🔥 Passion อย่างเดียว 'ไม่รอด'!
ถ้า Business Model ยัง 'ไม่ชัด' คุณอาจแค่เผาเงินเล่น...แบบไม่รู้ตัว 💸🔥
"ไอเดียดีครับ!"
"ทีมเรามี Passion เต็มร้อย!"
"เรารู้จักลูกค้าอินไซต์ทะลุปรุโปร่ง!"
นี่คือสามประโยคฮิตที่กรรมการในงานประกวดสตาร์ทอัพหรือโครงการบ่มเพาะได้ยินจนเบื่อ และก็มักตามมาด้วยคำถามว่า "แล้วจะหาเงินจากมันยังไง?"
คำถามนี้ไม่ใช่คำถามใจร้าย แต่มันคือคำถามที่ช่วยคัดกรองว่า "Passion นั้น จะกลายเป็นธุรกิจที่รอด หรือแค่โปรเจกต์ที่ร่วง" หรือแย่กว่านั้น...อาจกลายเป็นแค่ "ฝันกลางวันราคาแพง" ที่ไม่มีวันคืนทุน
====
🚫 Passion ล้น แต่ไม่มีทางไป: ทำไมของดีจึงเจ๊งได้?
เพราะของดี "อย่างเดียว" ไม่พอ ถ้ามันดีแต่ไม่มีคนจ่าย หรือดีแต่ไม่คุ้มต้นทุน คุณจะเป็นแค่ creator ที่มี content แต่ไม่มี cash
ตัวอย่าง เช่น
* แพลตฟอร์มรวม Podcast เพื่อการเรียนรู้ ลงทุนสร้าง UI/UX อย่างดี ใช้เงินทุนรอบ Seed เกือบ 10 ล้านบาท มี user หลักหมื่น แต่ไม่มีใครยอมจ่าย subscription เพราะผู้ใช้เสพฟรีจาก YouTube และ Spotify ได้อยู่แล้ว
* สตาร์ทอัพด้านสุขภาพจิตที่ Passion ล้น อยากเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คน แต่ไม่มีโมเดลเก็บเงินใดๆ ที่ใช้งานจริงได้ สุดท้ายต้องปิดกิจการเพราะ burn cash ต่อไม่ได้
* นักศึกษาไทยกลุ่มหนึ่งทำแอปอาสาเก็บขยะ คอนเซปต์ดี ทีมไฟแรง แต่พอถามว่าใครจ่ายเงินให้ระบบนี้? ใครคือคนซื้อหลัก? ไม่มีคำตอบ
“Passion ไม่ได้เลี้ยงทีมได้เสมอ ถ้ามันไม่ convert เป็นรายได้ 💔”
====
⚠️ กับดักที่นักฝันมองข้าม “Passion-centric แต่ Profit-blind”
1. “ทดลองเรื่อยๆ ไม่มีเป้าหมาย” MVP ที่ดีต้องมี hypothesis ทางธุรกิจ ไม่ใช่แค่ฟีเจอร์เจ๋งๆ เพื่อ test ตลาดไปเรื่อย — คุณไม่ได้ทำ science project แต่กำลังสร้าง business
2. “ทุ่มพลัง pitch แต่ไม่รู้ตัวเลข” นักลงทุนไม่ได้เชื่อ story เขาดู path-to-profit เสมอ ถ้า slide ของคุณมีแต่ quote จากลูกค้า แต่ไม่มี CAC-LTV หรือแม้แต่ revenue model ที่ชัดเจน มันคือ red flag 🚨
3. “อินกับ insight จนมองข้าม reality” Insight อาจ real แต่ถ้า user ไม่จ่าย ไม่ scale ได้ มันคือ market illusion
4. “มอง user = customer” หลายทีมมี user เยอะ แต่คนจ่าย (Customer) คืออีกกลุ่ม (เช่น HR หรือองค์กร) ซึ่งไม่ได้ถูก validate เลย — นี่คือ blind spot ที่เจอบ่อยมาก!
