26 พ.ค. เวลา 07:24 • ข่าวรอบโลก

ศาลสูงสุดอังกฤษกำลังจะตัดสินชะตากรรมของสองอดีตเทรดเดอร์ผู้โชคร้ายอย่าง Tom Hayes และ Carlo Palombo

เอาล่ะทุกคน! นี่มันไม่ใช่แค่เรื่องการเงินธรรมดานะเว้ย แต่มันคือมหากาพย์แห่งความกวนตีน ความตลกร้าย และความฉงนงงงวย ที่ศาลสูงสุดอังกฤษกำลังจะตัดสินชะตากรรมของสองอดีตเทรดเดอร์ผู้โชคร้ายอย่าง Tom Hayes และ Carlo Palombo ที่เคยถูกจับยัดเข้าคุกข้อหาปั่นดอกเบี้ย Libor และ Euribor จนเป็นข่าวใหญ่โตเมื่อหลายปีก่อน
ลองคิดดูสิไอ้พวกเรา! เหมือนกับในหนังเรื่อง "The Shawshank Redemption" ที่ Andy Dufresne ต้องต่อสู้เพื่อความยุติธรรมอันแสนริบหรี่ แต่คดีนี้มันอาจจะกวนโอ๊ยกว่านั้นเยอะ เพราะมันลึกซึ้งกว่าคดี "Post Office" ที่เป็นข่าวไปก่อนหน้านี้ซะอีก!
เรื่องมันเริ่มจาก Tom Hayes เนี่ยะ โดนตราหน้าว่าเป็น "จอมบงการ" การฉ้อโกงระดับโลก ตอนอายุ 35 แล้วก็โดนตัดสินจำคุก 14 ปี ในปี 2015 ซึ่งตอนนั้นเราก็คิดว่า "เออ หนุ่มๆ พวกนี้มันจะรีบรวยไปไหนวะ" แต่กลายเป็นว่าไอ้ความเข้าใจของเรานี่มันอาจจะผิดมหันต์!
เพราะอะไรน่ะเหรอ? ก็เพราะระหว่างที่พวกพี่แกติดคุกอยู่ดีๆ หลักฐานมันโผล่มาว่า "เฮ้ย! ธนาคารกลางกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลทั่วโลกนี่แหละ ตัวดีเลย! กดดันให้ธนาคารทำเรื่องคล้ายๆ กันนี่แหละ แต่ใหญ่กว่าเยอะ!" คือตอนนั้นเราได้ยินข่าวแล้วแบบ "อ้าวเฮ้ย! นี่มัน 'เกมบัลลังก์' เวอร์ชั่นการเงินชัดๆ!" เหมือนกับที่เราดูใน "Game of Thrones" ที่แต่ละตระกูลพยายามแย่งชิงอำนาจ แต่ในเวอร์ชั่นนี้คือการแย่งชิงอำนาจทางการเงินไง! แถมที่พีคคือไม่มีใครโดนดำเนินคดีเลยนะ ไอ้พวกธนาคารกลางเนี่ย!
แล้วที่พีคกว่านั้นคือ พอ Tom Hayes กับ Carlo Palombo พ้นโทษออกมา ศาลอุทธรณ์ของสหรัฐฯ ดันตัดสินว่า ไอ้การกระทำแบบที่พวกเค้าทำน่ะ "ไม่ผิดกฎหมาย" ซะงั้น! แถมศาลสหรัฐฯ ยังยกเลิกทุกข้อหาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อีกด้วย! อ้าว! แล้วกูที่ติดคุกไปก่อนหน้านี้คืออะไรวะเนี่ย! เหมือนโดนตบหน้ากลางสี่แยกเลยมั้ยล่ะ! เหมือนกับเจอฉากหักมุมในหนังตลกร้ายที่ทำให้เราหัวเราะไม่ออกไงล่ะ!
