28 พ.ค. เวลา 05:30 • ธุรกิจ

5ทายาท ‘เจ้าสัวเจริญ’ รับไม้ต่อคุมอาณาจักรธุรกิจ 1.2 ล้านล้าน

เปิดแผนเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ส่งไม้ต่อ 5 ทายาท คุมธุรกิจ 1.2 ล้านล้าน หลังโอนหุ้น BJC-AWC-TGH ที่ถือผ่านศรัทธาทรัพย์ 9 ให้ลูกทั้ง 5 คน สัดส่วนเท่าเทียมกัน ส่งสัญญาณการเปลี่ยนผ่านความเป็นเจ้าของธุรกิจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดทุนไทย
การเปลี่ยนผ่านความเป็นเจ้าของธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ตลาดทุนไทย เกิดขึ้นแล้วเมื่อ “เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี” ได้ดำเนินการโอนหุ้นทั้งหมดที่ถือครองผ่านบริษัท ศรัทธาทรัพย์ 9 จำกัด ให้แก่บุตรและธิดาทั้ง 5 คน ในสัดส่วนเท่าเทียมกัน เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2568
เปิดแผน “เจ้าสัวเจริญ” ส่งไม้ต่อ 5 ทายาท
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อการควบคุมใน 3 บริษัทจดทะเบียนยักษ์ใหญ่ ได้แก่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC, แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC แล บริษัท ไทยกรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TGH ที่มีมูลค่าสินทรัพย์รวมกันมากกว่า 13 แสนล้านบาท
การตัดสินใจของเจ้าสัวเจริญในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องฉับพลัน แต่เป็นผลจากการวางแผนการสืบทอดธุรกิจที่มอบหมายให้ทายาทแต่ละคนทำหน้าที่บริหารธุรกิจของครอบครัวมูลค่าสินทรัพย์รวมกันกว่า 1.2 ล้านล้านบาทมาก่อนหน้านี้
“อาทินันท์ พีชานนท์”คุมธุรกิจการเงิน ประกันภัย
นางอาทินันท์ พีชานนท์ ลูกสาวคนโตของเจ้าสัวเจริญได้รับมอบหมายให้ดูแลธุรกิจการเงินและประกันภัย ผ่านบริษัท ไทยกรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TGH ในฐานะรองประธานกรรมการบริหาร ภายใต้การบริหารจัดการสินทรัพย์กว่า 87,700 ล้านบาท ปี 2567 ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 17,859 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 430 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 313%
ในปี 2566 บริษัทได้ปรับโครงสร้างการถือหุ้นและโครงสร้างเงินทุนของกลุ่มธุรกิจประกันภัย กลุ่มธุรกิจรถเช่า และกลุ่มธุรกิจ การเงิน เพื่อให้โครงสร้างการถือหุ้นภายในกลุ่มบริษัทไทยกรุ๊ปมีความชัดเจน ส่งผลให้ปัจจุบัน บริษัทมีการลงทุนในบริษัทที่ ประกอบธุรกิจหลัก 4 ธุรกิจ ได้แก่
1. กลุ่มธุรกิจประกันชีวิต ดำเนินธุรกิจผ่านบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจหลัก คือ บริษัท อาคเนย์ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) 2. กลุ่มธุรกิจประกันภัย ดำเนินธุรกิจผ่านบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจหลัก คือ บริษัท อินทรประกันภัย จำกัด (มหาชน)
3. กลุ่มธุรกิจรถเช่า ดำเนินธุรกิจผ่านบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจหลัก คือ บริษัท อาคเนย์แคปปิตอล จำกัด 4. กลุ่มธุรกิจการเงิน ดำเนินธุรกิจผ่านบริษัทย่อย คือ บริษัท อาคเนย์ มันนี่ จำกัด (“SEM”) และบริษัท อาคเนย์ มันนี่ รีเทล จำกัด (“SEMR”) โดยมีบริษัท ไทยกรุ๊ป มันนี่ จำกัด (“TGM”) เป็นบริษัทโฮลดิ้งส์ของกลุ่มธุรกิจการเงิน
“วัลลภา ไตรโสรัส”คุมธุรกิจโรงแรม - มิกซ์ยูส
นางวัลลภา ไตรโสรัส ทายาทคนที่ 2 รับผิดชอบธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทผ่าน แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ที่มีมูลค่าสินทรัพย์สูงถึง 1.96 แสนล้านบาท ในฐานะ CEO และกรรมการผู้จัดการใหญ่ โดยนางวัลลภาได้ประกาศกลยุทธ์ลงทุนระยะ 5 ปี (2568-2572) มูลค่า 100,000 ล้านบาท เพื่อขยายมูลค่าทรัพย์สินดำเนินงานเป็น 2 เท่า หรือ 300,000 ล้านบาท ภายในปี 2572 ส่วนใหญ่ให้น้ำหนักไปที่การลงทุนภาคท่องเที่ยวบริการ
