26 พ.ค. เวลา 13:30 • ไลฟ์สไตล์

กุญแจสู่ความสำเร็จของ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” คือ “การไม่เคยหยุดที่จะมองหากุญแจแห่งความสำเร็จ”

💵 วันที่ 3 กรกฎาคม ปี 2006 วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) ขับรถไปยังธนาคาร U.S. Bank ในเมืองโอมาฮา เปิดตู้เซฟและหยิบกระดาษใบหนึ่งออกมา กระดาษใบนั้นคือใบหุ้นเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์จำนวน 121,737 หุ้น คิดเป็นมูลค่าราว 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เงินจากการขายหุ้นส่วนนี้จะกลายเป็นก้อนแรกของโครงการ “บริจาคทรัพย์สินเกือบทั้งหมด” ของเขา
เหตุการณ์ครั้งนั้นเปรียบเสมือนหมุดหมายสำคัญในชีวิตชายที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ระดับโลก เพราะเมื่อเกือบ 70 ปีก่อน (ขณะบัฟเฟตต์อายุเพียง 6 ขวบ) พ่อของเขาเคยพามาเปิดบัญชีออมทรัพย์ที่ธนาคารเดียวกันนี้ด้วยเงินฝากก้อนแรก 20 ดอลลาร์
ระหว่างสองเหตุการณ์นี้ บัฟเฟตต์ได้สร้างอาณาจักรเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ขึ้นมาเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของอเมริกา กลายเป็นนักลงทุนที่มีชื่อเสียงก้องโลก และเป็นแบบอย่างของนักลงทุนรุ่นใหม่ๆ อีกหลายล้านชีวิต
แต่อย่างที่เราทราบกันดีว่าในงานประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2025 เขาได้ประกาศว่าจะก้าวลงจากตำแหน่งซีอีโอของเบิร์กเชียร์ฯ ภายในสิ้นปีนี้ หลังฝากผลงานอัตราผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นเฉลี่ยปีละ 19.9% ตลอดช่วงปี 1965–2024 (สื่อระดับโลกอย่าง Fortune ได้ลองคำนวณคิดเป็นผลตอบแทนรวมกว่า 5.5 ล้านเปอร์เซ็นต์)
ที่จริงหากเขาไม่เริ่มบริจาคทรัพย์สินเสียก่อน ทรัพย์สินของเขาอาจพุ่งทะลุ 200,000 ล้านดอลลาร์ และกลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกไปแล้ว (แต่ถ้าใครติดตามปู่บัฟเฟตต์จะทราบดีว่านั่นไม่ใช่เป้าหมายของเขาอยู่แล้ว)
คำถามที่ชวนสงสัยคือ บัฟเฟตต์ทำทั้งหมดนี้ได้ยังไง? อะไรคือ “กุญแจ” สู่ความสำเร็จของเขา?
เราอาจจะเคยได้ยินถ้อยคำอมตะที่บัฟเฟตต์เคยกล่าวไว้ เช่น “จงกลัวเมื่อผู้อื่นโลภ และโลภเมื่อผู้อื่นกลัว” หรือ “ซื้อธุรกิจที่ยอดเยี่ยมในราคาที่ยุติธรรม ย่อมดีกว่าซื้อธุรกิจธรรมดาในราคาที่แสนถูก”
คำคมเหล่านี้แม้ฟังดูหลักแหลม และมีส่วนที่นำเขามาถึงจุดนี้ได้ แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่เคล็ดลับเบื้องหลังความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทั้งหมดของเขา เพราะที่จริงแล้วกุญแจสู่ความสำเร็จของบัฟเฟตต์คือ “การไม่เคยหยุดที่จะมองหากุญแจแห่งความสำเร็จ” ต่างหาก
