะอ่อนตัวลงทั้งแบบจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ความเชื่อมั่นในตลาดทุนยังเผชิญแรงกดดันต่อเนื่อง
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator) เปิดเผยว่า ต้องยอมรับว่าความเคลื่อนไหวทางการเมืองมีผลกระทบต่อการลงทุนอยู่มาก โดยเฉพาะในระยะสั้นนี้เรื่องนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยิ่งเป็นที่จับตามอง
เพราะเมื่อไม่มีความชัดเจน ไม่มีความแน่นอน ย่อนส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการลงทุน มันสะท้อนต่อเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่กองทุนต่างประเทศให้ความสนใจค่อนข้างมาก เนื่องจากกองทุนย่อมเลือกในประเทศที่มีเสถียรภาพ ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นไทยว่าไทยก็เป็นอีกประเทศที่กองทุนต่างชาติเลี่ยงลงทุน
ในเรื่องของการเมืองนั้น ส่วนตัวมองว่าด้วยรัฐบาลประเทศไทยใช้พรรคร่วม ไม่ใช่คะแนนเสี่ยงจากพรรคเดี่ยวทำให้ต้องอ้างอิงจากเสียงโหวตของพรรคอื่นๆ ร่วมด้วย ทำให้มีผลกระทบต่อเสียงของรัฐบาล เมื่อเกิดความขัดแย้งภายในรัฐบาลผสมระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงการเปลี่ยนทางการเมือง
ต้องยอมรับว่าประเด็นเรื่องการเมืองของไทยก็เป็นหนึ่งในความสนใจในสายตาของกองทุนต่างชาติ ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามออกโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ดูเหมือนว่าฟันเฟืองเหล่านั้นไม่ได้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้เท่าที่ควรจะเห็นได้ชัดเลยว่าการอุปโภค-บริโภค ตัวเลขไม่ได้ออกมาดีนัก ประชาชนทำการค้าขายลำบาก
นอกจากนี้ ความเสี่ยงในระยะถัดไปคือเรื่องของการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันไทยได้มีการยื่นเสนอเงื่อนไขใหม่ไปแล้ว แต่ผ่านมาแล้วเกือบ 2 เดือนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้การตอบรับมา ไม่มีความชัดเจว่าท้ายที่สุดไทยจะถูกปรับขึ้นภาษีในระดับที่เท่าไหร่
แม้ว่าตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันถือได้ว่ามูลค่าหุ้น (Valuation) ไม่แพง P/E อยู่ที่ระดับ 12-13 เท่า อีกทั้งราคาหุ้น Big Cap. ตอบรับข่าวเชิงลบไปค่อนข้างมากแล้ว นอกจากนี้ งบบริษัทจดทะเบีนนส่วนใหญ่กว่า 70% ในไตรมาส 1/2568 ออกมาก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีและดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ มีเพียงสัดส่วน 30% เท่านั้นที่ออกมาต่ำกว่าคาด
แต่ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองไทยที่ยังคงมีความไม่แน่นอน รวมถึงจากปัจจัยต่างประเทศ การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ยังคงกดดันการค้าโลก ส่งผลให้ความเชื่อมั่นในการลงทุนตลาดหุ้นไทยลดลง ทำให้ตลาดหุ้นไทย ณ เวลานี้เปราะบางต่อสิ่งเล้าค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ตาม ในแง่มุมทางการเมืองหากว่าผลออกมาทั้งในเรื่องงบประมาณ รวมถึงคดีต่างๆ ออกมาไม่ได้แย่นัก การขึ้นภาษีสหรัฐฯ ต่อไทยอยู่ที่ไม่เกิน 10-15% ลดลงจาก 36% ก็คาดว่า Downside ตลาดไม่น่าจะหลุด 1,120 จุด ขณะที่แนวต้านที่มีนัยะต่อตลาดหุ้นไทยในเชิงเทคนิกที่เส้น 200 วัน อยู่ที่ระดับ 1,300 จุด P/E อยู่ที่ 14.5 เท่าEPS. 90 - 91 บาท
โฆษณา