25 พ.ค. เวลา 02:00 • ประวัติศาสตร์

ยักษ์ไอริช คือใคร? แล้วเขาขออะไรก่อนตายที่ทำให้เราต้องคิด

ในหน้าประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีความจริงหนึ่งที่เรามักไม่กล้าพูดถึงตรง ๆ นั่นคือ…ความก้าวหน้า หลายอย่างที่เราเห็นในวันนี้ ไม่ได้เกิดจากความร่วมมือหรือจริยธรรมอันสูงส่งเสมอไปแต่บางครั้ง มันเริ่มต้นจาก การเอาเปรียบมนุษย์ด้วยกันเอง
ไม่ว่าจะเป็นการทดลองโดยไม่บอกกล่าว การใช้ร่างกายของผู้ที่ไม่มีเสียงในสังคม หรือแม้แต่การขโมยศพเพื่อใช้ในการศึกษา
1
เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นจริง ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในอดีต—และมักจะพูดว่าเป็นการทำ “เพื่อความรู้” หรือ “เพื่อมนุษยชาติ”
หนึ่งในเรื่องราวที่โด่งดังมากที่สุดเรื่องนึงในวงการแพทย์ คือชีวิตและความตายของชายคนหนึ่งที่โลกจดจำเขาในชื่อ “ชาร์ลส์ เบิร์น” หรือ “ยักษ์ไอริช” (The Irish Giant)
1
เขาเป็นผู้มีร่างกายใหญ่โตผิดมนุษย์ทั่วไป จนกลายเป็นคนดังในลอนดอนยุคศตวรรษที่ 18 และในขณะเดียวกัน ร่างกายของเขาก็กลายเป็น “ของล้ำค่า” ที่คนในวงการแพทย์หลายคนอยากครอบครอง…ไม่ใช่ขณะที่มีชีวิต แต่ หลังจากเขาตาย
แม้ว่า ชาร์ลส์ เบิรน์จะขอร้องว่าเมื่อเขาตายไปแล้ว ขอให้ร่างของเขาได้หลับใหลอย่างสงบใต้ทะเล แต่สุดท้ายร่างของชาร์ลส์กลับถูกขโมย ถูกต้มแยกกระดูก โดยหมอที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดา ของศัลยกรรมยุคใหม่ ไม่เพียงเท่านั้นร่างกายเขายังถูกนำไปจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์และดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ไปเยี่ยมชม (รวมถึงตัวผมเองด้วย) นานกว่าสองร้อยปี
ชาร์ลส์ เบิร์น เกิดในปี ค.ศ. 1761 ทางตอนเหนือของไอร์แลนด์ ชื่อเดิมของเขาคือชาร์ลส์ โอไบรอัน (Charles O'Brien) โดยช่วงที่เขามีชีวิต เขาไม่รู้ตัวเลยว่าสาเหตุที่เขาตัวสูงใหญ่ผิดมนุษย์ทั่วไป เป็นเพราะเขาป่วยเป็นโรคเนื้องอก (ที่ไม่ใช่มะเร็ง) บริเวณต่อมใต้สมอง (pituitary gland) ทำให้ร่างกายเขาผลิตฮอร์โมนการเจริญเติบโตมากผิดปกติ ภาวะนี้ในปัจจุบันเรียกว่า “ไจแกนทิซึม” (gigantism) และรักษาให้หายได้ แต่ในยุคนั้นแม้แต่หมอ ก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่า เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเขา
2
เมื่ออายุได้ 21 ปี เบิร์นก็ย้ายมาที่กรุงลอนดอน และไม่นานนักเขาก็กลายเป็น “ดาวเด่น” ของสังคมด้วยร่างกายที่สูงใหญ่กว่า 230 ซม. เรื่องราวของเขาถูกเขียนถึงในหน้าหนังสือพิมพ์ คนจ่ายเงินแห่กันมาดูเพื่อจะได้เห็นเขาตัวเป็นๆ แต่เบื้องหลังชื่อเสียงเหล่านั้น สุขภาพของเบิร์นกลับเริ่มย่ำแย่ลงอย่างรวดเร็ว และในที่สุด เขาเสียชีวิตในปีถัดมา เมื่ออายุเพียง 22 ปี
สาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยโรคนี้ในสมัยก่อน มักเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยทั้งหมดเกิดจากการที่มีร่างกายสูงใหญ่เกินไป ตัวอย่างเช่น การมีฮอร์โมน growth hormone ที่มากไปเป็นเวลานานๆ ทำให้ เกิดภาวะหัวใจที่โตผิดปกติ ซึ่งนำไปสู่ภาวะอื่นๆ ต่อ เช่น ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นผิดจังหวะ และสุดท้ายอาจจะนำไปสู๋ภาวะหัวใจล้มเหลว