ทีนี้ SFO (Serious Fraud Office) ของอังกฤษก็ยังยืนกรานว่า "ไม่นะ! พวกนี้สมควรโดนแล้ว! พยายามจะล้มคดีมาหลายรอบก็ไม่สำเร็จ!" อื้อหือ… นี่มันเหมือนการปะทะกันของ 'อคติ' กับ 'ความจริง' ที่ยังไม่เปิดเผยออกมาเลยเว้ย!
Libor และ Euribor คืออะไรกันแน่วะ?
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจศัพท์แสงที่ฟังแล้วชวนงงกันก่อนดีกว่า ว่าไอ้ Libor กับ Euribor ที่เป็นหัวใจของเรื่องเนี่ยะ มันคืออะไรกันแน่
ลองจินตนาการง่ายๆ นะทุกคนว่ามันคือ "ดัชนีชี้วัดอุณหภูมิทางการเงิน" ที่บอกว่า "ตอนนี้ธนาคารเขากู้ยืมเงินกันเองในตลาดด้วยดอกเบี้ยเท่าไหร่วะ?" คือไม่ใช่ดอกเบี้ยที่เราๆ ท่านๆ ไปกู้ซื้อบ้านซื้อรถนะเว้ย แต่มันคือดอกเบี้ยที่ธนาคารใหญ่ๆ ในตลาดเขาใช้ยืมเงินกันเองนี่แหละ!
Libor (London Interbank Offered Rate): ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า "London" ก็คืออัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารชั้นนำในลอนดอน (อังกฤษ) เขา "เสนอ" ที่จะให้ยืมเงินกันเอง ในสกุลเงินต่างๆ เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ ปอนด์อังกฤษ เยนญี่ปุ่น หรือฟรังก์สวิส เป็นต้น คือในแต่ละวันตอน 11 โมงเช้า (เวลาลอนดอน)
ธนาคารที่เป็นสมาชิกประมาณ 16 แห่งเนี่ยะ จะต้องส่งตัวเลขประมาณการว่า "ถ้าฉันจะกู้เงินจากธนาคารอื่นตอนนี้ ฉันจะต้องจ่ายดอกเบี้ยเท่าไหร่วะ?" แล้วเขาก็จะเอาตัวเลขที่ส่งมาทั้งหมดเนี่ยะ ไปตัดตัวเลขที่สูงที่สุดกับต่ำที่สุดออกไปบางส่วน แล้วก็เอาที่เหลือมาหาค่าเฉลี่ย นั่นแหละคือ Libor!
เปรียบเทียบให้เห็นภาพ: เหมือนกับเราอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่แต่ละคนจะให้ "คะแนนความพึงพอใจ" กับร้านอาหารร้านนึงนั่นแหละ แล้วเราก็เอาคะแนนของทุกคนมารวมๆ กัน แล้วตัดคะแนนที่เวอร์ไป (สูงเวอร์ ต่ำเวอร์) ออกไปนิดหน่อย แล้วเอาที่เหลือมาหาค่าเฉลี่ย เพื่อให้ได้คะแนน "ความพึงพอใจโดยรวม" ที่น่าเชื่อถือที่สุดนั่นแหละ!
แต่ที่ต้องรู้คือ Libor มันถูกยกเลิกไปแล้วนะเว้ยตั้งแต่ช่วงกลางปี 2023 เหตุผลหลักๆ ก็คือเรื่อง "การปั่น" นี่แหละ แล้วก็มีการเปลี่ยนไปใช้ดัชนีอ้างอิงตัวอื่นแทน เช่น SOFR (Secured Overnight Financing Rate) ของสหรัฐฯ แทน
Euribor (Euro Interbank Offered Rate): อันนี้ก็คล้ายๆ กันเลย แต่ใช้กับ "สกุลเงินยูโร" ก็คืออัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารในยูโรโซน (กลุ่มประเทศที่ใช้เงินยูโร) เขายืมเงินกันเองนั่นแหละ หลักการคำนวณก็คล้ายๆ Libor คือเอาตัวเลขที่ธนาคารส่งมาหาค่าเฉลี่ย แล้วเอามาใช้เป็นดัชนีอ้างอิงสำหรับผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ ที่เป็นสกุลเงินยูโร เช่น พวกสินเชื่อบ้าน บัญชีออมทรัพย์ หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าต่างๆ
แล้ว "Rigging" หรือ "การปั่น" ดอกเบี้ยมันคืออะไรวะ?
