มหากาพย์การ "ส่งต่อมรดกพันล้าน" ของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี
เฮ้ยทุกคน! วันก่อนเราเจอข่าวโคตรพีคในตลาดหุ้นไทยนี่แหละ ไม่ใช่เรื่องหุ้นปั่นนะเว้ย แต่มันเป็นมหากาพย์การ "ส่งต่อมรดกพันล้าน" ของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี หรือที่เราคุ้นเคยกันดีในฐานะ "เจ้าของเบียร์ช้าง" นั่นแหละแก
มหากาพย์แบ่งเค้กหมื่นล้าน: เจ้าสัวเจริญสวมบท "ป๋าดัน" ส่งไม้ต่อให้ทายาท
คือเรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่ากลุ่มบริษัทในเครือเจ้าสัวเจริญ ทั้ง BJC (เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ ที่ขายของในบิ๊กซีไงทุกคน!), AWC (แอสเสท เวิรด์ คอร์ป ที่เป็นเจ้าของโรงแรมหรูๆ เพียบ) และ TGH (ไทยกรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ที่ทำธุรกิจประกันภัย) เนี่ย
เค้าแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่ามีการปรับโครงสร้างการถือหุ้นครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา
แกคิดดูดิ๊ เจ้าสัวแกจัดการโอนหุ้นทั้งหมดที่ถืออยู่ผ่านบริษัท "ศรัทธาทรัพย์ 9 จำกัด" ให้ลูกๆ ทั้ง 5 คน แบบเท่าๆ กันเลยนะ! อ่านแล้วนึกถึงฉากจบของหนังเรื่อง "The Godfather" เลยเว้ย
ที่ดอนคอร์เลโอเน่ส่งต่ออาณาจักรให้ลูกชายอย่างไมเคิล (แต่เวอร์ชั่นเจ้าสัวคือแบ่งเท่าๆ กัน ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบเหมือนในหนังนะ อันนี้คือความอัจฉริยะ) มันไม่ใช่แค่แบ่งเงินทองนะ แต่มันคือการแบ่ง "อำนาจ" และ "ความรับผิดชอบ" ที่สืบทอดกันในตระกูล
ฉลาดเกมส์โกง: การโอนหุ้นที่ไม่ต้องทำ Tender Offer
บางคนอาจจะสงสัยว่า "อ้าว! โอนหุ้นเยอะขนาดนี้ ไม่ต้องทำ Tender Offer เหรอวะ?" (อธิบายศัพท์: Tender Offer คือการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทจากผู้ถือหุ้นรายย่อย เมื่อมีการเข้าถือหุ้นในสัดส่วนที่ถึงเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยมีโอกาสขายหุ้นออกไปในราคาที่ยุติธรรม) คำตอบคือ "ไม่จ้ะ!"
นี่แหละคือความแยบยลของการวางแผน!
คือการโอนหุ้นครั้งนี้มันเกิดขึ้นในบริษัท "ศรัทธาทรัพย์ 9 จำกัด" ซึ่งเป็นบริษัทที่ควบคุมกิจการ BJC, AWC และ TGH ทางอ้อมอยู่แล้วไง! และที่สำคัญคือ ไม่มีลูกคนไหน หรือสมาชิกในครอบครัวคนไหน มีอำนาจควบคุมบริษัทศรัทธาทรัพย์ 9 จำกัด อย่างมีนัยสำคัญ หมายความว่า อำนาจการตัดสินใจหลักๆ ยังคงอยู่ที่คณะกรรมการบริหารของบริษัทนั้นๆ ไม่ได้ไปกระจุกตัวอยู่ที่คนใดคนหนึ่ง
มันเหมือนกับในวรรณกรรมคลาสสิกอย่าง "สามก๊ก" เลยนะ ที่ขงเบ้งวางแผนการรบแบบซับซ้อนซ่อนเงื่อน ไม่ใช่แค่การรบตรงๆ แต่เป็นการมองทะลุไปถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การโอนหุ้นครั้งนี้ก็เช่นกัน มันไม่ใช่แค่การแบ่งมรดกธรรมดาๆ แต่มันคือการวางรากฐานอำนาจและโครงสร้างการบริหารที่แข็งแกร่งสำหรับอนาคต โดยไม่ให้กระทบกระเทือนโครงสร้างการบริหารเดิม หรือทำให้เกิดความปั่นป่วนในตลาดหลักทรัพย์ฯ นี่คือความอัจฉริยะของการจัดการสินทรัพย์ที่ไม่ใช่แค่เงิน แต่เป็นการบริหารจัดการ "อำนาจ" ด้วย
เบื้องหลังม่าน: ไม่กระทบการบริหาร แค่เปลี่ยนมือผู้ถือ
แล้วที่สำคัญคือ ทางกลุ่มบริษัทเค้ายืนยันเสียงแข็งเลยนะว่า การปรับโครงสร้างครั้งนี้ "ไม่กระทบโครงสร้างการบริหารหรือธุรกิจ" ของทั้ง 3 บริษัทเลยแม้แต่น้อย! คือก็แค่เปลี่ยนมือผู้ถือหุ้นจากเจ้าสัวไปเป็นลูกๆ เท่านั้นเอง การบริหารจัดการก็ยังเป็นทีมงานชุดเดิมนั่นแหละ
มันก็เหมือนเราเล่นเกมส์กดสมัยเด็กๆ อ่ะ ปุ่มมันยังอยู่ที่เดิม ฟังก์ชันการใช้งานก็ยังเหมือนเดิม แค่คนกดเปลี่ยนไปเท่านั้นเอง! (แต่เกมนี้คนกดนี่มีพันล้านนะเว้ย!) การดำเนินการแบบนี้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของเจ้าสัว ที่ต้องการส่งต่อกิจการให้ลูกๆ อย่างเป็นระบบ และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะเรื่องการสืบทอดอำนาจ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายๆ บริษัทใหญ่ๆ ในโลกประสบปัญหา
มองในมุมที่ฉลาดกว่านั้นนะทุกคน การเคลื่อนไหวครั้งนี้มันสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างความยั่งยืนให้กับอาณาจักรธุรกิจของตระกูลสิริวัฒนภักดีในระยะยาว ไม่ใช่แค่การแบ่งสมบัติให้ลูกๆ ใช้ แต่เป็นการส่งต่อภาระและโอกาสในการบริหารจัดการธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่าลูกๆ ก็ต้องแบกรับความรับผิดชอบนี้ไว้บนบ่า ไม่ต่างอะไรกับเจ้าชายซิมบ้าใน "The Lion King" ที่ต้องก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำฝูงสิงโตอย่างเต็มตัว (แม้จะไม่ได้ต้องต่อสู้กับสการ์ก็ตามนะ)
สรุปง่ายๆ นะทุกคน ข่าวนี้มันแสดงให้เห็นว่าเจ้าสัวเจริญไม่ได้แค่รวยอย่างเดียวนะ แต่โคตรฉลาดในการบริหารจัดการทั้งธุรกิจและทรัพย์สินส่วนตัว การวางแผนแบบนี้แหละที่ทำให้กิจการใหญ่ๆ อยู่รอดและเติบโตต่อไปได้ในระยะยาว ไม่ใช่แค่ Generation เดียวแล้วจบกันไป
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