นอกจากหัวใจแล้ว ทางเดินหายใจก็ผิดปกติได้ เช่น การเเจริญเติบโตของ ลิ้น กล่องเสียง ที่มากไป ทำให้ ทางเดินหายใจแคบลง จนเกิดการ หยุดหายใจขณะหลับ หรือ sleep apnea เรื้อรังได้ หรือบางคนอาจจะมีความผิดปกติของผนังทรวงอก ทำให้ปอดขยายตัวได้ไม่ปกติ
โครงสร้างกระดูกและข้อต่อของผู้ป่วยก็ต้องรองรับน้ำหนักตัวที่มากเกินปกติ ทำให้เกิด ข้อเสื่อมเรื้อรัง ปวดหลัง หรือแม้กระทั่ง กระดูกสันหลังคด ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวและคุณภาพชีวิตในระยะยาว
ฮอร์โมนที่ผิดปกติระยะยาว ยังมีผลต่อระบบเผาผลาญ ทำให้เพิ่มความเสี่ยงของ เบาหวานชนิดที่ 2 ภาวะดื้อต่ออินซูลิน และ กลุ่มอาการเมตาบอลิก (metabolic syndrome) ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคร้ายแรงอื่น ๆ อีกมากมาย
ในช่วงท้ายก่อนที่เบิรน์จะเสียชีวิต ความโด่งดังและโอกาสหาเงินของเขาก็ถูกท้าทายด้วย ฝาแฝดไอริช ที่ชื่อ Patrick แะละ Henry Knipe ซึ่งแม้ว่าพวกเขาจะไม่สูงเท่าเบิรน์แต่ความเป็นฝาแฝดก็ช่วยให้โด่งดังยิ่งกว่า
1
และที่เลวร้ายสุดคือ เงินเก็บทั้งหมดที่เขาหาได้ช่วงที่มีชื่อเสียง ถูกขโมยไปหมดในครั้งเดียว
เหุตผลเป็นเพราะในสมัยนั้น (ปลายศตวรรษที่ 18) ระบบธนาคารยังไม่พัฒนาเท่าทุกวันนี้ คนส่วนมากไม่มีบัญชีธนาคารแบบเรา คนทั่วไปจึงมักเก็บเงินที่มีไว้กับตัว และหลายครั้งก็มีคนที่นำเงินทั้งหมดที่มีไปแลกเป็นธนบัตรใบเดียว โดยเชื่อว่าปลอดภัยกว่าเก็บเงินเป็นเหรียญหรือเงินย่อยๆ ที่พกไปไหนยาก และเสี่ยงจะสูญหายหากไม่เก็บไว้กับตัว
เบิรน์ก็ทำเช่นเดียวกันคือ นำทรัพย์สินที่มีอยู่ทั้งหมดไปแลกเป็น ธนบัตรใบเดียว มูลค่า 700 ปอนด์ (ซึ่งถือว่าเป็นเงินก้อนใหญ่มากในยุคนั้น – เทียบได้กับเงินหลักล้านบาทในปัจจุบัน) แล้วก็พกธนบัตรนั้นติดตัวไปดื่มเหล้าในผับ แล้วในช่วงที่เมาก็คงไม่ได้ระวัง จึงถูกขโมยธนบัตรใบนั้นไป
1
เหตุการณ์นี้ทำให้เบิร์น ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าอย่างรุนแรง เขาดื่มเหล้าหนักขึ้นกว่าเดิม จนร่างกายเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว จนใครๆ รวมถึงตัวเขาเองก็พอมองออกว่า อีกไม่นานเขาน่าจะเสียชีวิต
และเป็นช่วงเวลานี้เอง ที่บรรดาหมอและนักกายวิภาคต่างเริ่ม “วนเวียน” อยู่รอบๆตัวเขาบ่อยครั้งขึ้น โดยต่างก็หวังจะครอบครองร่างกายของเขาหลังเสียชีวิตเพื่อนำไปศึกษา
ในศตวรรษที่ 18 การศึกษาทางการแพทย์ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น การหาศพมนุษย์เพื่อศึกษาทางกายวิภาคถือเป็นสิ่งมีค่า และหายาก กฎหมายก็ยังไม่เปิดกว้างให้นำศพมาใช้เพื่อการวิจัยหรือการเรียนการสอน
ด้วยเหตุนี้ ศพของมนุษย์ที่มีลักษณะแปลกจึงเป็นของที่มีราคาที่หมอและนักกายวิภาคหลายคนต้องการ
ช่วงท้ายของชีวิตเบิรน์ มีหมอและนักกายวิภาคหลายคนพยายามติดต่อเขา เพื่อจองศพล่วงหน้า บางคนเสนอเงิน บางคนพยายามตีสนิท บางคนพยายามเกลี้ยกล่อมหรือข่มขู่
