25 พ.ค. เวลา 08:23 • หุ้น & เศรษฐกิจ
✴️[สรุป] MD&A – OppDay : Q1/2025
🏢บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) : SABINA
📈ผลการดำเนินงาน ไตรมาสที่ 1/2025
📊รายได้รวม : 845 ล้านบาท (ลดลง 7% YoY) ยอดขายติดลบเป็นไตรมาสแรกตั้งแต่ปี 2021 เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี และนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง
🔹 ช่องทางขายหน้าร้าน : 485 ล้านบาท (ลดลง 11% YoY) คิดเป็นสัดส่วน 58% จากรายได้รวม / ปัจจุบัน ‘SABINA’ มีจุดขายในห้างสรรพสินค้า 84 จุด ในร้านค้าปลีกสมัยใหม่ 278 จุด มี Shop 90 จุด ในร้านค้าปลีกดั้งเดิม 64 จุด
🔹 ช่องทางขายออนไลน์ : 304 ล้านบาท (ทรงตัว YoY เพิ่มขึ้นนิดหน่อย) คิดเป็นสัดส่วน 36% จากรายได้รวม / มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นทุกปี
🔹 รับจ้างผลิต (OEM) : 52 ล้านบาท (ลดลง 2% YoY) คิดเป็นสัดส่วน 6% จากรายได้รวม
📊ต้นทุนขาย : 400 ล้านบาท (ลดลง 12% YoY)
📊กำไรขั้นต้น : 442 ล้านบาท (ลดลง 1% YoY), GPM = 52.50% เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ที่ 49.50%
📊ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร : 316 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 8% YoY), SG&A to Sale = 37.40% เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ที่ 32.40%
📊กำไรสุทธิ : 103 ล้านบาท (ลดลง 16% YoY), NPM = 12.20% ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ที่ 13.50%
🟢[สรุป] OppDay : Q1/2025
🎙️การที่ต้นทุนขายต่ำลง GPM สูงขึ้น รวมถึง SG&A to Sale สูงขึ้นนั้นเกิดจากการปรับโครงสร้างในภาคการผลิต เช่น คลังสินค้า ภาคการขนส่ง ฝ่ายออกแบบ และการทำโปรโมชั่น จากเดิมที่โครงสร้างดังกล่าวทั้งหมดอยู่ในส่วนของต้นทุนโรงงาน
แต่ตอนนี้เราอยากเห็นต้นทุนการผลิตที่มันสัมพันธ์กันไปจนถึงด้านบัญชี เราจึงดึงเอาค่าใช้จ่ายในส่วนนี้มาไว้ที่ ‘SG&A’ ส่งผลให้ตัวเลขสูงขึ้นและต้นทุนขายต่ำลง การทำเช่นนี้จะให้ภาพชัดเจนขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขัน เช่น การต่อรองราคานำเข้าวัตถุดิบต่างๆได้ดีขึ้น
🎙️อีกส่วนที่ส่งผลต่อกำไรสุทธิในไตรมาสนี้คือ สภาพเศรษฐกิจแย่ อันที่จริงเราคาดการณ์ไว้ว่า GPM = 54% / SG&A to Sale = 35% ที่จะได้มาจากการปรับโครงสร้างข้างต้น แต่พอสภาพเศรษฐกิจแย่ ทำให้ยอดขายไม่มา เลยต้องทำการตลาดมากขึ้น ให้ส่วนลดสินค้ามากขึ้น
ส่งผลให้กำไรขั้นต้นต่ำลงกว่าที่คาดไว้ เรื่องค่าใช้จ่ายทางการตลาดเราก็ระมัดระวังมากแล้ว เราทราบดีว่าเศรษฐกิจตอนนี้เป็นอย่างไร เราพยายามใช้เงินให้คุ้มค่ามากที่สุด แต่สุดท้ายยอดขายยังไม่มาตามที่หวังไว้ ส่งผลให้ SG&A to Sale สูงขึ้น
🎙️ยอดขายที่ลดลงนั้นเกิดจากผลกระทบทางเศรษฐกิจภายในประเทศส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเกิดจากนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง ลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติของ ‘SABINA’ เพิ่มขึ้นมากตั้งแต่ช่วงหลัง Covid-19 แต่ตอนนี้ลดลง
หากเทียบเฉพาะยอดขายจากนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงเวลาเดียวกันจากปีที่แล้วนั้นลดลง 10%
ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่หายไปเกือบครึ่ง ลูกค้าที่เข้ามาทางใต้จากมาเลเซียก็ลดลง ภาพลักษณ์มาตราฐานความปลอดภัยของประเทศไทยหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวก็เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
🎙️จริงๆแล้วเราอยากเห็นการติดลบของกำไรสุทธิ ต่ำกว่าการติดลบของยอดขาย ซึ่งนั่นหมายความว่าเราบริหารจัดการได้ดี ก็คงต้องใช้เวลา ต้องปรับปรุงในส่วนนี้ต่อไปในช่วงเวลาที่เหลือของปี เดี๋ยวมาดูกันปลายปีว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร?