กล่าวอีกนัยหนึ่ง บัฟเฟตต์มีความเป็นคนที่ “มีเหตุมีผล” (Rational) อย่างแท้จริงในแบบที่เขานิยามไว้เอง นั่นคือเขาเป็น ‘คนที่มีเหตุผลจะยอมเปลี่ยนความเชื่อเมื่อความเป็นจริงของโลกเปลี่ยนแปลงไป’
คนส่วนใหญ่ (ยิ่งคนที่ประสบความสำเร็จด้วยแล้ว) กลับเปลี่ยนแปลงยาก ยึดติดกับความคิดหรือความเชื่อเดิม แต่บัฟเฟตต์พิสูจน์ให้เห็นว่าเขากล้าพอที่จะปรับมุมมองของตนเองตามข้อเท็จจริงใหม่ๆ อยู่เสมอ และนั่นคือกุญแจที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จเหนือคนอื่นๆ นั่นเอง
1
☀️ [ ปรับกลยุทธ์เมื่อหลักฐานเปลี่ยน: บทเรียนจากชีวิตบัฟเฟตต์ ]
วอร์เรน บัฟเฟตต์ไม่ได้ยึดติดกับกรอบวิธีคิดเดิมของตัวเอง หากพบว่าสิ่งใดไม่ได้ผล เขาพร้อมจะ “เปลี่ยนใจ” และลองแนวทางใหม่ๆ อยู่เสมอ
1
ย้อนกลับไปช่วงเริ่มต้นอาชีพลงทุน บัฟเฟตต์เคยเป็นศิษย์เอกของเบนจามิน เกรแฮม (ผู้เขียนตหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนคลาสสิกอย่าง Security Analysis) ซึ่งสอนให้ซื้อหุ้นเฉพาะเมื่อราคาถูกมากเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานเท่านั้น
แต่หุ้นส่วนคู่ใจของเขาอย่าง ชาร์ลี มังเกอร์ (Charlie Munger) ได้ชี้แนะว่า ธุรกิจที่มีพื้นฐานดีบางครั้งก็คุ้มค่าที่จะซื้อแม้ราคาไม่ถูกสุดๆ บัฟเฟตต์ยอมฉีกตำราเดิม ยอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อซื้อหุ้นในบริษัทคุณภาพ (เช่น เข้าซื้อกิจการบริษัทลูกอม See’s Candies ในปี 1972 ที่ราคาสูงกว่ามูลค่าทางบัญชีถึงสามเท่า ซึ่งขัดกับหลักการของเกรแฮม) และผลลัพธ์พิสูจน์ว่าการตัดสินใจครั้งนั้นถูกต้อง เพราะ See’s Candies กลายเป็นหนึ่งในการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนอย่างงดงามให้เบิร์กเชียร์ตลอดมา
1
ปลายยุค 1990 บัฟเฟตต์มองเห็นฟองสบู่หุ้นดอตคอมตั้งแต่แรกและปฏิเสธที่จะกระโจนเข้าร่วมวง เพราะมองว่าเป็นธุรกิจที่ประเมินมูลค่าแท้จริงได้ยาก (จนหลายคนพากันเหน็บแนมว่าคุณปู่วอร์เรนตกยุคไฮเทคไปแล้ว) แต่เมื่อฟองสบู่แตกไปแล้ว เขาก็ไม่ได้หลงตัวเองหรือยึดติดกับท่าทีเดิมแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ในปี 2016 บัฟเฟตต์ “เปลี่ยนใจ” ครั้งใหญ่ด้วยการเข้าลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีเป็นครั้งแรก นั่นคือการซื้อหุ้น Apple จำนวนมหาศาล
ซึ่งภายหลังกลายมาเป็นหุ้นที่มีมูลค่าสูงที่สุดในพอร์ตการลงทุนของเบิร์กเชียร์เลยทีเดียว
