Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
aomMONEY
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
25 พ.ค. เวลา 13:30 • ไลฟ์สไตล์
คนที่คุณละเลยมากที่สุด… คือ ‘ตัวคุณในวันข้างหน้า’
ออมเงินยังไม่ได้ อาจไม่ใช่เรื่องวินัย แต่เพราะสมองเรามองตัวเองในอนาคตเหมือน ‘คนแปลกหน้า’ คนหนึ่ง
💰 เชื่อว่าหลายคนคงเคยตั้งเป้าหมายว่า “ปีนี้จะเริ่มเก็บเงินให้ได้มากขึ้น” หรือไม่ก็ “จะดูแลสุขภาพให้ดีกว่าเดิม” จริงไหม?
บางทีไม่ต้องรอสิ้นปีหรอก บางคนตั้งเป้าใหม่ตลอด แต่พอเอาเข้าจริงกลับทำไม่สำเร็จสักที ทั้งที่เราก็รู้ว่าการออมเงินหรือออกกำลังกายเป็นสิ่งดีสำหรับอนาคตของเราเอง
มันเป็นเรื่องที่แปลกดี เพราะรู้ทั้งรู้แต่ใจก็ยังเทไปข้างความสุขสบายตอนนี้ก่อน? จนบางครั้งก็แอบคิดว่านี่เรามันไม่ได้เรื่องขนาดนั้นเลยเหรอวะ? ไม่มีวินัยใจไม่แข็งพอรึไงนะ? แล้วมันมีวิธีแก้รึเปล่า? ควรไปฝึกจิตใต้น้ำตกเหมือนในหนังกำลังภายในไหม?
รอก่อนนนนนน
ขอให้อ่านโพสต์นี้ให้จบ แล้วคุณจะเริ่มเข้าใจและ (หวังว่าจะเห็นทางออก) จากปัญหาตรงนี้ด้วย
❓ ลองนึกถึงสถานการณ์เหล่านี้ดูนะ เราเคยเป็นไหม? :
* **อยากมีสุขภาพดี** แต่วันนี้ขอตามใจปากก่อน ขอจัดหมูกระทะหรือชาบูบุฟเฟ่ต์ซะหน่อย แทนที่จะเลือกสลัด ทั้งที่รู้ว่าสุขภาพอาจแย่ถ้ากินตามใจปากบ่อยๆ
* **ตั้งใจจะเก็บเงิน** เพื่ออนาคต แต่พอเงินเดือนออกมาก็มีข้ออ้างว่า *“ไว้เริ่มเก็บเดือนหน้าก็แล้วกัน”* อยู่เรื่อย
* **งานยังไม่เสร็จ** แต่ก็อยากหนีเที่ยวเสียตอนนี้ คิดว่า *“เดี๋ยวค่อยกลับมาลุยงานทีหลังละกัน”*
สถานการณ์ข้างต้นฟังดูคุ้นๆ ไหม? ถ้าใช่ ไม่ได้มีแค่คุณคนเดียวหรอกที่เป็นแบบนี้! แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้ละ?