🎙️ปีที่แล้ว (2024) พนักงานเราลดลง 580 คน ส่วนในไตรมาสที่ 1/2025 ลดลงไปอีก 47 คน จากการคาดการณ์ทั้งปี 2025 น่าจะลดลงประมาณ 100 คน ซึ่งเกิดจากการลาออกเอง ไม่ได้จ้างออก ยิ่งพนักงานเราน้อยลงเท่าไหร่ เรายิ่งต้องเพิ่มทักษะให้กับพนักงานที่เหลืออยู่ให้สูงมากขึ้น จะได้ทำงานยากๆ ได้ราคาดีๆ
🎙️การรับจ้างผลิต (OEM) นับจากไตรมาสที่ 2/2025 นี้เป็นต้นไปน่าจะดีขึ้น ประเด็นเรื่องการขึ้นภาษีของอเมริกาไม่ได้กระทบ เพราะเราไม่มีลูกค้าจากอเมริกา แต่ก็เริ่มมีติดต่อเราเข้ามา เราจะต้องพิจารณาดีๆ เพราะกลยุทธ์หลักของ ‘SABINA’ คือ การสร้างแบรนด์ มากกว่าการรับจ้างผลิต ถ้าทำแล้วได้กำไรต่ำ ได้จำนวนมานิดๆหน่อยๆ เราไม่ทำ
🎙️การรับจ้างผลิต (OEM) ยังมองว่าเป็นโอกาสแง่บวกและผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ในไตรมาสนี้มีสัดส่วน 6% จากรายได้รวม เรากำลังพยายามทำให้ส่วนนี้กลับมาสู่จุดที่เคยเป็น ซึ่งในระยะยาวอยากให้มีสัดส่วนอยู่ที่ 10 – 12% จะสวยที่สุด ‘OEM’ คือการสร้างอนาคต ไม่ใช่ว่าขายได้วันนี้แล้วยอดขายจะเกิดเลย มันเป็นการขายล่วงหน้า 4 – 6 เดือน และลูกค้าที่เรารับนั้นไม่ได้อยู่ในตลาดที่แข่งขันกันด้วยราคาขายเท่านั้น
ลูกค้าฝั่งยุโรปที่เข้ามาหาเรานั้นไม่ได้เลือกเราจากราคาที่ถูกเป็นอันดับแรก แต่ ‘SABINA’ ขายความยั่งยืน มาตรฐานทางการผลิต เป็นคู่ค้าเชิงกลยุทธ์ เราเชื่อว่านี่จะเป็นการเติบโตอย่างยั่งยืนกว่า ในไตรมาสที่ 3 – 4 นี้น่าจะได้เห็นภาพการเติบโตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
🎙️การรับจ้างผลิต (OEM) เราส่งออกเป็นเงินปอนด์ (GBP) 70% และ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) 30% ส่งออกไปยังต่างประเทศประมาณ 80% จากการรับจ้างผลิตทั้งหมด ส่วนที่เหลือเป็นการรับจ้างผลิตภายในประเทศไทย
🎙️ช่องทางขายออนไลน์ (NSR) เริ่มเติบโตยากนิดหน่อย เพราะเทรนด์จากปีที่แล้วที่เติบโตสูงกว่าปกติ ส่งผลให้ปีนี้ดูเติบโตน้อย แต่จริงๆแล้วมันเป็นไปตามโครงสร้างเทรนด์ที่เรามองอยู่ จากการคาดการณ์ก็จะเติบโตประมาณนี้ ‘SABINA’ ยังคงเป็นอันดับหนึ่งด้านยอดขายในทุกแพลตฟอร์มออนไลน์ ยอดขายออนไลน์ไตรมาสนี้มีสัดส่วน 36% จากรายได้รวม
ซึ่งสัดส่วนที่เราคิดว่าเหมาะสมจะอยู่ที่ 35 – 40% ยังมีโอกาสอยู่ เราไม่ได้มองว่ามันจะเติบโตไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ยังทำอยู่อีกหลายโปรเจค มันโตเร็วกว่าการคาดการณ์ไปหน่อย แต่เราก็มองภาพในระยะยาวไว้เช่นนี้อยู่แล้ว ยอดขายจาก ‘TikTok’ เติบโตขึ้นเยอะมาก แต่ค่าใช้จ่ายก็โตขึ้นเยอะเช่นกัน ยังมีโอกาสอีก
