24 พ.ค. เวลา 04:00 • ธุรกิจ

ถอดบทเรียนระดับโลก แก้ปัญหาศึก แท็กซี่ ปะทะ แอปฯ เรียกรถ

ถอดบทเรียนเพื่อนบ้าน-นานาชาติ หาทางออกศึกแท็กซี่ ปะทะ แพลตฟอร์มเรียกรถ Uber - Grab แก้ปัญหาด้วยแนวทางเฉพาะตัว
ไม่ใช่แค่ประเทศไทยที่ต้องเผชิญความขัดแย้งระหว่างแท็กซี่ดั้งเดิมกับบริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชันอย่างเช่น Grab หลายประเทศทั่วโลกเคยประสบปัญหานี้เช่นกันซึ่งเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แนวทางในการแก้ไขปัญหานี้มีความหลากหลายตามบริบทของแต่ละประเทศ ทั้งด้านกฎหมาย การควบคุมการแข่งขัน และการปรับตัวของภาคขนส่งดั้งเดิม
สิงคโปร์ ถือเป็นตัวอย่างของประเทศที่ให้ความสำคัญกับการแข่งขันในตลาดเป็นอันดับแรก หลังการควบรวมกิจการระหว่าง Grab และ Uber ในปี 2018 หน่วยงานกำกับดูแลการแข่งขันและผู้บริโภคของสิงคโปร์ (CCCS) ออกคำสั่งให้ทั้งสองบริษัทหยุดพฤติกรรมที่อาจลดการแข่งขัน และตั้งเงื่อนไขให้แจ้ง CCCS ล่วงหน้าหากมีแผนควบรวมในอนาคต
ล่าสุดในปี 2024 CCCS ยังสามารถระงับแผนซื้อกิจการ Trans-cab ของ Grab ซึ่งเป็นบริษัทแท็กซี่รายใหญ่รายหนึ่งของประเทศสิงคโปร์และถือเป็นผู้ให้บริการแท็กซี่รายใหญ่อันดับสามของประเทศ ได้ เพราะเกรงว่าจะทำให้ตลาดเหลือผู้เล่นน้อยลงจนกระทบผู้บริโภคโดยตรง
1
มาเลเซีย เดินหน้าปรับกฎหมายให้แพลตฟอร์มเรียกรถถูกกฎหมายอย่างเต็มตัวในปี 2017 โดยกำหนดให้คนขับต้องมีใบอนุญาตขับรถสาธารณะ (PSV) พร้อมตรวจสอบประกันภัยและความปลอดภัยอย่างเข้มงวด อีกทั้งยังเปิดการสอบสวนกรณีผูกขาดตลาดกับ Grab ในปี 2019 สะท้อนถึงความพยายามของภาครัฐในการกำกับดูแลการแข่งขันอย่างเป็นธรรม และสร้างกรอบกติกาที่เหมาะสมสำหรับผู้ให้บริการทุกรูปแบบ
ญี่ปุ่น เลือกแนวทาง “ร่วมมือแทนแข่งขัน” ในการจัดการกับบริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน โดยยังไม่อนุญาตให้มีบริการ ride-sharing เต็มรูปแบบในเมืองใหญ่ ซึ่งแตกต่างจากหลายประเทศที่เปิดกว้างให้บุคคลทั่วไปนำรถส่วนตัวมารับส่งผู้โดยสารผ่านแพลตฟอร์ม ในทางกลับกัน ญี่ปุ่นอนุญาตให้บริการผ่านแพลตฟอร์มต่างชาติทำหน้าที่เป็นเพียง “ระบบจอง” โดยจับคู่ผู้โดยสารกับแท็กซี่ที่มีใบอนุญาตตามกฎหมายเท่านั้น เพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมแท็กซี่ดั้งเดิม รัฐบาลญี่ปุ่นยังสนับสนุนให้บริษัทแท็กซี่พัฒนาแอปฯ ของตนเอง
2
เช่น JapanTaxi และ S.Ride และในบางพื้นที่ที่แท็กซี่ไม่เพียงพอ รัฐได้อนุญาตให้เริ่มทดลองใช้บริการ ride-sharing โดยกำหนดพื้นที่และช่วงเวลาชัดเจน พร้อมตั้งเงื่อนไขให้ราคาค่าบริการใกล้เคียงกับแท็กซี่ทั่วไป เพื่อไม่ให้เกิดการบั่นทอนตลาดดั้งเดิมและยังคงความเป็นธรรมต่อผู้ประกอบการทุกฝ่าย
ใน อินเดีย ความไม่พอใจของแท็กซี่ดั้งเดิมต่อ Uber และ Ola นำไปสู่การออกแนวทาง “Motor Vehicle Aggregator Guidelines” ที่บังคับให้แพลตฟอร์มลงทะเบียน เปิดเผยราคา มีประกันภัย และให้สิทธิสวัสดิการแก่คนขับ รวมถึงจำกัดค่าคอมมิชชั่นและราคาช่วงพีคไม่ให้เกิน 1.5 เท่าของราคาปกติ เพื่อป้องกันการเอาเปรียบผู้บริโภคและคนขับ