คำตอบหนึ่งที่น่าสนใจมาจากงานวิจัยของ ฮาล เฮิร์ชฟิลด์ (Hal Hershfield) ศาสตราจารย์ด้านการตลาด การตัดสินใจเชิงพฤติกรรม และจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัย UCLA และเป็นนักวิจัยชั้นนำด้านการศึกษาตัวตนในอนาคต ผู้เขียนหนังสือ Your Future Self: How to Make Tomorrow Better Today (มีฉบับแปลไทยชื่อ “แด่ตัวฉันในวันพรุ่งนี้”)
เฮิร์ชฟิลด์อธิบายว่า สาเหตุส่วนหนึ่งที่เรายังออมเงินไม่ได้ (หรือทำเพื่ออนาคตไม่สำเร็จ) ก็เพราะสมองของเรามองว่า “ตัวฉันในอนาคต” เป็นคนละคนกับ “ตัวฉันในตอนนี้” จริงๆ (เอ้าาาาา…แล้วเราคนนั้นเป็นใครละ 555)
🧠 [ เมื่อสมองมองว่า "ตัวเราในอนาคต" เป็นคนละคนกับ “ตัวเราในตอนนี้” ]
ฟังดูเหลือเชื่อแต่มีงานวิจัยรองรับแนวคิดนี้หลายชิ้น ยกตัวอย่างการทดลองหนึ่งที่ให้นักศึกษาอธิบายมื้ออาหารของตัวเอง โดยครั้งแรกให้บรรยายอาหารมื้อที่กำลังกินอยู่ตอนนั้น และครั้งที่สองให้จินตนาการมื้ออาหารที่ตัวเองจะทานในอีกหลายสิบปีข้างหน้า
ผลคือพอนึกถึงเหตุการณ์ในอนาคตไกลๆ คนส่วนใหญ่กลับนึกภาพตัวเองจากมุมมองบุคคลที่สาม ราวกับว่าเห็นตัวเองเป็นคนอื่นในฉากนั้นเลยทีเดียว
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าอนาคตอันใกล้ (เช่นมื้อต่อไปหรือพรุ่งนี้)เราอาจจะบอกว่า “ผม/ฉัน” กินอะไร แต่พอเป็นอนาคตสัก 20-30 ปีข้างหน้า เราจะพูดว่า “เขา/เธอ” กินอะไรแทน
นอกจากนี้ งานวิจัยโดยเฮิร์ชฟิลด์เองที่ใช้การสแกนสมอง (fMRI) ยังพบว่าขณะที่ผู้เข้าร่วมทดลองคิดถึงตัวเองในอีกหลายปีข้างหน้า สมองของพวกเขามีรูปแบบการทำงานคล้ายกับตอนที่คิดถึงคนแปลกหน้าคนหนึ่ง มากกว่าจะเหมือนตอนคิดถึงตัวเอง
😓 พูดอีกอย่างก็คือ ในสายตาของเรา “ตัวเราในอนาคต” ดูเผินๆ แล้วแทบไม่ต่างจากคนอื่นที่เราไม่รู้จักนั่นเอง
เมื่อเราเผลอคิดกับ “ตัวเองในอนาคต” ราวกับเป็นคนละคนแบบนี้ ผลที่ตามมาก็คือเรามักจะเลือกทำเพื่อตัวเองในปัจจุบันก่อนเสมอ (เพราะรู้สึกใกล้ชิดกว่า) และละเลยผลประโยชน์ของตัวเองในอนาคตไปโดยปริยาย (อ๋ออออออออ)
เฮิร์ชฟิลด์เขียนไว้ว่า หากเราเห็นตัวเองในอนาคตเป็นเหมือน**คนแปลกหน้า**หรือคนไกลตัว ก็ไม่น่าแปลกใจที่เราจะไม่ค่อยอยากทำอะไรดีๆ เพื่อ “เขา” คนนั้น เช่น ไม่ยอมเก็บออมเงิน, ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินตัว, ผัดวันออกกำลังกายไปเรื่อย หรือเลือกความเพลิดเพลินตอนนี้โดยไม่สนใจสุขภาพและความเป็นอยู่ในบั้นปลายจริงๆ
ไม่ใช่ว่าเราเห็นแก่ตัวหรือขาดวินัยโดยกำเนิดหรอกนะ แต่เพราะเรา “รู้สึกไม่เชื่อมโยง” กับตัวเองที่จะต้องมารับผลของการกระทำในวันนี้ต่างหาก
“ยิ่งปฏิกิริยาในสมองแสดงให้เห็นว่าคนผู้นั้นมองตัวตนในอนาคตเหมือนเป็นคนอื่นมากเท่าใด ก็จะยิ่งมีความอดทนน้อยกว่าในการ ตัดสินใจทางการเงินเท่านั้น พูดอีกอย่างก็คือ "ความเป็นคนอื่น" ของตัวตนในอนาคต มีความเกี่ยวโยงกับการเลือกเงินจำนวนน้อยในวันนี้ แทนที่จะเลือกเงินจำนวนมากกว่าในวันหน้า”