🎙️สินค้าของ ‘SABINA’ นั้นเราจ้างผู้อื่นผลิตสัดส่วน 64% จากสินค้าทั้งหมด (ได้ GPM 53.50%) และผลิตที่โรงงานของเราเองสัดส่วน 36% (ได้ GPM 51.50% ส่วนใหญ่เป็นสินค้านวัตกรรม ราคาสูง)
🎙️ปี 2025 นี้ เรามองเรื่องการขยายหน้าร้าน มุ่งเน้นเพิ่มช่องทางหน้าร้านของเราเอง สิ้นปีนี้น่าจะมีประมาณ 520 – 525 หน้าร้าน ยังคาดหวังการเติบโตได้ แต่ไม่หวือหวามากมายอะไร ในไตรมาสที่ 2 นี้ เรายังมีสินค้าใหม่ๆออกมาตลอด เชื่อว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคไม่ได้หายไป แต่เกิดสภาวะการหยุดคิดและไปใช้จ่ายด้านอื่นๆแทน ไม่ใช่ไม่มีการใช้จ่ายในตลาดเลย จุดเด่นของเราคือการ ‘Collaboration’ ก็ประสบความสำเร็จ เช่นการจับมือกับ ‘หมีเนย’ และ ‘April Pool Day’ เราจะมีแบบนี้ออกมาเรื่อยๆ เพื่อขยายตลาดไปสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ๆ
🎙️ส่วนปีหน้า (2026) มองเรื่องการเปิด ‘Shop Stand Alone’ เริ่มเตรียมการในปีนี้ ช่วงเศรษฐกิจไม่ดีน่าจะต่อรองราคาได้ดี มองไว้ 10 – 15 ร้านค้า ซึ่งจะช่วยทั้งเรื่องการตลาด และการสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ให้ดีขึ้น
🎙️สินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาในไทยก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้การแข่งขันยากขึ้น แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่เข้ามากระทบยอดขาย จีนไม่ได้เพิ่งเข้ามา เขามานานแล้ว สิ่งสำคัญคือเราจะทำอย่างไรให้ลูกค้าที่เลือกใช้สินค้าเหล่านั้นหันมามอง ‘SABINA’ และเปิดใจทดลองใช้สินค้าของเรา
🎙️สำหรับตลาดเสื้อผ้าผู้หญิงในประเทศไทยนั้น ชุดชั้นในเป็นสัดส่วนเพียง 25% และ ‘SABINA’ กินส่วนแบ่งอยู่ประมาณ 13.60% เพิ่มขึ้นเรื่อยๆตลอด 3 ปีที่ผ่านมา อาจเป็นเพราะภาพลักษณ์ของเราที่เป็น ‘Top Brand’ และการกินส่วนแบ่งจาก ‘Non Brand’
🎙️สำหรับการเติบโตในต่างประเทศ เป้าหมายของ ‘SABINA’ คือการเปลี่ยนจากแบรนด์ท้องถิ่นไปสู่แบรนด์ระดับภูมิภาค ภาพปัจจุบันก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แต่หนทางข้างหน้าไม่ง่าย ในประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นฐานหลักของเรานั้นปัจจุบันมี 52 ร้านค้า สิ้นปีนี้น่าจะขยับไปใกล้ๆ 70 ร้านค้า ในปีนี้จะเน้นเรื่องการขยับขยาย ก็จะมีค่าใช้จ่ายต่างๆเพิ่มขึ้น การวางฐานรากเริ่มคงที่แล้ว ต่อจากนี้ไปคือการสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ของเราต่อคนในพื้นที่