ในสายตาของเบิร์น เขามองว่าคนเหล่านี้ไม่ต่างจากนกแร้งที่บินวนเวียนรอคอยความตายของเขา และหนึ่งในนั้นคือ หมอ จอห์น ฮันเตอร์ ศัลยแพทย์ทีมีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของยุค และเป็นหนึ่งในคนที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของวิชาศัลยแพทย์ยุคใหม่ เขาสะสมศพที่แปลกไว้มากมายถึงขนาดสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวเพื่อแสดงสิ่งผิดปกติทางชีววิทยาให้คนเข้ามาชมและศึกษา
1
และด้วยความกลัวว่าเมื่อเขาตายไปแล้วศพของเขาจะถูกปฏิบัติอย่างไม่เคารพ เขาจึงขอร้องเพื่อนของเขาว่า เมื่อเขาตายไปแล้ว ให้บรรจุศพของเขาในโลง แล้วถ่วงด้วยหินก่อนทิ้งลงไปในทะเลไม่ให้ใครเข้าถึงได้
แต่ความพยายามของเขาก็ถูกหักหลัง เพราะแม้ว่าภายนอกเหมือนกับว่า ศพของเขาถูกปฏิบัติตามที่เขาต้องการ แต่ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีการค้นพบว่า ที่พิพิธภัณฑ์ของหมอจอห์น ฮันเตอร์ก็มีโครงกระดูของคนที่มีความสูงสองร้อยกว่าเซนติเมตร์ ถูกจัดแสดงอยู่ แม้ว่าจะไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า โครงกระดูกของเบิรน์ไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร แต่ก็พอจะเดากันได้ว่า หมอฮันเตอร์ คงจะจ่ายสินบนให้สัปเหร่อหรือเพื่อนของเบิรน์เพื่อขโมยศพ จากนั้นศพของเบิร์นก็ถูกนำไปต้มเพื่อลอกเนื้อ และจัดเก็บเฉพาะโครงกระดูก
5
ฮันเตอร์เก็บโครงกระดูกไว้นานหลายปีจนคิดว่าคนน่าจะลืมเรื่องของเบิรน์ไปแล้ว เขาจึงนำโครงกระดูกนั้น ออกมาจัดแสดง จนในเวลาต่อมาคือในปีค.ศ. 1799 วิทยาลัยศัลยแพทย์หลวงก็ซื้อโครงกระดูกนั้นอย่างเป็นทางการ นับแต่นั้นมา ร่างของเบิร์นก็ถูกจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์มาโดยตลอดจนเมื่อไม่นานมานี้พิพิธภัณฑ์ Huterian ก็ตัดสินใจถอดโครงกระดูกของเบิรน์ลงจากการจัดแสดง เพื่อเป็นการเคารพความต้องการของเบิรน์ที่ไม่ยินยอมให้วงการแพทย์ใช้ร่างกายของเขา (แต่ยังไม่ถึงกับนำไปทิ้งทะเล)
1
แต่ก็ไม่ใช้ว่าทุกคนจะเห็นดีด้วย เพราะตลอดมามีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการนำโครงกระดูกของชาร์ลส์ เบิร์นมาจัดแสดงมาโดยตลอด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า โครงกระดูกนี้ได้มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้วงการแพทย์เข้าใจโรค "ไจแกนทิซึม" (gigantism) และ "แอโครเมกาลี" (acromegaly) ที่เกิดจากความผิดปกติของโกรธฮอร์โมนมากขึ้น
และที่น่าสนใจคือ หนึ่งในลูกหลานที่เป็นญาติห่างๆ ของเบิรน์ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันก็ป่วยเป็นโรคนี้ (โดยไม่เกี่ยวกับกรรมพันธุ์) และก็ได้รับประโยชน์จากการที่วงการแพทย์ได้เรียนรู้โรคนี้จากโครงกระดูกของเบิรน์
เรื่องราวของชาร์ลส์ เบิร์นจึงไม่ใช่แค่ประวัติศาสตร์ของวงการแพทย์ หรือ เรื่องของชายร่างยักษ์ในพิพิธภัณฑ์ แต่เป็นเหมือนกระจกสะท้อนให้เห็นถึงสมดุลระหว่าง ความก้าวหน้าทางการแพทย์ กับเรื่องของจริยธรรม ที่ทำให้เราต้องตั้งคำถามอยู่เสมอว่าสมดุลที่เหมาะสมของแต่ละยุคสมัยนั้น ควรจะอยู่ที่ตรงไหน ?
ส่วนท้ายนี้ขอโฆษณาหนังสือหน่อยนะครับ ถ้าใครชอบเรื่องราวแนวความรู้แบบ นี้ อยากแนะนำให้อ่าน หนังสือที่ผมเขียนด้วย ปัจจุบันเขียนมาแล้ว 9 เล่ม สั่งซื้อหนังสือแบบร้านค้า official พิมพ์ค้นหา "Chatchapolbook" หรือกดที่ลิงก์ด้านล่างนี้ได้เลยครับ
💚 Line My Shop : https://bit.ly/3FvsFav
โฆษณา