24 พ.ค. เวลา 01:53 • หุ้น & เศรษฐกิจ

🎯 ทำไม Apple จะไม่ย้ายฐานผลิต iPhone กลับสหรัฐฯ และสงครามภาษีทรัมป์อาจเป็นแค่เกมการเมือง?

ข่าวการขู่ขึ้นภาษี 25% สำหรับ iPhone ที่ไม่ได้ผลิตในสหรัฐอเมริกาโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้จุดประกายความกังวลและคำถามมากมายอีกครั้งถึงอนาคตของ Apple และความเป็นไปได้ในการย้ายฐานการผลิตครั้งใหญ่กลับสู่แผ่นดินแม่
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากข้อมูลและการวิเคราะห์เชิงลึกแล้ว ดูเหมือนว่าการผลิต iPhone จำนวนมหาศาลในสหรัฐฯ ยังคงเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ และการขู่ขึ้นภาษีครั้งนี้อาจเป็นเพียงกลยุทธ์ทางการเมืองมากกว่าความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมอย่างแท้จริงค่ะ
เดี๋ยวแอดบิวตี้อธิบายว่ามันมีอะไรอยู่เบื้องหลังพาดหัวข่าวแรงๆ บ้างค่ะ และทำไมควรกด follow เพจนี้ไว้ด้วย เพราะ เราจะไม่รายงานข่าวเพียงอย่างเดียว แต่จะประเมินสิ่งที่อยู่เบื้องหลังข่าวนั้นให้ด้วยนั่นเองค่ะ (ส่วนจะถูกหรือผิด เป็นอีกเรื่องนะคะ แต่มีบอกเหตุผลประกอบแน่นอนค่ะ)
➡️ อย่าลืมกด follow กันไว้ด้วยนะคะ
📱ความท้าทายของการผลิต iPhone ในสหรัฐฯ: "Made in America" ที่ยังไกลเกินจริง
การย้ายฐานการผลิตหลักของ iPhone มายังสหรัฐฯ เป็นเรื่องใหญ่มากค่ะ และต้องเผชิญกับอุปสรรคสำคัญหลายอย่างที่ทำให้แนวคิดนี้ดูไม่สมเหตุสมผลในทางปฏิบัติ หรือเรียกว่าเป็น Mission Impossible เลยก็ว่าได้ค่ะ
1️⃣ ต้นทุนแรงงานที่สูงมาก: ค่าแรงในภาคการผลิตของสหรัฐฯ สูงกว่าในจีนอย่างมีนัยสำคัญ (โดยมีรายงานระบุว่าค่าแรงในจีนคิดเป็นเพียง 20% ของสหรัฐฯ และในอินเดียยิ่งต่ำกว่าคือ 3% เท่านั้น) ดังนั้นการแบกรับต้นทุนแรงงานในส่วนนี้จะทำให้ราคา iPhone พุ่งสูงขึ้นมหาศาลแน่นอนค่ะ
2️⃣ การขาดแคลนแรงงานทักษะเฉพาะทางและระบบนิเวศน์: นอกจากเรื่องค่าจ้างที่แพงแล้ว สหรัฐฯ ยังขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะทางในระดับที่จำเป็นสำหรับการประกอบ iPhone ซึ่ง Apple ต้องพึ่งพาวิศวกรหน้างานกว่า 30,000 คนในเอเชีย ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ Tim Cook ซีอีโอ Apple เคยออกมายอมรับว่าสหรัฐฯ ไม่มี
1
นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังไม่มีโรงงานขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะ (เช่น "iPhone City" ของ Foxconn ในเจิ้งโจว) หรือเครือข่ายซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนที่หนาแน่นและครบวงจรเท่าในเอเชีย แม้แต่การผลิต Mac Pro ในเท็กซัสในอดีตก็ยังประสบปัญหาในการจัดหาส่วนประกอบพื้นฐาน เช่น สกรูสั่งทำพิเศษ เลยด้วยซ้ำค่ะ
2
3️⃣ ขนาดการลงทุนและระยะเวลาที่มหาศาล: นักวิเคราะห์ประเมินว่าการย้ายกำลังการผลิตเพียง 10% ของห่วงโซ่อุปทานของ Apple มายังสหรัฐฯ อาจต้องใช้เงินลงทุนถึง 3 หมื่นล้านดอลลาร์ และใช้เวลานานถึง 3 ปี
ขณะที่การสร้างกำลังการผลิตให้เพียงพอต่อยอดขาย iPhone กว่า 60 ล้านเครื่องต่อปีในสหรัฐฯ เพียงอย่างเดียวนั้นเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่านั้นหลายเท่าค่ะ
แม้ก่อนหน้านี้ Apple จะประกาศลงทุน 5 แสนล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ ในช่วง 4 ปีข้างหน้า แต่ก็เน้นไปที่การพัฒนาชิปและการขยายองค์กร ไม่ใช่การประกอบ iPhone จำนวนมากค่ะ ซึ่ง ณ จุดนี้ดูเหมือนว่าเม็ดเงินดังกล่าวจะยังไม่ถูกใจทรัมป์ค่ะ
1
⚠️ ภาษี 25%: ไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนเกม
นักวิเคราะห์จาก Bloomberg Economics ชี้ว่ากำแพงภาษี 25% นั้นไม่เพียงพอที่จะจูงใจให้ Apple ย้ายฐานการผลิตกลับสหรัฐฯ ด้วยเหตุผลหลายอย่างค่ะ
➡️ ส่วนต่างต้นทุนที่มากกว่าภาษีหลายเท่า: ภาษี 25% สำหรับ iPhone ราคา 1,000 ดอลลาร์ จะเท่ากับ 250 ดอลลาร์ แต่มีการประเมินว่า iPhone ที่ผลิตในสหรัฐฯ อาจมีราคาสูงถึง 3,500 ดอลลาร์เลยทีเดียว
1
ทำให้ส่วนต่างของต้นทุนการผลิตระหว่างจีน/อินเดียกับสหรัฐฯ นั้นสูงกว่าภาษีที่ต้องจ่ายเยอะมากๆ ส่งผลให้การจ่ายภาษี 250 ดอลลาร์จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการแบกรับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวนั่นเองค่ะ
2
➡️ ความยืดหยุ่นของ Apple: Apple มีความสามารถในการรับมือกับผลกระทบจากภาษีได้ดีกว่าบริษัทส่วนใหญ่ ด้วยอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง แบรนด์ที่แข็งแกร่งที่เอื้อต่อการปรับราคา และขนาดธุรกิจที่ใหญ่มาก
ความได้เปรียบทั้งหมดนี้ทำให้ Apple สามารถบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน เจรจาต่อรองกับซัพพลายเออร์ หรือผลักภาระบางส่วนไปยังผู้บริโภคได้
1
ดังนั้นแทนที่จะเลือกย้ายฐานการผลิตซึ่งมีต้นทุนสูงกว่ามาก Apple น่าจะเลือกเร่งกระจายฐานการผลิตไปยังภูมิภาคอื่นที่มีต้นทุนต่ำกว่า เช่น อินเดียและเวียดนาม ค่ะ
🤑 กลยุทธ์ภาษีของทรัมป์: เกมการเมืองหรือ "การไถตัง”?