ลองคิดดู: ถ้าเป็นคนอื่นที่เราไม่รู้จักมาขอร้องให้เราลำบากตอนนี้เพื่อช่วยเหลือเขาในอนาคต เราก็คงไม่เต็มใจเท่าไหร่
เช่นเดียวกัน ถ้าในสายตาเรามองว่า “ตัวฉันในอีก 10-20 ปี” เป็นเหมือนคนอื่น เราก็ย่อมเลือกที่จะตามใจตัวเองตอนนี้ มากกว่าจะลำบากเพื่อใครคนนั้นที่ยังไม่รู้จักดีนัก
เฮิร์ชฟิลด์ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า *“หากเราเริ่มมองตัวเองในอนาคตเหมือนคนที่เราใกล้ชิดหรือห่วงใยจริงๆ เราจะเต็มใจทำสิ่งต่างๆ เพื่อประโยชน์ของเขามากขึ้น”
⭐ กล่าวคือ ถ้าเราเห็น “ตัวเองในอนาคต” เป็นเสมือนคนสำคัญคนหนึ่งในชีวิต (คล้ายลูกหลานหรือคนที่เรารัก) เราจะตัดสินใจเพื่ออนาคตได้ดีขึ้นเอง
ที่น่าสนใจคือ มีงานวิจัยพบด้วยว่าคนที่รู้สึกผูกพันกับตัวเองในอนาคตมากๆ มักจะมีชีวิตที่ดีขึ้นในหลายมิติจริงๆ
ผลการศึกษารายงานว่าคนที่รู้สึกว่า “ตัวฉันในวันนี้” กับ “ตัวฉันในวันข้างหน้า” เป็นคนคนเดียวกันหรือคล้ายกันมาก มีแนวโน้มจะมีทรัพย์สินเงินทองสะสมมากกว่า, ประพฤติตนซื่อสัตย์สุจริตมากกว่า ตลอดจนรายงานว่ามีสุขภาพและความพึงพอใจในชีวิตโดยรวมสูงกว่าคนที่รู้สึกแยกขาดจากตัวเองในอนาคตด้วย แม้ปัจจัยอื่นๆ จะถูกควบคุมไว้แล้วก็ตาม
ชาร์ลี มังเกอร์ (Charlie Munger) หนึ่งในตำนานนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งเคยให้คำแนะนำในการใช้ชีวิตของเขาว่าให้ “เขียนคำไว้อาลัยถึงการจากไปของตัวเองแบบที่อยากจะให้มันถูกเขียนขึ้นมา แล้วก็ใช้ชีวิตตามนั้น”
พูดอีกอย่างหนึ่งคือการมองไปที่จุดจบของชีวิต ภาพกว้างๆ ว่าอยากให้คนพูดถึงเราแบบไหน เขียนมันออกมาในกระดาษ แล้วหลังจากนั้นเริ่มใช้ชีวิตแบบย้อนกลับ
คำแนะนำนี้ตอกย้ำว่า “การเห็นค่าตัวเองในอนาคต” เป็นเรื่องสำคัญต่อความเป็นอยู่ของเราจริงๆ แล้วเราจะปรับมุมมองของเราอย่างไรได้บ้าง เพื่อให้เรารู้สึกว่าตัวเองในวันข้างหน้าก็คือตัวเราคนนี้ที่ควรได้รับการดูแลไม่ต่างกัน?
🪢 [ วิธีเชื่อมโยงกับตัวเองในอนาคตให้มากขึ้น ]
เมื่อเข้าใจสาเหตุแล้ว คราวนี้เรามาดูวิธีแก้ไขหรือแนวทางปรับความคิดกันบ้าง เฮิร์ชฟิลด์ได้เสนอวิธีการไว้หลายอย่างในงานวิจัยและหนังสือของเขา ซึ่งเราสามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อให้ “ตัวเราในอนาคต” ไม่รู้สึกห่างเหินอีกต่อไป ดังนี้:
✅ นึกถึงตัวเองในอนาคตให้เหมือนคนที่คุณห่วงใย – พยายามเปลี่ยนมุมมองจากที่เคยมองตัวเองในอนาคตเป็นคนไกลตัว ให้ลองคิดถึงเขาเหมือนเป็นเพื่อนสนิท คนรัก หรือลูกหลานของเราดู
สมมติว่าคุณคุยกับ “อนาคตของเรา” ได้จริงๆ และอยากให้เขามีความสุข คุณจะยังตัดสินใจแบบเดิมอยู่ไหม?