5. “คิดว่าใช้เวลานานแล้วต้องได้ดี” บางทีสิ่งที่ทำมานาน ไม่ได้แปลว่าใกล้ความสำเร็จ แต่อาจแค่เดินผิดทางแต่ลึกเกินกว่าจะย้อนกลับ
====
🧠 กรรมการและ Mentor ก็ต้องรับผิดชอบคำแนะนำของตัวเอง
เราเห็นเวทีประกวดมากมาย ที่กรรมการเป็นอาจารย์มหา'ลัย นักวิชาการ หรืออดีตลูกจ้างที่ไม่เคยสร้างธุรกิจจริงด้วยเงินตัวเอง — และที่สำคัญ ไม่เคย “เอาเงินตัวเองลง” ไม่เคย “เจ็บจริง” ในสนามจริง
การสอนให้ "เชื่อในฝัน" โดยไม่มี accountability ต่อชีวิตของคนที่ทำตามฝันนั้น คืออันตรายรูปแบบหนึ่ง 🧨
เตือนผู้ที่จะแนะนำในเวทีประกวด — ด้วยความเคารพและความรับผิดชอบ
* ก่อนจะบอกน้องว่า "ทำต่อเลย ไอเดียดีมาก" คุณต้องถามตัวเองว่า...ถ้าวันนี้เป็นเงินของคุณเอง คุณจะกล้าลงไหม? 👛
* ถ้าคุณไม่เคยขายของเอง ไม่เคยตื่นมากลางดึกเพราะเงินเดือนพนักงานยังไม่ครบงวด ไม่เคยวิ่งหาเงินสดปิดรอบบัญชี หรือไม่เคยผ่านการโดนลูกค้ายกเลิกดีลในวันสุดท้าย — โปรดอย่าแนะนำให้ใครกระโจนเข้ามา โดยไม่มี safety net 🛟
* เพราะความเสี่ยงในโลกธุรกิจ “ไม่ได้อยู่บนกระดาษ” และไม่ได้มีปุ่ม Undo เหมือนใน Excel
คนที่มีแต่ทฤษฎีจาก textbook หรือวิเคราะห์บนกระดาษ excel อาจไม่เข้าใจเลยว่า...ความเสี่ยงจริงๆ ของชีวิตเจ้าของธุรกิจนั้นหนักหนาแค่ไหน โดยเฉพาะเมื่อมันเกี่ยวข้องกับ “บ้านที่ต้องผ่อน”, “เงินเดือนที่ต้องจ่าย” และ “ทีมที่รอความหวังจากผู้นำ”
📌 ถ้าคุณคือ Mentor หรือกรรมการในเวทีต่างๆ จงเป็นผู้นำทางที่มีทั้ง “ใจ” และ “เท้า” ที่เคยเดินมาก่อน ไม่ใช่แค่คนที่ยืนอยู่ข้างสนามแล้วพูดว่าสนามนี้เล่นไม่ยาก
====
🧩 Passion + Model = เครื่องยนต์ที่ทำให้ฝันวิ่งได้นาน 🛠️🔥
"อย่าปล่อยให้ความฝันกลายเป็นแค่งานอดิเรกราคาแพง ต้องมี Model ที่ต่อท่อสู่รายได้ด้วย"
Framework ที่เอาไว้ชวนคิด “P-L-V Fit” ถูกออกแบบมาเพื่อให้ทีมผู้ประกอบการหรือนักพัฒนา Product หยุดคิดให้ครบ 'หัวใจ' ของการทำธุรกิจที่ไปได้ไกลกว่า Demo Day และไปได้ไกลกว่าคำว่า Passion เพียงอย่างเดียว
* P = Passion: อินพอจะลุยยาว? คำถามคือ...คุณจะยังตื่นมาทำมันทุกวันไหม ถ้าไม่มีใครเชียร์ ไม่มีคนแชร์ ไม่มีใครยกย่อง? Passion ที่ดีไม่ใช่แค่แรงบันดาลใจในวันที่ได้รางวัล แต่ต้องเป็นพลังที่ยังอยู่แม้จะโดนลูกค้าปฏิเสธซ้ำๆ หรือต้องรีบ pivot ซ้ำไปซ้ำมา
* L = Logic: มี logic ทางการเงินไหม? cost/price/margin ตอบได้มั้ย? อย่ารอให้มีรายได้ก่อนค่อยคิดเรื่องต้นทุน — ทีมที่ดีต้องเริ่มจากการรู้ว่า “ของเราราคานี้ เพราะอะไร?” ถ้าขายชิ้นละ 200 แต่ต้นทุนอยู่ที่ 300 แบบไม่รู้ตัว นั่นคือจุดเริ่มต้นของจุดจบ ไม่ต้องเขียน business plan แพงๆ — ขอแค่ตอบ 3 คำนี้ได้ชัดเจน: ใครจ่าย, จ่ายเท่าไร, แล้วเรากำไรหรือยัง?