1
เมื่อพิจารณาถึงความเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติของการย้ายฐานผลิต iPhone กลับไปที่สหรัฐฯ และการที่กำแพงภาษี 25% ไม่น่าจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวขึ้นจริง การขู่ขึ้นภาษีของทรัมป์จึงดูเหมือนเป็นกลยุทธ์ทางการเมือง หรือการต่อรองผลประโยชน์มากกว่านโยบายที่มุ่งหวังผลลัพธ์ทางอุตสาหกรรมอย่างจริงจังนั่นเองค่ะ ตั้งแต่
1️⃣ การสร้างแรงกดดัน: การพุ่งเป้าไปที่บริษัทใหญ่อย่าง Apple (และขยายไปยัง Samsung และผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายอื่นในภายหลัง) ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนในตลาด และแสดงให้เห็นถึงอำนาจของประธานาธิบดี... ตามตำรา The Art Of The Deal ของแกนั่นแหละ
2️⃣ ประวัติการผ่อนปรน: การที่ทรัมป์เคยผ่อนปรนเรื่องภาษีให้สมาร์ทโฟนมาก่อน หลังจากนั้นกลับมาขู่ขึ้นภาษีอีกครั้ง อาจบ่งชี้ถึงความพยายามในการเจรจาต่อรองหรือเรียกร้องบางสิ่งจากบริษัทเหล่านี้ มากกว่าจะเป็นการดำเนินนโยบายที่ตายตัวค่ะ
3
ดังนั้นถ้าใครตามทรัมป์มาโดยตลาดก็จะพอรู้ว่ามันชอบขู่หรือเล่นใหญ่ไปก่อน แล้วค่อยถอยทีหลังค่ะ
1
3️⃣ ความเสี่ยงทางการเมืองในประเทศ: ยิ่งไปกว่านั้น การที่ Apple ครองส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนในสหรัฐฯ ประมาณ 60% และ Samsung อีกประมาณ 20% ทำให้ผู้ใช้สมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ในประเทศ (รวมกันกว่า 80%) เป็นลูกค้าของสองแบรนด์นี้
หากนโยบายของทรัมป์นำไปสู่การขึ้นราคาสินค้าอย่างมหาศาล (ไม่ว่าจะเกิดจากภาษีโดยตรง 25% หรือการกลับมาผลิต iPhone ในประเทศก็ตาม) นั่นจะหมายถึงการสร้างความไม่พอใจต่อผู้บริโภคชาวอเมริกันจำนวนมหาศาล ซึ่งย่อมไม่เป็นผลดีต่อคะแนนเสียงในการเลือกตั้งกลางเทอม หรือ mid-term election ในปี 2026 ที่จะถึงนี้อย่างแน่นอนค่ะ
1
ดังนั้นปัจจัยนี้ยิ่งชี้ชัดเข้าไปว่า การขู่ขึ้นภาษีอาจเป็นเพียงเกมการเมืองมากกว่าความตั้งใจจริงที่จะเห็น iPhone ผลิตในอเมริกาในราคาที่สูงลิ่วจนผู้บริโภครับไม่ได้นั่นเองค่ะ
🎯 เรื่องนี้สอนอะไรเราบ้าง
อันดับแรกเลยก็คือ ถ้าจะเป็นนักลงทุน อย่าอ่านแต่ข่าวแล้วจบค่ะ เราต้องพยายามวิเคราะห์ข่าวหาผลกระทบ ความเป็นไปได้ และเจตนาต่างๆ ก่อน โดยเฉพาะถ้าเป็นข่าวของทรัมป์ค่ะ ถ้าเราตกใจเกินเหตุ เราก็จะมองไม่เห็นโอกาสค่ะ
ตัวอย่างที่ชัดสุดๆ คือ กรณีของ US Steel กับ Nippon Steel ที่ทรัมป์ใช้อำนาจตรงๆ ให้การระงับดีลการซื้อกิจการ และสั่งชัดเจนว่าการผลิตเหล็กต้องเกิดขึ้นในสหรัฐฯ เท่านั้น และการขายให้บริษัทต่างชาติจะไม่มีวันเกิดขึ้น
สรุป... เมื่อเช้า ทรัมป์ ประกาศว่า ข้อตกลงระหว่าง US Steel กับ Nippon Steel สำเร็จเรียบร้อยแล้ว 😅
3
ดังนั้นลงทุนอย่างมีสติ แล้วสตางค์จะมาเองค่ะ
โฆษณา