เทคนิคนี้ช่วยให้เราเพิ่มความรู้สึกผูกพันและปรารถนาดีกับตัวเองในภายหน้า โดยงานวิจัยชี้ว่าการปรับมุมมองเช่นนี้ทำให้เรายอมทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ระยะยาวมากขึ้น แทนที่จะเห็นแก่ความสุขปัจจุบันทันทีเสมอไป
✅ ทำให้ภาพ “เราในอนาคต” ชัดเจนและใกล้ตัวขึ้น – ยิ่งเราจินตนาการตัวเองในอนาคตได้ชัดเจนเท่าไร เราจะยิ่งรู้สึกว่าอนาคตไม่ไกลเกินเอื้อมและสำคัญเท่าปัจจุบันมากเท่านั้น
มีวิธีสนุกๆ หลายอย่างที่ช่วยได้ เช่น ลองใช้แอปหรือฟิลเตอร์แต่งรูปใบหน้าของเราให้ดูแก่ขึ้นในวัยเกษียณ ดูซิว่าตอนอายุ 60-70 ปีเราจะมีหน้าตาอย่างไร แล้วลองนึกภาพคนๆ นั้นกำลังขอบคุณเราที่ดูแลเขาอย่างดีตั้งแต่วันนี้
วิจัยหนึ่งที่ UCLA พบว่าผู้เข้าร่วมที่ได้เห็นรูปตัวเองตอนแก่ (ผ่านกระจกจำลองเสมือนจริง) ตัดสินใจแบ่งเงินก้อนเพื่อเก็บออมมากกว่าคนที่ไม่เห็นรูปตัวเองในอนาคตอย่างชัดเจนถึงสามเท่า เลยทีเดียว!
ครั้งหนึ่งเคยมีโอกาสสัมภาษณ์น้องพีพี หรือ ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร นักเทคโนโลยี นักวิจัยและนักศึกษาปริญญาเอกที่ MIT Media Lab ถึงงานวิจัยหนึ่งที่น้องทำ โดยใช้ AI เพื่อสร้างตัวเราในอนาคตขึ้นมา (ผ่านการให้ข้อมูลของเราและโปรแกรมก็ไปสร้างขึ้นมา) ชื่อว่า ‘Future You’ เป็นการจำลองให้เราสามารถพูดคุยกับตัวเองในอนาคต สร้างบทสนทนาที่มีความหมายเพื่อลดความวิตกกังวลต่ออนาคตและอารมณ์ด้านลบลดลง และเพิ่มความรู้สึกเชื่อมโยงกับตัวตนในอนาคตมากขึ้น (อันนี้ก็เปิดให้ใช้ฟรีสามารถไปลองเล่นกันได้ ลิงก์ในคอมเมนต์ครับ)
บริษัทการเงินหลายแห่งก็เคยใช้เทคนิคคล้ายกัน เช่น จัดบูธถ่ายภาพให้ลูกค้าเห็นตัวเองในวัยเกษียณ เพื่อกระตุ้นให้คนตระหนักและหันมาออมเงินมากขึ้น
✅ ลองเขียนจดหมายถึงตัวเองในอนาคต (หรือเขียนจากมุมมองตัวเองในอนาคต) – การเขียนจดหมายถึง “ตัวฉันในอีก 10 หรือ 20 ปี” เป็นอีกวิธีที่ช่วยทำให้เราเชื่อมโยงกับตัวเองในวันข้างหน้าได้ดีขึ้น เพราะเป็นการสื่อสารกับตัวเองข้ามเวลาอย่างมีรูปธรรม
เฮิร์ชฟิลด์เล่าว่านักเขียนนวนิยายชื่อ แอนน์ นาโปลิตาโน เคยเริ่มเขียนจดหมายถึงตัวเองในอีก 10 ปีข้างหน้าตั้งแต่อายุ 14 และเมื่อครบสิบปีเธอก็เปิดอ่านพร้อมเขียนจดหมายฉบับใหม่ถึงสิบปีข้างหน้าต่อไป วนลูปเช่นนี้เรื่อยมา การอ่านจดหมายที่ “อดีตฉัน” เขียนถึง “ปัจจุบันฉัน” ช่วยให้เธอได้ทบทวนว่าอะไรคือคุณค่าและสิ่งสำคัญที่เธอไม่อยากให้ตัวเองหลงลืมไปตามกาลเวลา ซึ่งช่วยให้เธอเดินตามเส้นทางที่ตั้งใจได้อย่างมั่นคง นอกจากตัวอย่างส่วนตัวนี้
งานวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ก็สนับสนุนไอเดียการเขียนจดหมายถึงตัวเองเช่นกัน มีการทดลองที่ให้ผู้คนเขียนจดหมายถึงตัวเองในอนาคตไกลๆ (20 ปีข้างหน้า) พบว่าหลังจากนั้นพวกเขามีแนวโน้มจะปรับพฤติกรรมดูแลตัวเอง (เช่น ออกกำลังกาย) มากกว่ากลุ่มที่เขียนถึงตัวเองในอนาคตอันใกล้ (แค่ 3 เดือนข้างหน้า) อย่างเห็นได้ชัด
ยิ่งไปกว่านั้น การเขียนจดหมายถึงตัวเราในอนาคตหรือแม้แต่การเขียนจากมุมมอง “ตัวเราในวัย 70 ปี” เขียนย้อนกลับมาหาเราที่ปัจจุบัน ก็มีส่วนช่วยกระตุ้นให้เรามีวินัยในการออมเงินมากขึ้น และช่วยลดความวิตกกังวลต่ออนาคตลงด้วย ลองเขียนจดหมายหรืออีเมลถึงตัวเองในอีกสิบๆ ปีดูนะ (มีเว็บไซต์อย่าง FutureMe. org ที่ให้เราเขียนอีเมลถึงตัวเองในอนาคตและตั้งเวลาส่งถึงตัวเองเมื่อครบกำหนดด้วย) แล้วคุณอาจค้นพบแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการใช้ชีวิตปัจจุบันเพื่อตัวคุณในวันข้างหน้า
✅ เปลี่ยน “ความเสียสละ” ให้เป็นเรื่องง่ายขึ้น – แน่นอนว่าทุกการตัดสินใจเพื่ออนาคตหมายถึงการเสียสละความสุขสะดวกสบายบางอย่างในปัจจุบัน แต่เราสามารถใช้ลูกเล่นทางจิตวิทยาช่วยให้การเสียสละเหล่านั้นรู้สึก “เจ็บตัว” น้อยลงได้
เคล็ดลับอยู่ที่การปรับมุมมองหรือปรับวิธีลงมือเล็กน้อย เช่น แทนที่จะบังคับตัวเองว่า “ฉันต้องเก็บเงินให้ได้เดือนละ 3,000 บาท” (ฟังดูเป็นเงินก้อนใหญ่ที่ต้องตัดทอนจากการใช้จ่ายประจำเดือนสำหรับคนที่เดือนชนเดือนอยู่แล้ว)
ให้ลองเปลี่ยนเป็นเป้าหมายเล็กๆ รายวันที่ง่ายขึ้นอย่าง “เก็บเงินวันละ 100 บาท” ดูสิ วิธีนี้ทำให้เราไม่รู้สึกฝืนหรืออึดอัดมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็จะเก็บเงินได้เท่ากับเป้าหมายเดิมอยู่ดี แถมมีแนวโน้มจะทำต่อเนื่องได้ยาวกว่าอีกด้วย
จริงๆ มีงานวิจัยสนับสนุนวิธีนี้ด้วยนะ ครั้งหนึ่งนักวิจัยทดลองชวนผู้คนเปิดบัญชีออมทรัพย์โดยมีทางเลือกการออมต่างกัน: กลุ่มแรกเสนอให้เก็บ $150 ต่อเดือน, อีกกลุ่มเสนอให้เก็บ $5 ต่อวัน
ผลคือคนที่ยอมเปิดบัญชีเลือกออมเงินแบบรายวันมีจำนวนมากกว่ากลุ่มรายเดือนถึง 4 เท่า แน่ะ เพราะรู้สึกว่า 5 ดอลลาร์ต่อวันเป็นภาระที่ทำได้สบายๆ ไม่ต่างจากค่ากาแฟรายวันเลย
การปรับกรอบความคิดเช่นนี้ใช้กับเรื่องอื่นๆ ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย (“วิ่งวันละ 10 นาที” แทนที่จะตั้งเป้าใหญ่เป็น “สัปดาห์ละ 70 นาที”), การลดน้ำหนัก หรือการทำโปรเจกต์งาน (แบ่งงานชิ้นใหญ่เป็นงานย่อยรายวัน) เป็นต้น
