26 พ.ค. เวลา 12:46 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

เจาะเวลาหาอดีต : รถถัง Type 69-II

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน คราวก่อนเขียนเครื่องบินไปแล้ว 2 บทความรอบนี้มาเอาใจสายทหารบกกันบ้าง เรื่องนี้ก็มีหลายท่านตั้งข้อสงสัยเหมือนผู้เขียนว่าทำไมไม่นำรถถังไปเป็นเป้าซ้อม ทำไมต้องปล่อยให้เป็นปะการัง เรื่องนี้ผู้เขียนเชื่อว่าทุกท่านคงจะมีข้อสงสัยอยู่พอสมควร และเรื่องราวต่อไปนี้นะฮะ จะเป็นเรื่องราวของรถถัง Type 69-II นั่นเอง ถ้าพร้อมไปติดตามกันเลยครับทุกท่าน
<<ประวัติความเป็นมา>>
ก่อนจะเล่าคุณสมบัติของรถถังหลัก Type 69-2 ซึ่งรถถังแบบดังกล่าวถูกกล่าวถึงในฐานะ "อาวุธราคามิตรภาพ" ที่ประเทศไทยจัดซื้อจากประเทศจีน ก่อนอื่นผู้เขียนขอเท้าความจุดเริ่มจุดต้นของการจัดหารถถังรุ่นนี้ครับ
การจัดหารถถัง Type 69-II มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนสำหรับประเทศไทย หลังจากที่สงครามเวียดนามยุติลง เนื่องจากประเทศไทยตกอยู่ในภาวะกดดันจากการ ขยายอิทธิพลของเวียดนามและสหภาพโซเวียตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สมัยนั้นถ้าท่านจำกันได้ แรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์และภัยด้านความมั่นคงในย่านนี้มีสูงมาก หลังจากที่เวียดนามใต้ ลาว และกัมพูชาไปเป็นเบี้ยล่างลัทธิคอมมิวนิสต์ และสหรัฐฯ ถอนกำลังทหารออกจากภูมิภาค ปัจจัยที่ว่ามานี้ทำให้ไทยต้องหาหลักประกันเพื่อรักษาอธิปไตย
<<การพัฒนาและการใช้งาน>>
สำหรับรถถัง Type 69 ที่ท่านเห็นในบทความนี้มีต้นกำเนิดมาจากการพัฒนาของสถาบันวิจัย หมายเลข 60 ของจีน โดยพัฒนาต่อยอดมาจากรถถังหลัก Type 59 ซึ่งดัดแปลงมาจากรถถัง T-54 ของสหภาพโซเวียตในช่วงต้นสงครามเย็น
ในขณะที่จีนกำลังพัฒนาอย่างเข้มข้น ความขัดแย้งทางการเมืองกับสหภาพโซเวียตได้ปะทุขึ้นและนำไปสู่การเผชิญหน้าทางทหารจีนสามารถยึดรถถัง T-62 บางคันจากโซเวียต และนำไปทำวิศวกรรมย้อนกลับ หรือพูดง่ายๆก็คือเหมือนท่านเอาขวดน้ำไปรีไซเคิลเป็นข้าวของเครื่องใช้ พร้อมทั้งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง เช่น ระบบค้นหาอินฟราเรด อุปกรณ์ควบคุมระยะยิง และ ไฟฉายอินฟราเรด ซึ่งต่อมาถูกติดตั้งในรถถัง Type 69
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง Type 69 และ Type 59 อยู่ที่เครื่องยนต์ที่ทรงพลังกว่า ปืนใหญ่รถถังที่มีลำกล้องยาวกว่า และ ความสามารถในการรบในสภาพแสงน้อยหรือเวลากลางคืน
รถถังรุ่นแรกคือ Type 69-I ซึ่งใช้ปืนใหญ่ลำกล้องเรียบขนาด 100 มม. จีนผลิตรุ่นนี้เพียงไม่กี่ร้อยคัน เนื่องจากพบว่าความแม่นยำของปืนลำกล้องเกลียวสูงกว่าจากการทดลองยิงภาคสนาม จึงพัฒนาเป็น Type 69-II ที่ติดตั้งปืนใหญ่ลำกล้องเกลียว
Type 69-II ได้รับการปรับปรุงโดยการติดตั้งระบบควบคุมการยิงสมัยใหม่ เช่น เครื่องวัดระยะด้วยเลเซอร์ คอมพิวเตอร์ควบคุมการยิง และระบบรักษาเสถียรภาพลำกล้อง, นอกจากนี้ยังสามารถปฏิบัติการภายใต้สภาวะเคมีชีวภาพ และรังสีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อาวุธประจำรถถังประกอบด้วย ปืนใหญ่ 100 มม. และปืนกลหนักขนาด 12.7 มม. สำหรับต่อต้านอากาศยาน และ ปืนกลร่วมแกน ยังมีรุ่นที่พัฒนาต่อมาอย่าง Type 69-III ซึ่งใช้ปืนใหญ่ขนาด 105 มม. และภายหลังได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็น Type 79