ทีนี้ ไอ้คำว่า "rigging" หรือ "การปั่น" ที่พูดถึงในข่าวเนี่ยะ มันก็คือการที่ไอ้พวกเทรดเดอร์ (อย่าง Tom Hayes กับ Carlo Palombo) ไป "กระซิบกระซาบ" หรือ "กดดัน" ให้พนักงานที่ทำหน้าที่ส่งตัวเลขดอกเบี้ย (ที่เรียกว่า "submitter") ให้ส่งตัวเลขที่ไม่ใช่ค่าที่แท้จริง หรือเป็นค่าที่ "เอนเอียง" ไปทางที่ตัวเองอยากให้เป็น
ยกตัวอย่างให้กวนตีนนิดๆ:
สถานการณ์ปกติ: พนักงานส่งตัวเลขไปว่า "ฉันคิดว่าตอนนี้ฉันสามารถกู้เงินได้ที่ดอกเบี้ย 3.15% นะ" เพราะว่ามองจากสถานการณ์ตลาดแล้ว มันคือค่าที่สมเหตุสมผลที่สุด
สถานการณ์ "Rigging": เทรดเดอร์เดินมาตบไหล่พนักงานแล้วบอกว่า "เฮ้ยเพื่อน! วันนี้ขอสูงกว่าปกตินิดนึงนะ 3.16% ไปเลย! เพื่อให้พอร์ตเทรดของกูมันรุ่งเรืองเฟื่องฟูไงวะ!" หรือบางทีก็บอกว่า "เออ วันนี้กดให้ต่ำๆ หน่อยนะ 3.14% พอ! จะได้ดูเหมือนว่าธนาคารเราสภาพคล่องดี ไม่มีปัญหาอะไร! (ทั้งๆ ที่อาจจะไม่ใช่ความจริงเป๊ะๆ)"
คือไอ้การขอให้ส่งค่าที่สูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริง "นิดเดียว" เนี่ยะ มันอาจจะไม่ได้ทำให้ Libor หรือ Euribor โดยรวมเปลี่ยนไปมากนักหรอกนะเว้ย บางทีก็ไม่เปลี่ยนเลยด้วยซ้ำ แต่แค่ขยับไปแค่ 0.00125% เนี่ยะ มันก็สามารถส่งผลต่อกำไรขาดทุนของธนาคารหรือของพอร์ตเทรดของเทรดเดอร์ได้มหาศาลเลยทีเดียว เพราะการซื้อขายพวกนี้มันคือการซื้อขายเงินหลายพันล้าน!
แต่ Tom Hayes กับ Palombo ก็ออกมาโวยวายว่า "ไอ้ที่ได้จากเรื่องนี้มันน้อยนิดจะตายห่า จะไปเป็นแรงจูงใจให้พวกกูร่วมกันก่ออาชญากรรมได้ไงวะ! นี่มันคืองานปกติที่ธนาคารเค้าทำกันมาตั้งแต่ยุค 80's แล้วนะเว้ย!" เออ เราก็คิดว่ามันน่าสงสัยอยู่เหมือนกันนะ เหมือนกับที่เราอ่านใน สามก๊ก อะ
ที่โจโฉมักจะใช้เล่ห์กลต่างๆ นานา แต่ไม่ถึงกับเป็นการหลอกลวงที่ร้ายแรงขนาดนั้น มันเป็นแค่การใช้ความได้เปรียบทางการค้าเท่านั้นเอง หรือจะเหมือนในเรื่อง The Art of War ของซุนวู ที่สอนเรื่องการใช้กลยุทธ์เพื่อเอาชนะโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อมากมาย
1
แล้วที่ทำให้เรื่องนี้มันพีคขึ้นไปอีกคือ มีหลักฐานโผล่มาอีกว่า ในช่วงวิกฤติการเงินปี 2008 ไอ้พวกธนาคารกลางกับรัฐบาลทั่วโลกนี่แหละ ที่เป็นตัวบงการให้ธนาคารกด Libor และ Euribor ลงมาแบบผิดธรรมชาติ เพื่อให้ดูเหมือนว่าอัตราดอกเบี้ยจริงมันต่ำกว่าที่ควรจะเป็น! คือเค้าทำแบบจริงจังกว่าเยอะอะ! พวกเทรดเดอร์นี่แค่ขอขยับนิดเดียว แต่พวกธนาคารกลางนี่ขอขยับเยอะกว่า 50 เท่า! แล้วไอ้ค่าที่ออกมาก็คือ "ของปลอม" ชัดๆ!
