26 พ.ค. เวลา 12:48 • ความคิดเห็น

“เคยไหม…ที่รู้สึกแย่ไปเสียทุกอย่าง”

เคยไหมที่ตื่นมาในเช้าวันหนึ่ง ทั้งที่ทุกอย่างรอบตัวก็ดูปกติดี คนรอบข้างก็ยังคงรักเราเหมือนเดิม แต่หัวใจกลับรู้สึกหนักอึ้งเหมือนโลกทั้งใบกำลังถล่มลงมา
คุณอาจจะเคยถามตัวเองว่า
“เป็นอะไรไป ทั้งที่ไม่มีใครทำอะไรให้เสียใจเลย”
ความรู้สึกเหล่านี้บางครั้งมาโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน เราอาจรู้สึกเหนื่อย เบื่อ ไม่อยากพูดกับใคร ไม่อยากลุกจากเตียง หรือแค่รู้สึกว่า “เราไม่ดีพอ”
อาการเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่ใช่เรื่องผิด หากคุณกำลังรู้สึกแบบนี้อยู่ ขอให้รู้ว่า คุณไม่ได้เป็นคนเดียวในโลกที่กำลังเผชิญกับมัน
นี่คือสิ่งที่จิตวิทยาเรียกว่า “ภาวะรับรู้ด้านลบแบบครอบคลุม” (Negative cognitive bias)
ทำไมเราถึงรู้สึกแย่ แม้ทุกอย่างจะดูปกติดี?
มนุษย์มีแนวโน้มทางสมองที่จะ “จับผิด” หรือมองหาภัยอันตรายโดยธรรมชาติ เป็นกลไกการป้องกันตัวที่ตกทอดมาจากยุคดึกดำบรรพ์ สมองของเราจะประมวลข้อมูลลบได้รวดเร็วกว่าข้อมูลบวก (Kahneman, 2011)
และบางครั้ง เมื่อเราเหนื่อยล้า สะสมความเครียด หรือเผชิญกับความกดดัน สมองจะขยายความรู้สึกแย่ให้กลายเป็น “จริง” แม้ในความเป็นจริงสิ่งนั้นอาจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด
ความรู้สึกแย่ไม่ใช่ศัตรู — มันคือสัญญาณเตือน
อารมณ์ลบไม่ได้มีไว้ทำร้ายเรา แต่มันคือเครื่องเตือนว่า
“เฮ้ เราคงต้องหยุดพัก หรือต้องการใครสักคน”
ความรู้สึกเหล่านี้บ่งบอกว่าเราอาจกำลังขาดบางสิ่ง เช่น ความเข้าใจ ความอบอุ่น หรือพื้นที่ปลอดภัยสำหรับพักใจ
นักจิตวิทยา Carl Rogers กล่าวไว้ว่า
“มนุษย์จะเติบโตได้อย่างเต็มที่ ก็ต่อเมื่อรู้สึกว่าตนเองได้รับการยอมรับโดยไม่ต้องแสร้งเป็นใคร”
แล้วเราจะจัดการกับความรู้สึกนี้อย่างไรดี?
1. อย่ากดทับมัน
พูดหรือเขียนความรู้สึกของตัวเองออกมา เช่น เขียนไดอารี่ หรือพูดกับคนที่ไว้ใจได้
งานวิจัยของ Pennebaker (1997) พบว่า การเขียนความรู้สึกวันละ 15-20 นาทีช่วยลดความเครียดและภาวะซึมเศร้าได้จริง
2. ตั้งคำถามกลับ
“จริงไหมที่เราไม่มีค่า?” “คนอื่นจะไม่รักเราจริงๆ หรือแค่เราคิดไปเอง?”
เทคนิคนี้เรียกว่า Cognitive Restructuring เป็นการปรับความคิดเชิงลบให้สมเหตุสมผลมากขึ้น (Beck, 1976)
3. อยู่นิ่งๆ อย่างไม่ตัดสิน
ลองฝึกสมาธิแบบสติ (Mindfulness) ซึ่งช่วยให้เรามองอารมณ์แย่ๆ อย่างเป็นกลาง ไม่ตัดสิน ไม่ผลักไส
งานวิจัยจาก Harvard (Keng et al., 2011) พบว่าผู้ฝึกสติมีระดับความทุกข์ใจลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
สรุปท้ายบทความ
ความรู้สึกแย่ไม่ใช่สิ่งน่ารังเกียจ มันคือภาษาของจิตใจที่กำลังขอความเข้าใจ
บางครั้ง เราอาจไม่ได้ต้องการใครมาช่วยแก้ไข แค่มีคนที่เข้าใจและอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ ก็เพียงพอ
แหล่งอ้างอิง
1. Kahneman, D. (2011). Thinking, Fast and Slow.
2. Beck, A. T. (1976). Cognitive Therapy and the Emotional Disorders.
3. Pennebaker, J. W. (1997). Writing about emotional experiences as a therapeutic process.
4. Keng, S. L., Smoski, M. J., & Robins, C. J. (2011). Effects of mindfulness on psychological health: A review of empirical studies. Clinical psychology review.
โฆษณา