รถถังรุ่นนี้ถือเป็นหนึ่งในยุทโธปกรณ์ที่ประสบความสำเร็จในตลาด ส่งออกของจีน โดยเฉพาะ Type 69-2 ซึ่งมีการส่งออกไปยังหลาย ประเทศ อาทิ ปากีสถาน เมียนมาร์ อิรัก บังกลาเทศ ชิมบับเว และ ประเทศไทย, จีน ซึ่งมีความขัดแย้งกับเวียดนามและโซเวียตอยู่ แล้ว เห็นโอกาสในการขยายอิทธิพลโดยเสนอความร่วมมือทางการ ทหารกับไทยเพื่อถ่วงดุลกับเวียดนาม, การเจรจาเป็นไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งเดือนมิถุนายนพ.ศ. 2522 จีนให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนไทย หากถูกเวียดนามรุกราน
>>Type 69-II in Thailand
ในเดือนมีนาคมพ.ศ. 2530 จีนเสนอขายอาวุธหลายรายการให้กับไทย รวมถึงรถถัง Type 69-II กระทั่งในเดือนพฤษภาคมของปี เดียวกัน "บิ๊กจิ๋ว" พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ผู้บัญชาการทหารบก (ตำแหน่งในขณะนั้น) ได้เดินทางเยือนจีนและตกลงจัดซื้ออาวุธหลายชนิดใน "ราคามิตรภาพ"
จีนเสนอรถถัง Type 69-2 ในราคาคันละ 300,000 ดอลลาร์ สหรัฐ, ซึ่งตามอัตราแลกเปลี่ยนในปี 2530 คิดเป็นประมาณ 7.5 ล้านบาทต่อคัน, หากคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันแล้ว จะอยู่ที่ราว 28.7 ล้านบาท รถถังรุ่นนี้ถูกจัดซื้อทั้งหมด 53 คันและส่งมอบให้ ไทยในเดือนกันยายนและตุลาคมปีเดียวกัน
แม้ว่าราคาจะถูกแต่น่าเสียดายที่รถถังรุ่นนี้มีข้อจำกัดหลายประการ โดยเฉพาะเรื่องการจัดหาอะไหล่และกระสุนในประเทศ เหตุผลนี้อาจส่งผลกระทบต่อการซ่อมบำรุงและอาจทำให้อายุการใช้งานสั้นกว่าที่ควรจะเป็น
มีอยู่ช่วงหนึ่งกองทัพไทยเคยพยายามดัดแปลงรถถังแบบดังกล่าวบางคันโดยเปลี่ยนปืนใหญ่เป็นขนาด 105 มม. เพื่อให้ใช้กระสุนร่วมกับรถถังรุ่นอื่นได้ แต่โครงการไม่ ประสบความสำเร็จ ในที่สุดรถถังส่วนใหญ่ถูกปลดประจำการในปี 2547
อย่างไรก็ตาม ยังมีการมอบรถถัง 5 คัน ให้กับหน่วยนาวิกโยธิน เพื่อใช้ในภารกิจเฉพาะ และต่อมาถูกจอดเก็บไว้ที่กองพันรถถังในปี 2553 โดยรถถัง Type 69-II ที่ปลดประจำการจำนวน 25 คัน ได้ถูกนำไปใช้ในโครงการปะการังเทียมโดยกรมประมงเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศทาง ทะเลในปี 2553
ผลลัพธ์ปรากฏว่า ประชากรสัตว์น้ำในบริเวณนั้นเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน นี่ถือเป็นการนำยุทโธปกรณ์ที่หมดอายุการ ใช้งานแล้วกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่สิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
ส่วนตัวผู้เขียนมองว่าถ้า Type 69-II ยังพอมีเหลืออยู่ในคลัง อยากให้นำมาเป็นเป้าให้รถถังรุ่นใหม่หรือเครื่องบินในการฝึก แต่ในเมื่อมีการรายงานว่ามีรถถังจำนวนหนึ่งนำไปเป็นปะการัง เราก็ยังต้องรอดูกันต่อไปว่าในอนาคตกองทัพบกจะทำตามนี้หรือไม่ เพราะผู้เขียนที่เห็นเคสที่กองทัพเรือนำเรือที่ปลดประจำการมาเป็นเป้าซ้อมยิงซึ่งเป็นเป็นประโยชน์อย่างในการพัฒนาศักยภาพของลูกดอกประดู่
อันที่จริงรถถังแบบนี้ผู้เขียนอยากนำมาใช้การซ้อมตามที่กล่าวได้ไป ทั้งนี้การนำ Type 69-II มาเป็นเป้าในการซ้อมก็เพื่อให้เกิดความชำนาญพัฒนาขีดความสามารของกำลังพลกองทัพไทย ก่อนที่จะไปจัดการกับรถถังฝ่ายตรงข้ามในสนามรบจริง แม้วันนี้ Type 69-II จะไม่มีประจำการในกองทัพบกไทยอีกต่อไปแล้ว แต่มันก็ยังคงเป็นรถถังที่อยู่ในความทรงจำของพ่อแม่พี่น้องประชาชนชาวไทยสืบไป สำหรับวันนี้ขอลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่บทความหน้า สวัสดีครับ
Credit บทความและภาพประกอบ
Weapon Thai Channel
AAG_TH บันทึกประจำวัน
Chet Chetta
ท้าวทองไหล
เรียบเรียงบทความ : จ่าหวาน เกรียงไกร
โฆษณา