✅ สร้างข้อผูกมัด (Commitment Devices) – สุดท้าย หากรู้ตัวว่า “ใจอ่อน” กับสิ่งล่อใจในปัจจุบันมากๆ เราอาจต้องใช้อุปกรณ์ช่วยล็อกหรือผูกมัดตัวเองล่วงหน้าไม่ให้ตบะแตกได้ง่าย วิธีนี้เรียกว่า Commitment Device
การตั้งโอนเงินอัตโนมัติไปบัญชีเงินเก็บทุกเดือนทันทีที่เงินเดือนออก (กันเงินไว้ก่อนที่เราจะมีโอกาสใช้จนหมด) หรือสมัครแผนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ/กองทุนเกษียณที่หักเงินเดือนเราอัตโนมัติ
หลายองค์กรทุกวันนี้ก็ใช้วิธี “สมัครสมาชิกการออมให้พนักงานโดยอัตโนมัติ” ตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงาน ซึ่งปรากฏว่าคนกว่า 90% ยอมเก็บเงินต่อเนื่องเมื่อระบบบังคับให้เริ่มเก็บตั้งแต่แรก (เพราะขี้เกียจ Opt-out) แทนที่จะปล่อยให้พนักงานเลือกเองแล้วสุดท้ายก็ไม่เริ่มสักที
นอกจากนี้เรายังใช้หลักการนี้กับเรื่องทั่วไปได้ด้วย เช่น อยากออกกำลังให้ได้ก็ลองนัดเพื่อนไว้ล่วงหน้าหรือจ่ายค่าเทรนเนอร์ล่วงหน้าไปเลย เพื่อจะได้ “ถอยไม่ได้” ตอนไม่มีแรงจูงใจ เป็นต้น
รวมถึงการกำจัดสิ่งล่อใจให้พ้นตัวตั้งแต่แรก เช่น ไม่ซื้อขนมกรุบกรอบมาเก็บไว้บ้านเลยถ้ารู้ว่าเดี๋ยวก็คุมตัวเองไม่อยู่ เป็นต้น
เอาละ...ถึงจุดนี้เราคงพอเห็นภาพแล้วว่า ที่จริง “ตัวเราในอนาคต” กับ “ตัวเราในปัจจุบัน” ก็คือคนคนเดียวกันจริงๆ เพียงแต่บางครั้งสมองและใจของเราทำให้รู้สึกเหมือนเป็นคนละคนกันไปเอง
โชคดีที่เราสามารถฝึกมุมมองและนิสัยบางอย่างเพื่อเชื่อมโยงตัวเองทั้งสองช่วงเวลานี้เข้าหากันได้มากขึ้น เมื่อไหร่ที่เราเริ่มนึกถึงตัวเองในวันข้างหน้าให้เสมือนเป็นคนรักหรือเพื่อนสนิทคนหนึ่ง เมื่อนั้นการตัดสินใจเก็บออมเงิน วางแผนชีวิต หรือดูแลสุขภาพก็จะไม่ใช่เรื่องฝืนใจอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นการดูแล “คนสำคัญ” ที่ชื่อว่า ตัวเราเอง นั่นแหละครับ 🎉
อ้างอิง : Your Future Self : แด่ตัวฉันในวันพรุ่งนี้
https://www.facebook.com/100063632918249/photos/1187129063418180
https://anderson-review.ucla.edu/overcoming-obstacles-to
...
https://nextbigideaclub.com/.../future-self-make.../43522
https://www.thirdplacebooks.com/book/9780316421256
https://www.businessinsider.com/charlie-munger-advised
...
https://www.cnbc.com/.../charlie-mungers-life-advice-to
...
Future You :
https://futureyou.media.mit.edu/
#aomMONEY #MakeRichGeneration #YourFutureSelf #หนังสือ #การออมเงิน
4 บันทึก
7
3
4
7
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย