26 พ.ค. เวลา 04:59 • ปรัชญา

บุคลิกภาพแบบอัตถิภาวนิยม อะไรคือชีวิต?

ในโลกที่เต็มไปด้วยระบบ ศีลธรรม กฎเกณฑ์ และเส้นทางชีวิตที่ถูกวางมาให้เดิน คนแบบอัตถิภาวนิยม (Existentialist) คือคนที่ลุกขึ้นมาถามว่า "ใครเป็นคนวางกฎเกณฑ์?" และ "ทำไมเราต้องเดินตาม?"
บุคลิกภาพแบบอัตถิภาวนิยมไม่ใช่คนแปลกแยกเพราะโลกไม่ยอมรับ แต่คือคนที่แปลกแยกเพราะ เขาไม่ยอมรับโลก แบบที่มันเป็น คนที่ตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่งแล้วพบว่าเขาไม่ได้ขอเกิด ไม่ได้เลือกชื่อ ไม่ได้เลือกพ่อแม่ ไม่ได้เลือกสังคม แต่เขากลับต้อง “มีชีวิตอยู่” ในนามของสิ่งเหล่านั้น และนั่นคือ “ภาวะถูกโยนมาอยู่ในโลก” (Thrownness) ที่ไม่มีใครหลีกพ้น
1. มุมมองต่อตนเอง: ฉันคือความว่างเปล่าที่ต้องรับผิดชอบต่อการมีอยู่ของตัวเอง
คนแบบอัตถิภาวนิยมมองตนเองไม่ใช่สิ่งที่ “มีตัวตนอยู่ก่อนแล้ว” แต่คือ ความเป็นไปได้ที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ไม่มีคำว่า “ธรรมชาติของฉันคือแบบนี้” เพราะทุกอย่างเกิดจากการเลือก และเมื่อเลือกแล้ว ก็ต้องรับผิดชอบเต็ม ๆ ไม่มีข้ออ้าง ไม่มีโชคชะตา ไม่มี “เพราะเขาทำฉันก่อน”
เขาอาจดูคล้ายคนดื้อ คนไม่แคร์สังคม คนปฏิเสธทุกกรอบ แต่ลึก ๆ แล้ว เขา “จริงจังกับชีวิต” ยิ่งกว่าคนทั่วไป เพราะเขาเชื่อว่า ไม่มีใครอยู่ข้างหลังเรา ไม่มีพระเจ้า ไม่มีความหมายสำเร็จรูป มีเพียงตัวเขาเอง กับการกระทำของเขา ที่จะเป็นหลักฐานว่าเขาเคยมีตัวตนอยู่บนโลกนี้
เขาอาจรู้สึกว่างเปล่า อ้างว้าง ไร้จุดยึด แต่เขาก็เลือกจะมีชีวิตอยู่ต่อไป เพื่อ สร้างความหมายขึ้นมาจากศูนย์ เพราะแม้จะไร้ความหมายโดยเนื้อแท้ แต่การเลือกใช้ชีวิต “อย่างมีเจตจำนง” ก็คือการผลักดันตนเองให้เป็นมนุษย์อย่างแท้จริง
2. มุมมองต่อผู้อื่น: ผู้อื่นคือกระจกเงาที่แหลกละเอียด
คนอื่นสำหรับคนแบบอัตถิภาวนิยม ไม่ใช่แค่ “อีกคน” แต่คือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในชีวิตเรา (being-for-others) พวกเขาคือสายตาที่มองย้อนกลับมาที่เราและสร้างภาพสะท้อนว่า “เราคือใคร” ในโลกนี้
แต่ปัญหาคือ สายตานั้นไม่เคยเป็นธรรม มันบิดเบี้ยว มันกดทับ มันสร้างหน้ากากให้เราใส่ จนเรากลายเป็น “สิ่งที่เขาเห็น” แทนที่จะเป็น “สิ่งที่เราเลือกเป็น”
คนแบบอัตถิภาวนิยมจึงมีความรู้สึกขัดแย้งต่อผู้อื่น เขาต้องอยู่ร่วมกับพวกเขา แต่ก็ระแวดระวังพวกเขา เพราะการยอมรับสายตาของคนอื่นมากเกินไป คือการปล่อยให้คนอื่น เขียนชีวิตเราแทนเราเอง
ถึงกระนั้น เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธความรัก มิตรภาพ หรือความสัมพันธ์ เขาเพียงแต่ต้องการให้มันเกิดขึ้นจาก อิสรภาพที่เท่าเทียมกัน ไม่ใช่จากความกลัว ไม่ใช่จากหน้าที่ ไม่ใช่จากการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์
3. มุมมองต่อโลก: โลกไม่มีคำตอบ และนั่นคือเหตุผลที่เราต้องใช้ชีวิตให้เหมือนคำถาม
โลกไม่ได้เกิดมาเพื่อเราหรือเพื่อใคร โลกในสายตาของคนอัตถิภาวนิยมคือสถานที่ที่ “ไม่มีความหมายโดยตัวมันเอง” มันคือฉากว่างเปล่า เป็นเวทีเปลือยเปล่าที่ไม่มีบท ไม่มีผู้กำกับ ไม่มีจุดจบ เราคือทั้งนักแสดงและคนเขียนบทในเวลาเดียวกัน
เมื่อโลกไม่มีคำตอบสำเร็จรูป ชีวิตจึงกลายเป็นคำถามที่ยังไม่จบ และหน้าที่ของเราคือ อยู่กับคำถามนั้นอย่างซื่อสัตย์ แม้ว่ามันจะไม่มีวันตอบได้ก็ตาม
คนแบบนี้จึงมองโลกด้วยสายตาของทั้ง การปฏิเสธ และ ความรัก ปฏิเสธเพราะไม่ยอมรับสิ่งที่โลกยัดเยียดให้โดยไม่ตั้งคำถาม และรักเพราะเชื่อว่าแม้จะไร้คำอธิบาย แต่การมีชีวิตอยู่อย่างแท้จริงก็คือ การกล้าที่จะรับผิดชอบต่อเสรีภาพของตัวเอง
เพราะฉะนั้นความว่างเปล่าที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการมีอยู่
บุคลิกภาพแบบอัตถิภาวนิยมไม่ใช่ความหดหู่ แต่คือ ความกล้าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าโลกมันไร้ความหมายในตัวเอง
เขาไม่รอพระเจ้า ไม่รอระบบ ไม่รอใครมาให้คำตอบ
เขาเดินออกจากความกลัว และยืนอยู่บนพื้นที่เปล่าเปลี่ยว เพื่อเขียนชีวิตด้วยมือตัวเอง
ไม่ใช่เพราะเขามั่นใจ แต่เพราะเขารู้ว่า ไม่มีใครอื่นที่จะทำมันแทนเขาได้
โฆษณา