เหมือนกับ Palombo ที่ตัดพ้อในพอดแคสต์ว่า "ถ้าไอ้พวกธนาคารกลางทำไม่ผิด แล้วกูจะผิดได้ไงวะ!" คือมันสะท้อนให้เห็นถึงความ "ไร้เหตุผล" ที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็น "ฝันร้ายแบบ Kafka" เหมือนกับในวรรณกรรมของ Franz Kafka ที่ตัวเอกต้องเผชิญหน้ากับระบบที่ซับซ้อนและเข้าใจยาก จนรู้สึกเหมือนโดนจับผิดโดยไม่มีเหตุผล
สิ่งที่พวกเทรดเดอร์กลัวคือ "ถ้าสิ่งที่ทำมาทั้งชีวิตมันถูกย้อนหลังให้เป็นอาชญากรรมได้ แล้วต่อไปใครจะกล้าทำอะไรวะ?" เออ มันก็น่าคิดนะ เหมือนกับเราทำงานประจำอยู่ดีๆ วันดีคืนดีกฎหมายเปลี่ยน แล้วเราก็กลายเป็นอาชญากรซะงั้น! มันจะแฟร์เหรอวะ!
บทสรุปที่กวนตีนแต่ฉลาดเฉลียว
สรุปแล้ว นี่มันไม่ใช่แค่เรื่องคดีความธรรมดา แต่มันคือการเปิดโปงความจริงที่ว่า "อำนาจ" กับ "อิทธิพล" มันสามารถบิดเบือนกฎหมายได้แค่ไหน และความยุติธรรมมันเป็นแค่คำพูดที่ใช้ได้เฉพาะกับบางคนหรือเปล่า? เรามารอดูกันว่าศาลสูงสุดของอังกฤษจะตัดสินยังไง แต่ที่แน่ๆ เรื่องนี้มันทำให้เราเห็นว่าโลกการเงินมันก็มี "ด้านมืด" ที่กวนตีนและซับซ้อนไม่แพ้โลกของ "มาเฟีย" เลยทีเดียว!
ปล. ที่น่าสนใจคือเรื่องนี้มีการแทรกแซงจากนักการเมืองระดับสูงอย่าง John McDonnell และ David Davis ที่บอกว่าเรื่องนี้มัน "ลึกซึ้งกว่าคดี Post Office" และเรียกร้องให้มีการสอบสวนสาธารณะ ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่แค่เรื่องของคนไม่กี่คนแล้ว แต่มันเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของระบบยุติธรรมทั้งหมดเลยทีเดียว! เหมือนกับที่เราได้เห็นการเปิดโปงเรื่องราวฉาวโฉ่ในนวนิยายแนวสืบสวนสอบสวน ที่สุดท้ายแล้วความจริงก็ถูกเปิดเผยออกมา แม้จะต้องใช้เวลานานแค่ไหนก็ตาม!
แล้วทุกคนคิดว่าไง? นี่มันคือความยุติธรรมที่ถูกบิดเบือน หรือแค่การใช้ช่องโหว่ของกฎหมายกันแน่?
โฆษณา