* V = Viability: ตลาดใหญ่พอหรือเปล่า? scale ได้หรือไม่? บางไอเดียแม้จะดีจริง แต่ตลาดเล็กเกินไป ทำให้ไปต่อไม่ได้ หรือบางตลาดใหญ่ แต่คู่แข่งเยอะมาก ถ้าเราไม่มีจุดต่างที่ชัดจริง ก็กลายเป็นแค่ noise ที่กลืนหายไปในตลาดนั้น — Viability ไม่ได้หมายถึงตลาดต้องใหญ่เสมอไป แต่มันหมายถึง “ตลาดนี้พอที่จะทำให้คุณมีรายได้ ยั่งยืน และโตต่อได้”
💡 ใช้ P-L-V Fit เป็นเหมือน “กรอบการซักซ้อมรบ” ก่อนลงสนามจริง ถ้าตอบ 3 มุมนี้ได้ครบ — คุณไม่ได้แค่มีฝัน แต่มีเข็มทิศและแผนที่ในมือด้วย
====
✊ ถึงเวลาเปลี่ยนวิธีคิดในวงการ Startup
❌ เลิกถามว่า “อินไหม?” อย่างเดียว
✅ เริ่มถามว่า “จะทำเงินได้ยังไง?” พร้อมกันตั้งแต่วันแรก
❌ เลิกตั้ง KPI ว่ามีคนแชร์ มีคนโหลดเท่าไร
✅ เริ่มตั้งว่า CAC, LTV, ROI มัน positive เมื่อไร?
❌ เลิกเชิดชูแค่การเล่า story ที่ดี
✅ เริ่มให้ค่ากับ business story ที่สร้าง margin จริง
และที่สำคัญ…
❌ เลิกสนใจแค่ traction ที่ดูดีบนเวที
✅ เริ่มสนใจว่า traction นั้นมีกี่ % ที่กลายเป็นรายได้จริง
====
🚀 “ฝันอย่างเดียวไม่พอ ต้องวางรากฐานให้รอด”
อย่าให้ไอเดียกลายเป็นแค่ power point ที่ดี แต่ไม่มี power ในตลาดจริง
อย่าให้ Passion ที่ลุกโชน กลายเป็นแค่เปลวไฟที่หมดไปพร้อมเงินทุนก้อนแรก
และอย่าให้คำแนะนำของใครที่ไม่เคยเจ็บจริง...มาทำให้คุณ "ล้ม" ในสนามจริง
โลกธุรกิจไม่โหดร้ายกับคนฝัน...แต่โหดกับคนที่ไม่วางแผนให้ฝันนั้นรอด 🧠📉💼
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#ฝันดีต้องมีทางรอด
#StartupWithModel
#Pitchแล้วต้องคิดPathToProfit
#กรรมการต้องมีใจและมีประสบการณ์จริง
#Passionต้องต่อท่อสู่รายได้
#ฝันดีแต่ไม่ scale = ร่วงจริง
#Mentorที่ดีต้องมีความจริงอยู่ในมือ
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