แน่นอน นักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีทจำนวนไม่น้อยเตือนว่าหุ้น Apple มีราคาสูงเกินพื้นฐาน (เบน เกรแฮมเองก็คงไม่เห็นด้วยหากยังอยู่) แต่บัฟเฟตต์กลับมองเห็นว่า Apple เป็น “ธุรกิจที่ยอดเยี่ยมอย่างเหลือเชื่อ” คือมีกำไรท่วมท้นและมี “คูเมือง” (moat) ป้องกันการแข่งขันรอบด้าน เขาบอกผู้ถือหุ้นในปี 2023 ว่า Apple “เป็นธุรกิจที่ดีกว่าธุรกิจไหนๆ ที่เราเป็นเจ้าของอยู่เสียอีก”
ในการประชุมผู้ถือหุ้นล่าสุด บัฟเฟตต์ถึงกับกล่าวติดตลกอย่างถ่อมตนว่าเขารู้สึก “อายเล็กน้อยที่จะบอกว่าคุณทิม คุก (ซีอีโอ Apple) ทำเงินให้เบิร์กเชียร์มากกว่าที่ผมเคยทำให้เบิร์กเชียร์เสียอีก” คำพูดนี้สะท้อนถึงการยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าการเปลี่ยนมาลงทุนใน Apple คือการตัดสินใจที่ถูกต้องเกินคาดสำหรับเบิร์กเชียร์
1
นอกจากกลยุทธ์การลงทุนที่ยืดหยุ่นแล้ว บัฟเฟตต์ยังกล้าเปลี่ยนใจในเรื่องเป้าหมายชีวิตของตนเองด้วยเช่นเดียวกัน
ครั้งยังหนุ่ม เขาวางแผนว่าจะบริจาคทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่ของตัวเอง (กว่า 99% ของทั้งหมด) หลังจากที่เขาเสียชีวิต โดยได้จัดตั้งมูลนิธิการกุศลของตนเองไว้รองรับเงินก้อนนั้น
ทว่าสุดท้ายแล้วเขากลับไม่ทำตามแผนเดิมนั้น ในปี 2006 ขณะอายุ 75 ปี บัฟเฟตต์ประกาศเปลี่ยนแผนชีวิตครั้งใหญ่ หันมาเริ่มบริจาคทรัพย์สินของเขาเลยในช่วงที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่ โดยเงินบริจาคส่วนใหญ่จะยกให้แก่มูลนิธิ Bill & Melinda Gates ของเพื่อนรักอย่าง บิล เกตส์ (Bill Gates) และอีกส่วนแบ่งไปยังกองทุนการกุศลของครอบครัวตนเองรวมถึงมูลนิธิที่ลูกๆ ทั้งสามดูแลอยู่
แล้วทำไมเขาถึงเปลี่ยนใจ? เพราะเขาปรับมุมมองตามความจริงที่เกิดขึ้นนั่นแหละครับ
บัฟเฟตต์เป็นเพื่อนกับครอบครัวเกตส์มานาน 15 ปี เขาชื่นชมผลงานของมูลนิธิ Gates ซึ่งมีขนาดใหญ่และมีความเชี่ยวชาญมากพอจะบริหารจัดการเงินบริจาคมหาศาลของเขาได้ อีกทั้งบิลและเมลินดา เกตส์ก็อายุน้อยกว่าเขามาก เมื่อประเมินทุกอย่างแล้ว บัฟเฟตต์สรุปด้วยตรรกะง่ายๆ (ในแบบฉบับของเขาเอง) ว่า “จะมีอะไรสมเหตุสมผลไปกว่าการหาคนที่มีความพร้อมมากกว่าเรามาทำในสิ่งที่เราอยากให้สำเร็จลุล่วงเล่า”
1
การตัดสินใจนั้นนำมาซึ่งภาพที่เราได้เห็นในวันฤดูร้อนปี 2006 ที่โอมาฮา เมื่อบัฟเฟตต์เดินเข้าธนาคารเพียงลำพัง เปิดตู้เซฟและหยิบใบหุ้นมูลค่า 11,000 ล้านดอลลาร์ออกมาเพื่อเตรียมส่งมอบให้มูลนิธิเกตส์ในที่สุด
ช่วงเวลานั้นเปรียบเสมือนบทสรุปแห่งชีวิตการลงทุนและการให้ของเขา ซึ่งสะท้อนอย่างลึกซึ้งว่าแท้จริงแล้วความยิ่งใหญ่ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ไม่ได้มาจากความดื้อรั้นยึดติดในความคิดหรือทรัพย์สินที่มี หากแต่มาจากหัวใจที่พร้อมจะเรียนรู้ ปรับตัว และไม่ยึดติดกับสิ่งเดิมเมื่อสิ่งนั้นไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป
📖 [ “Think Again” – กล้าที่จะคิดใหม่และยอมรับว่าตนเองอาจคิดผิด ]
แนวทางการไม่เคยหยุดแสวงหาความรู้และปรับมุมมองตามความจริงของบัฟเฟตต์ สอดคล้องกับแนวคิดที่นักจิตวิทยาองค์การชื่อดัง อดัม แกรนท์ (Adam Grant) กล่าวไว้ในหนังสือ Think Again: The Power of Knowing What You Don’t Know. แกรนท์ชี้ให้เห็นว่าความฉลาดในการคิดและการเรียนรู้อย่างเดียวนั้นอาจไม่เพียงพอในโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วอีกต่อไป แต่ “ความสามารถในการคิดใหม่ (rethink) และลืมสิ่งเดิม (unlearn)” ต่างหากที่อาจสำคัญยิ่งกว่า
คนจำนวนมากชอบความมั่นใจในความคิดเดิมของตนเองเพราะมันให้ความรู้สึกปลอดภัย (เป็น Status quo Bias) แต่ขณะเดียวกันเรากลับกลัวการยอมรับข้อสงสัยหรือความไม่รู้ของตัวเอง เรามองการถูกพิสูจน์ว่าคิดผิดเป็นภัยคุกคามต่ออัตตาของเรา มากกว่าจะมองเป็นโอกาสที่จะได้เรียนรู้
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงยึดติดอยู่กับความคิดหรือความเชื่อเดิมนานเกินไป และปล่อยให้มันกลายเป็นกรอบจำกัดการเติบโตของเรา
ในทางกลับกัน หากเรากล้าที่จะบอกตัวเองว่า “สิ่งที่เรารู้อาจไม่ถูกต้องก็ได้” พร้อมเปิดใจรับฟังข้อมูลหรือหลักฐานใหม่ๆ ที่สวนทางกับความเห็นของเรา เราก็จะมีโอกาสได้ปรับปรุงความเข้าใจของเราให้ถูกต้องยิ่งขึ้น
แกรนท์กล่าวไว้ว่า หนังสือ Think Again ของเขาคือ “คำเชื้อเชิญให้เราปล่อยวางความรู้และความเห็นที่ไม่ได้ช่วยเราอีกต่อไป และยึดโยงตัวตนของเราไว้กับความยืดหยุ่น (flexibility) แทนที่จะยึดติดกับความคิดที่คงเดิมสม่ำเสมอ (consistency)”
การมีกรอบความคิดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเปลี่ยนความเห็นไปตามคนอื่นตลอดเวลา หากแต่หมายถึงการมี “ความอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างมั่นใจ” \(Confident Humility) คือการมีความมั่นใจเพียงพอในความเชี่ยวชาญและจุดแข็งของตัวเองจนยอมรับความไม่รู้และจุดอ่อนของตัวเอง
พร้อมที่จะทบทวนตัวเองอยู่เสมอ เมื่อไหร่ที่เราพบว่าความคิดเดิมของเราผิดพลาดหรือไม่เหมาะกับสถานการณ์ เราต้องกล้ายอมรับและปรับตัว ซึ่งไม่เพียงช่วยให้เราหลีกเลี่ยงความผิดพลาดซ้ำสอง แต่ยังช่วยให้เราเรียนรู้อะไรใหม่ๆ และเติบโตขึ้นอีกด้วย
บัฟเฟตต์เป็นตัวอย่างของคนที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างมั่นใจ กล้าที่จะบอกว่าไม่รู้แล้วถ้ามันเป็นแนวทางที่จะทำให้เขาประสบความสำเร็จได้ก็ลองเปลี่ยนดู
💫 ตัวอย่างของคนอื่นๆ ละ?
* เจฟฟ์ เบโซส (Jeff Bezos): ผู้ก่อตั้ง Amazon เคยกล่าวถึงคุณสมบัติของคนที่ประสบความสำเร็จไว้ว่า “คนที่ทายสิ่งต่างๆ ได้ถูกต้องบ่อยๆ มักเป็นคนที่เปลี่ยนใจบ่อยเช่นกัน” หากคุณไม่ยอมเปลี่ยนใจเลย คุณก็จะ “ผิดบ่อยมาก”
เบโซสอธิบายว่าคนที่ฉลาดที่สุดคือคนที่ “คอยปรับปรุงความเข้าใจของตัวเองอยู่เสมอ เปิดรับมุมมองใหม่ ข้อมูลใหม่ ไอเดียใหม่ๆ ที่ท้าทายความคิดตนเองตลอดเวลา” นั่นคือเหตุผลว่าทำไม Amazon ภายใต้การนำของเขาจึงสามารถปรับตัวสร้างนวัตกรรมและครองความเป็นผู้นำตลาดได้อย่างยั่งยืน
* สัตยา นาเดลลา (Satya Nadella): ซีอีโอผู้พลิกฟื้นยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft ให้กลับมารุ่งโรจน์ได้อีกครั้ง นาเดลลาเน้นย้ำวัฒนธรรมองค์กรแบบ “อย่าทำตัวเป็นผู้รู้ทุกอย่าง จงทำตัวเป็นผู้พร้อมเรียนรู้ทุกอย่าง” (Don’t be a know-it-all, be a learn-it-all)
เขาปลูกฝังให้พนักงานทุกคนมีกรอบความคิดแบบเติบโต (growth mindset) คือกระหายที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ รับฟังเสียงลูกค้า ตั้งคำถาม และร่วมมือกันแก้ปัญหา แทนที่จะคิดว่าตนเก่งที่สุดและหยุดนิ่งกับความสำเร็จเดิม
แนวคิด learn-it-all นี้ทำให้ไมโครซอฟท์กลับมาแข่งขันได้อย่างแข็งแกร่งและสร้างนวัตกรรมได้รวดเร็วขึ้นถือเป็นตัวอย่างว่าการเปลี่ยนวิธีคิดของคนทั้งองค์กรให้พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่ตลอดเวลา สามารถสร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้เพียงใด
* รีด เฮสติงส์ (Reed Hastings): ผู้ร่วมก่อตั้งและอดีตซีอีโอของ Netflix เป็นอีกตัวอย่างของผู้นำที่ไม่ยึดติดกับแผนการหรือความคิดเดิมของตน หากเห็นว่าเส้นทางที่เลือกเดินไม่ถูกต้อง เขาจะกล้ายอมรับและปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว
ย้อนกลับไปปี 2011 Netflix ภายใต้การนำของเฮสติงส์เคยตัดสินใจแยกบริการดีวีดีออกมาตั้งเป็นบริษัทใหม่ชื่อ “Qwikster” แต่เมื่อลูกค้าแสดงความไม่พอใจและเกิดเสียงวิจารณ์อย่างหนัก เฮสติงส์ก็ประกาศ ยกเลิกแผนการดังกล่าวในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ ก่อนที่จะสายเกินไป โดยกลับไปรวมบริการสตรีมมิ่งและดีวีดีไว้ที่เว็บไซต์เดียวเช่นเดิม
การพลิกกลับครั้งนั้นแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการรับฟังเสียงสะท้อนและ ความกล้ายอมรับความผิดพลาด ของผู้นำ ผลคือ Netflix สามารถกอบกู้ความเชื่อมั่นของลูกค้าไว้ได้และเดินหน้าต่อจนกลายเป็นบริษัทสตรีมมิ่งที่ครองตลาดทั่วโลกในที่สุด
🎯 เรื่องราวของวอร์เรน บัฟเฟตต์และผู้นำที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า “การไม่หยุดที่จะมองหากุญแจแห่งความสำเร็จ”
กล่าวคือการไม่หยุดเรียนรู้และกล้าเปลี่ยนแนวคิดเมื่อเผชิญกับความจริงใหม่ – คือกุญแจสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จที่ยั่งยืนในชีวิต
ไม่ว่าเราจะเป็นนักลงทุนระดับตำนานหรือคนธรรมดาทั่วไปที่อยากพัฒนาตัวเอง หลักการนี้ก็ไม่แตกต่างกัน การมีความกล้าหาญทางปัญญาที่จะยอมรับว่า “เราคิดผิดได้” และพร้อมจะเรียนรู้แนวทางใหม่อยู่เสมอ จะช่วยให้เราเติบโตขึ้นจากความผิดพลาดเดิม ก้าวข้ามข้อจำกัดทางความคิด และเข้าใกล้เป้าหมายความสำเร็จในแบบของตัวเองมากขึ้นทีละก้าวทุกวัน
#aomMONEY #MakeRichGeneration #การเงินส่วนบุคคล #แนวทางการใช้ชีวิต #WarrenBuffett #ThinkAgain #AdamGrant #หนังสือ
โฆษณา