🎙️‘SABINA’ จ่ายเงินปันผล 100% จากกำไรสุทธิมาตลอด 8 ปีย้อนหลัง ถึงแม้นโยบายการจ่ายเงินปันผลจะอยู่ที่ 40% ก็ตาม
🟩[ภาพรวม] ‘SABINA’ จากงบกำไร-ขาดทุน 12 ไตรมาสย้อนหลัง
📍การสร้างยอดขายไตรมาสละ 800 ล้านบาทและกำไรสุทธิไตรมาสละ 100 ล้านบาท ขึ้นไปน่าจะไม่ยากเย็นจนเกินไปนัก เป็นฐานที่แข็งแกร่ง ด้วยเหตุนี้รายได้ในระดับไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาทต่อปี และกำไรไม่ต่ำกว่า 400 ล้านบาทต่อปี น่าจะทำได้ อาจใช้เป็นฐานสำหรับการประเมินมูลค่าอย่างอนุรักษ์นิยมในกรณีที่อนาคตไม่เติบโต หรือไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง ว่าอย่างแย่ก็ไม่น่าจะต่ำไปมากกว่านี้จนเกินไป
📍GPM เฉลี่ยๆประมาณ 50% และ NPM เฉลี่ยประมาณ 13% ถือว่าค่อนข้างดีถึงดีมากๆ สำหรับอุตสาหกรรมนี้ ที่มีค่าใช้จ่ายการตลาดสูงมาก ซึ่ง SG&A to Sale ของ SABINA เฉลี่ยประมาณ 33%
📍กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวกทุกไตรมาส เฉลี่ยประมาณไตรมาสละ 140 กว่าล้านบาท และมีกระแสเงินสดอิสระเฉลี่ยประมาณไตรมาสละ 100 กว่าล้านบาท อาจเป็นเพราะความพยายามในการปรับโครงสร้างเพื่อ ‘LEAN’ ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในส่วนต่างๆ
📍ยอดขายของ ‘SABINA’ ตลอด 9 ปีย้อนหลัง (2016-2024) เติบโตเฉลี่ย 5% ต่อปี ก็ธรรมดาๆ ไม่แย่หรอกหากเทียบกับภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ไม่หวือหวาเลย แต่เมื่อเราลองไปดูกำไรจากการดำเนินงานและกำไรสุทธิตลอด 9 ปีที่ผ่านมานั้นเติบโตเฉลี่ยถึงเกือบ 13% ต่อปี
น่าจะเป็นผลลัพธ์จากกลยุทธ์ของผู้บริหารที่พยายาม ‘Lean’ บริษัทให้เล็กลง แต่ทำกำไรได้มากขึ้น ควบรวมโรงงาน ควบรวมหน่วยงาน ลดจำนวนพนักงาน เพิ่มทักษะพนักงาน ผลิตในโรงงานตัวเองเฉพาะสินค้าที่มีนวัตกรรมและรับจ้างผลิตให้แบรนด์ใหญ่ในยุโรป ส่วนสินค้าระดับกลาง-ล่างก็ไปจ้างต่างประเทศผลิตและส่งเข้ามาขาย “ได้กำไรมากกว่า เหนื่อยน้อยกว่า”
📍P/E เฉลี่ย ของ ‘SABINA’ ย้อนหลังเกือบ 10 ปีในตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ประมาณ 24 เท่า ขณะที่ P/E ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 13 เท่า พร้อมอัตราการจ่ายเงินปันผลหากเทียบกับกำไรสุทธิเมื่อปีที่แล้ว อยู่ที่ประมาณเกือบ 8% ต่อปี!! ขณะที่ราคาหุ้นนั้นลดลงถล่มทลายตลอดทางในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา…
ขอให้มีความสุขกับการลงทุน ในทุกๆวันนะครับ 🙂
โฆษณา