26 พ.ค. เวลา 07:10 • ธุรกิจ

เมื่อเป็นคนที่ "ถูก" เลือก

"จำเป็นต้องเข้าร่วม" เมื่ออีเมลฉบับหนึ่งเด้งขึ้นมาในกล่องรับข้อความของฉัน ในเช้าวันที่สุดแสนจะธรรมดา และฉันก็กำลังเดินทางไปทำงานอย่างเช่นทุกวัน แต่ความธรรมดานั้น กลับมลายหายไปโดยสิ้นเชิง เพียงเพราะอีเมลฉบับนั้น
นาทีที่ฉันได้เห็นหัวข้ออีเมลนั้น ใจฉันรู้สึกหวั่นไหวแบบบอกไม่ถูก ตกใจ เสียใจ แต่ไม่ว่าจะรู้สึกยังไง น้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลออกมาก่อนใคร เหมือนเป็นการแสดงออกของร่างกาย และความรู้สึกว่า ที่ไม่อยากจะเชื่อว่า สิ่งนี่จะเกิดขึ้นกับตัวเอง
ก่อนหน้านั้นไม่กี่นาที บนรถไฟใต้ดินที่แน่นขนัด ฉันก็เปิดอีเมลอ่าน อ้วยความเคยชิน จากปกติที่มักจะเล่นเกมไปจนถึงสถานีปลายทาง แต่ไม่รู้ว่าอะไรดลใจวันนี้ ให้เปิดอีเมลของที่ทำงานเพื่อเช็กอีเมลดู แล้วก็พบอีเมลจากผู้บริหารใหม่ที่เริ่มเข้ามาบริหารองค์กรอย่างเป็นทางการ โดยในอีเมลดังกล่าวระบุว่า จะมีการปรับองค์กร และผู้ที่ได้รับผลกระทบ จะได้รับอีเมลโดยตรงจากทาง HR ต่อไป
และฉันผู้ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า จะเป็นคนที่มีคุณสมบัติโดดเด่น จะเป็นหนึ่งในไม่กี่คนในตลาดเมืองไทยที่ได้รับอีเมลจาก HR ในครั้งนี้
ระบบการทำงานของต่อมน้ำตาฉันทำงานได้ดีจนแทบไม่น่าเชื่อ มันไหลออกมาทันทีที่ฉันเห็นหัวข้ออีเมลนั้น และฉันก็ไม่รู้สึกอายต่อผู้คนรอบข้างอีกต่อไป
ในขณะที่รถไฟก็กำลังมุ่งหน้าไปสู่สถานีปลายทางที่ฉันจะต้องลง จิตใจของฉันยังคงปั่นป่วน ฉันจะเข้าออฟฟิศไปด้วยสภาพแบบนี้ได้จริง ๆ เหรอ
หลังจากลงรถไฟฟ้าที่สถานีปลายทาง ฉันหามุมเพื่อปล่อยให้ตัวเองปล่อยโฮอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจเดินหน้า เผชิญความจริงต่อไป
ฉันบอกน้อง ๆ ในทีม และน้อง ๆ ที่ทำงานด้วยว่า ฉันได้ "อีเมล" ล่ะ ทุกคนแทบไม่อยากจะเชื่อ บางคนยังคิดว่า ใน session ที่จะมีการพูดคุย ฉันอาจจะถูกขอให้ไปทำงานในแผนกอื่นก็ได้ แต่ตัวฉันผู้อยู่กับองค์กรนี้มานานพอสมควร ผ่านเรื่อง "ประมาณนี้" มา 2-3 รอบ ก็พอจะเดาได้ว่า ถ้าลองได้ "อีเมล" แบบนี้แล้ว ยังไงก็คงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ
วันนั้น ฉันเหมือนคนที่อยู่ในสภาวะ mental breakdown แค่มีคนทัก หรือมาแตะตัวก็น้ำตาไหลทันที แม้แต่ใน session ที่ต้องคุยกับหัวหน้าผ่าน VDO Call และ HR ที่อยู่ในห้อง ฉันพยายามเต็มที่ที่จะไม่เผยให้เห็นความอ่อนแอ แต่ช่วงท้าย ๆ มันก็ยากที่จะฮึบไว้
เอาจริง ๆ ฉันรู้สึกเหมือนโดนหักหลัง ซึ่งจริง ๆ มันคือความรู้สึกส่วนตัว ที่ไม่ได้เกี่ยวกับเหตุผลที่ฉันได้อีเมลในครั้งนี้หรอก แต่ฉันรู้สึกอย่างนั้นเพราะ ที่ผ่านมา ฉันทุ่มเทกับการทำงานอย่างเต็มที่ เรียกได้ว่า ชีวิตมีแต่งาน ถ้าไม่ทำงาน ก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าฉันจะทำอะไร และคิดเสมอว่า ถ้าเราพัฒนาตัวเองให้เป็นที่ต้องการ ยังไงเราก็จะรักษาสถานะในบริษัทได้
แต่ความเป็นจริง มันมีปัจจัยที่มากกว่านั้นสำหรับการ lay-off และเราไม่มีทางรู้ได้ว่า เหตุผลที่แท้จริงนั้น มันคืออะไร และไม่จำเป็นต้องไปหาเหตุผลด้วย เพราะสุดท้ายแล้ว เราก็เป็นคนที่บริษัท "เลือก" แล้วอยู่ดี
ปกติ การเป็นคนที่ถูก "เลือก" มักจะเป็นความรู้สึกที่ดีใช่มะ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันในครั้งนี้ มันก็ทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่า ทุกอย่างมันมีสองด้านเสมอ
และการถูก lay-off ก็ใช่ว่าจะแย่เสมอไป เพราะบางทีมันก็คือโอกาสที่จะพาเราไปสู่การเริ่มต้นใหม่ ๆ บนเส้นทางใหม่ ๆ ที่เราอาจจะคาดไม่ถึงก็ได้
และตอนนี้ ฉันกำลังคลำหาเส้นทางเส้นนั้นอยู่....
โฆษณา