3
ข้ามมาที่ฝั่งทวีปยุโรปอย่าง ฝรั่งเศส เมื่อ Uber เข้าสู่ตลาดก็จุดชนวนให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่จากแท็กซี่ดั้งเดิม รัฐบาลตอบสนองด้วยการสั่งแบนบริการ UberPOP ที่ให้คนขับทั่วไปรับผู้โดยสารโดยไม่มีใบอนุญาต พร้อมออกกฎหมายบังคับให้คนขับ Uber ต้องผ่านการอบรมและมีใบอนุญาตเช่นเดียวกับแท็กซี่ และจำกัดจำนวนรถในบางเมือง เพื่อรักษาความเป็นธรรมในระบบ
1
ออสเตรเลีย รับมือกับผลกระทบที่ Uber เข้ามาอย่างเฉียบขาด โดยรัฐนิวเซาท์เวลส์ออกกฎหมายรับรอง Uber อย่างถูกต้อง พร้อมจ่ายค่าชดเชยสูงสุดถึง 100,000 ดอลลาร์ออสเตรเลียให้แก่แท็กซี่ที่เสียประโยชน์จากการลงทุนในใบอนุญาตบริการแท็กซี่ดั้งเดิม ขณะเดียวกันก็กำหนดมาตรฐานด้านความปลอดภัยและประกันภัยให้กับผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม
นอกจากประเด็นพิพาทระหว่างแท็กซี่และบริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชันแล้ว ใน สหราชอาณาจักร ได้สร้างแรงกระเพื่อมให้ทั้งวงการ เมื่อศาลสูงสุดมีคำตัดสินในปี 2021 ว่าคนขับ Uber ควรได้รับสถานะเป็น “ลูกจ้าง” ไม่ใช่ฟรีแลนซ์ ทำให้ Uber ต้องจ่ายค่าแรงขั้นต่ำและสิทธิประโยชน์อื่นๆ ตามกฎหมายแรงงาน การตัดสินครั้งนั้นถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในโลกของเศรษฐกิจแบบงานจ้างชั่วคราว (gig economy) และเปิดประตูสู่การทบทวนสถานะของแรงงานในแพลตฟอร์มอื่นๆ ด้วย
เมื่อพิจารณา ประเทศไทย จะเห็นว่า สนามบินสุวรรณภูมิกลายเป็นสมรภูมิย่อยระหว่างแท็กซี่ดั้งเดิมกับบริการผ่านแอปพลิเคชัน ความขัดแย้งดังกล่าวนำไปสู่การเรียกร้องให้ย้ายจุดบริการแกร็บออกจากพื้นที่สนามบิน โดยแท็กซี่ให้เหตุผลว่ารายได้ลดลง ไม่สามารถแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม ขณะที่ภาครัฐโดยกรมการขนส่งทางบกและ ทอท. ยืนยันนโยบายให้ทุกบริการอยู่ร่วมกันได้ภายใต้กฎระเบียบเดียวกัน
เสียงสะท้อนจากแท็กซี่ดั้งเดิมสะท้อนถึงภาระต้นทุนที่สูงกว่าหลายเท่า เช่น ค่าผ่อนรถ ค่าใบอนุญาต ค่าเครื่องแบบ และประกันภัยที่แพงกว่าแพลตฟอร์ม ทำให้เกิดข้อเสนอจากภาคแท็กซี่ให้รัฐเร่งออกมาตรการกำหนดมาตรฐานการแข่งขัน เช่น การบังคับใช้ใบขับขี่สาธารณะ การกำหนดเครื่องหมายระบุประเภทบริการ และการควบคุมค่าประกันให้เท่าเทียม
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เห็นชัดจากกรณีศึกษาทั่วโลกคือ ไม่มีคำตอบเดียวที่ใช้ได้กับทุกประเทศ แต่ทุกที่ล้วนต้องเลือก “จุดสมดุล” ระหว่างนวัตกรรม เทคโนโลยี และความยุติธรรมในระบบขนส่งสาธารณะ
ในยุคที่ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น การสร้างกฎที่เป็นธรรมและทันสมัย ไม่ใช่แค่ช่วยรักษาเสถียรภาพของระบบขนส่ง แต่ยังช่วยส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนพัฒนาไปพร้อมกันได้อย่างยั่งยืน
โฆษณา