26 พ.ค. เวลา 05:12 • ไลฟ์สไตล์

คุยกับเงา เงาจันทร์ในแอ่งน้ำใส เงาใจ คือโลกและปรากฏการณ์🍁

มันเป็นความจริงอยู่ว่า
...
เมื่อเราโกรธ...ความโกรธกำลังเป็นใหญ่ในใจเรา
เมื่อเราเกลียด...ความเกลียดกำลังเป็นใหญ่ในใจเรา
เมื่อเรารักเมตตา...ความรักเมตตา ก็เป็นใหญ่ในใจเรา
ยอมรับเถอะ...ว่าความจริงเป็นเช่นนี้
กฎของเงาสะท้อน...ทุกอย่างล้วนสะท้อน ออกมาจากใจ
สะท้อนอะไร สิ่งนั้นก็สะท้อนออกมา เหมือนเรากำลังคุยกับเงาตัวเอง
จงร่าเริงและเบิกบาน และยิ้มรับกับทุกปรากฎการณ์ เพราะสุดท้ายแล้วทุกอย่างต้องผ่านไปอย่างแน่นอน
ทิ้งเหตุผลไว้ข้างหลัง
รับทราบปรากฎการณ์ดั่งที่ห็น
รับทราบสายลมพัดผ่านมาเย็นๆ
รับทราบสิ่งที่เป็นด้วยใจธรรมดา
...
#คุยกับเงา
เป็นถ้อยคำที่ลึกซึ้งและงดงามมากครับ ถอดรหัสแก่นธรรมได้อย่างจับใจ และเป็นการสรุปการปฏิบัติที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแนวทางของเซนและวิปัสสนา
ข้อความที่คุณนำเสนอมานั้น ชี้ให้เห็นถึงความจริงที่สำคัญหลายประการ:
1. ความจริงของจิตที่ปรุงแต่ง
> "เมื่อเราโกรธ...ความโกรธกำลังเป็นใหญ่ในใจเรา
> เมื่อเราเกลียด...ความเกลียดกำลังเป็นใหญ่ในใจเรา
> เมื่อเรารักเมตตา...ความรักเมตตา ก็เป็นใหญ่ในใจเรา
> ยอมรับเถอะ...ว่าความจริงเป็นเช่นนี้"
>
นี่คือการยอมรับความจริงพื้นฐานว่า จิตของเรานั้นเป็นภาชนะของอารมณ์และความรู้สึก
เมื่ออารมณ์ใดเกิดขึ้น จิตก็จะถูกอารมณ์นั้นครอบงำชั่วขณะ เราไม่สามารถปฏิเสธการเกิดขึ้นของมันได้ การตระหนักรู้และยอมรับว่า "ตอนนี้ความโกรธกำลังเป็นใหญ่" หรือ "ตอนนี้ความเมตตากำลังเป็นใหญ่"
คือก้าวแรกของการมีสติปัญญา มันคือการ เห็นตามความเป็นจริง (Yathabhuta-ñana-dassana) โดยไม่ตัดสิน ไม่ปฏิเสธ ไม่ยึดติด
2. กฎของเงาสะท้อน: โลกคือภาพสะท้อนของจิต
> "กฎของเงาสะท้อน...ทุกอย่างล้วนสะท้อน ออกมาจากใจ
> สะท้อนอะไร สิ่งนั้นก็สะท้อนออกมา เหมือนเรากำลังคุยกับเงาตัวเอง"
>
ประโยคนี้ตอกย้ำแนวคิดที่ว่า โลกภายนอกที่เรามองเห็นและประสบการณ์นั้น เป็นภาพสะท้อนของสภาพจิตใจภายในของเราเอง หากจิตใจเต็มไปด้วยความทุกข์ ความขุ่นมัว โลกก็จะดูมืดมิดและเต็มไปด้วยปัญหา แต่หากจิตใจเต็มไปด้วยความสงบสุข ความเมตตา โลกก็จะดูสดใสและเต็มไปด้วยโอกาส
เรามักคิดว่าสิ่งภายนอกทำให้เราเป็นเช่นนั้น แต่ความจริงแล้ว สภาพจิตภายในของเราเองที่กำหนดการรับรู้และตอบสนองต่อสิ่งภายนอกนั้นๆ มันคือการ "คุยกับเงาตัวเอง" ในความหมายที่ว่า ปฏิกิริยาที่เรามีต่อโลก แท้จริงแล้วคือปฏิกิริยาของจิตเราที่มีต่อตัวมันเอง
3. วิถีแห่งการปล่อยวางและการอยู่กับปัจจุบัน
> "จงร่าเริงและเบิกบาน และยิ้มรับกับทุกปรากฎการณ์ เพราะสุดท้ายแล้วทุกอย่างต้องผ่านไปอย่างแน่นอน
> ทิ้งเหตุผลไว้ข้างหลัง
> รับทราบปรากฎการณ์ดั่งที่เห็น
> รับทราบสายลมพัดผ่านมาเย็นๆ
> รับทราบสิ่งที่เป็นด้วยใจธรรมดา
> ...
> #คุยกับเงา"
>
นี่คือบทสรุปของการปฏิบัติ:
* อนิจจัง (Impermanence): "ทุกอย่างต้องผ่านไปอย่างแน่นอน" คือสัจธรรมที่สำคัญที่สุด การยอมรับความไม่เที่ยงนี้ ทำให้เราปล่อยวางความยึดติดในสุขและทุกข์ได้ง่ายขึ้น
* การปล่อยวางเหตุผล: "ทิ้งเหตุผลไว้ข้างหลัง" ไม่ได้หมายถึงการไม่ใช้ปัญญา แต่หมายถึงการไม่จมปลักอยู่กับการคิดวิเคราะห์ ตีความ ตัดสิน หรือปรุงแต่งเรื่องราวต่างๆ ที่มักจะเกิดขึ้นหลังจากการรับรู้ปรากฏการณ์ เหตุผลที่มากเกินไปมักจะปิดกั้นเราจากการสัมผัสกับความเป็นจริงในขณะนั้น
* การอยู่กับปัจจุบันด้วยใจธรรมดา: "รับทราบปรากฏการณ์ดั่งที่เห็น", "รับทราบสายลมพัดผ่านมาเย็นๆ", "รับทราบสิ่งที่เป็นด้วยใจธรรมดา" คือการฝึกสติให้จดจ่ออยู่กับสิ่งตรงหน้าอย่างบริสุทธิ์ใจที่สุด "ใจธรรมดา" ในที่นี้คือจิตที่ปราศจากอคติ ปราศจากการปรุงแต่ง ไม่พยายามเปลี่ยนแปลง ไม่พยายามยึดถือ มันคือจิตที่ยอมรับและเห็นสิ่งต่างๆ ตามที่เป็นจริงในขณะนั้น
ข้อความทั้งหมดนี้เชิญชวนให้เราหันกลับมาสำรวจและจัดการกับโลกภายในของตนเอง เพราะเมื่อใจเราสงบและเห็นตามความเป็นจริงได้ ไม่ว่าปรากฏการณ์ภายนอกจะเป็นเช่นไร เราก็สามารถ "ร่าเริงและเบิกบาน และยิ้มรับ" กับมันได้เสมอครับ
ขอบคุณที่แบ่งปันถ้อยคำที่เปี่ยมด้วยปัญญาเหล่านี้ครับ
โฆษณา