นอกจากนี้ยังมีโครงการมิกซ์ยูส “เวิ้งนครเกษม เยาวราช” มูลค่า 1.6 หมื่นล้านบาทแลนด์มาร์กใหม่ในย่านไชน่าทาวน์บนถนนเจริญกรุง ซอย 8-10 ที่ดินผืนประวัติศาสตร์ขนาด 14 ไร่ ใจกลางย่านเยาวราช ด้วยพื้นที่การพัฒนากว่า 135,000 ตารางเมตร หากโครงการแล้วเสร็จจะเชื่อมโยงกับอาณาจักรบนพระราม4 ของ นายปณต สิริวัฒนภักดี ผู้เป็นน้องชาย ที่ดินผืนนี้ เจ้าสัวเจริญซื้อต่อมาจากราชสกุลบริพัตร (ชื่อเดิมเวิ้งนาครเขษม) เมื่อปี 2555 ด้วยวงเงิน 4,507 ล้านบาท เพื่อนำออกพัฒนาเพิ่มมูลค่า
เล็งผุดเมกะโปรเจ็กต์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
ไม่ห่างกันมาก ที่ดินอีกแปลงติดแม่น้ำเจ้าพระยา ที่เจ้าสัวเจริญให้ความสำคัญสร้างประวัติศาสตร์แห่งสายน้ำ โครงการ เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟรอนท์ และมีแผนนำที่ดิน บริเวณที่ตั้งชิงช้าสวรรค์ หรือที่ดินฝั่งขวาพัฒนาเป็นโครงการเมกะโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส ตึกสูง 100 ชั้น สูงที่สุดในประเทศไทย เพื่อแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ
1
โดยมี Adrian Smith + Gordon Gill Architecture (AS+GG) บริษัทออกแบบสถาปัตยกรรมระดับนานาชาติจากสหรัฐ ที่เชี่ยวชาญในการออกแบบอาคารสูงระดับโลก เช่น เบิร์จ คาลิฟา ดูไบ เป็นผู้ออกแบบ โดยมีมูลค่ามากกว่า 3 หมื่นล้านบาท อีกทำเล คือ ล้ง 1919 ที่ดินแปลงประวัติศาสตร์มรดกวัฒนธรรมไทย-จีนอายุ 175 ปี เขตคลองสาน กรุงเทพมหานครใกล้ไอคอนสยาม ที่ AWC เช่าพื้นที่ระยะยาว จาก ตระกูลหวั่งหลี เนื้อที่ 8 ไร่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับย่านตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ โดยมีแผนพัฒนาเป็นแลนด์มาร์กด้านสุขภาพ
“ฐาปน สิริวัฒนภักดี” บริหารไทยเบฟฯ ธุรกิจเครื่องดื่ม อาหาร
นายฐาปน สิริวัฒนภักดี ทายาทคนที่ 3 ในฐานะลูกชายคนโตได้รับมอบหมายให้ดูแลธุรกิจเครื่องดื่ม อาหาร และสื่อ ผ่านไทยเบฟเวอเรจและอมรินทร์ ที่มีมูลค่าสินทรัพย์สูงสุดถึง 5.16 แสนล้านบาท ในฐานะกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โดยมีนายเจริญ สิริวัฒนภักดีดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร และมีรองประธานกรรมการบริหาร 5 คน ได้แก่ นายฐาปน สิริวัฒนภักดี นางสาวกนกนาฏ รังษีเทียนไชย นายอวยชัย ตันทโอภาส นายสิทธิชัย ชัยเกรียงไกร และดร.พิษณุ วิเชียรสรรค์ พร้อมด้วยกรรมการบริหารอีก 8 คน
ภายใต้การนำของนายฐาปน ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตเบียร์รายใหญ่ที่สุดในอาเซียนด้านปริมาณ ด้วยการขยายธุรกิจไปยังเวียดนาม เมียนมา และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ปัจจุบันบริษัทมีเครือข่ายการจำหน่ายครอบคลุมมากกว่า 90 ประเทศทั่วโลก และมีโรงงานผลิตกระจายอยู่ในหลายทวีป
ไทยเบฟเวอเรจดำเนินธุรกิจผ่าน 5 กลุ่มธุรกิจหลัก ประกอบด้วย 1. กลุ่มธุรกิจสุรา 2. กลุ่มธุรกิจเบียร์ 3. กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 4. กลุ่มธุรกิจอาหาร 5. กลุ่มธุรกิจต่อเนื่องและโลจิสติก
6 เดือนไทยเบฟโกยรายได้กว่า 1.7 แสนล้าน
โดยผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปีบัญชี 2568 (ตุลาคม 2567-มีนาคม 2568) มีรายได้จากการขายรวม 177,617 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิปรับตัวลดลง 9.2% มาอยู่ที่ 17,769 ล้านบาท ส่วนกำไรก่อนหักภาษี (EBITDA) อยู่ที่ 31,111 ล้านบาท ลดลง 5.3%
ธุรกิจสุรา ยังคงเป็นแหล่งกำไรหลักของบริษัทด้วยสัดส่วนกำไรสุทธิ 65.3% แม้จะมีรายได้จากการขายในช่วง 6 เดือนแรก 64,520 ล้านบาท ลดลง 1.5% ขณะที่ขณะที่ธุรกิจเบียร์ มีรายได้จากการขาย 66,201 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 19% อยู่ที่ 3,152 ล้านบาท
ส่วนธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ มีรายได้จากการขาย 33,438 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.5% แต่กำไรสุทธิลดลง 11.3% อยู่ที่ 3,114 ล้านบาท ด้านธุรกิจอาหาร เผชิญกับความท้าทายมากที่สุด ด้วยรายได้จากการขาย 11,145 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 0.7% แต่กำไรสุทธิลดลงอย่างมากถึง 61% เหลือเพียง 124 ล้านบาท
“ฐาปณี เตชะเจริญวิกุล” ดูแลธุรกิจค้าปลีก
1
นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ทายาทคนที่ 4 ในฐานะลูกสาวคนเล็กรับผิดชอบธุรกิจค้าปลีกและสินค้าอุปโภคบริโภคผ่าน เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC ที่มีมูลค่าสินทรัพย์ 3.34 แสนล้านบาท ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่
ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนี้เมื่อปี 2566 และมีแผนการนำ บิ๊กซี รีเทล คอร์ปอเรชั่น (BRC) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ BJC ประกอบธุรกิจหลากหลาย 5 กลุ่ม ตั้งแต่สินค้าอุปโภคบริโภค ค้าปลีกสมัยใหม่ เวชภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ และธุรกิจอื่นๆ
BJC ดำเนินธุรกิจผ่าน 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1. กลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภค 2. กลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ 3. กลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และทางเทคนิค 4. กลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ และ 5. กลุ่มธุรกิจอื่นๆ
ในปี 2567 เป็นปีที่ BJC แสดงผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง มีรายได้รวม 170,925 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7% จากปีก่อนหน้า กำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีเงินได้อยู่ที่ 12,931 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.9% จากปีก่อน แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้น 4,001 ล้านบาท ลดลง 16.5% จากปีก่อน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายภาษีที่สูงขึ้น
ขณะที่ไตรมาส 1/2568 บริษัทมีรายได้รวม 41,616 ล้านบาท ลดลง 0.8% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน กำไรสุทธิ 512 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 5.6% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
“ปณต สิริวัฒนภักดี” ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
นายปณต สิริวัฒนภักดี ลูกชายคนสุดท้อง ทำหน้าที่ควบคุมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และอาคารพาณิชย์ผ่าน เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ FPT ที่มีมูลค่าสินทรัพย์ 9.65 หมื่นล้านบาท ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท
ในปี 2567(ณ 30 ก.ย. 2567) บริษัทมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจ 13,534.30 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,467.01 ล้านบาท
เมื่อย้อนดูอาณาจักรอสังหา ริมทรัพย์ ของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ผู้บุกเบิกมาตั้งแต่ต้นภายใต้กลุ่มทีซีซี จากการสะสมพอร์ตที่ดินทั่วประเทศกว่า 6.3 แสนไร่ ซึ่งนับว่าสูงที่สุดในประเทศ ขณะโครงการที่พัฒนา ซึ่งล้วนเป็นโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ ที่บริหารจัดการผ่านทายาททั้งสอง คือนางวัลลภา ไตรโสรัส และ นายปณต สิริวัฒนภักดี เป็นผู้ดูแล
การพัฒนาอาณาจักรพระราม 4 เป็นโครงการที่ถูกพูดถึงมากที่สุด โดยเฉพาะการพัฒนากลุ่มอาคารขนาดใหญ่มิกซ์ยูสจำนวน 7 โครงการ มูลค่ากว่า 1.7 แสนล้านบาท บนที่ดินลิสโฮลด์ ที่เป็นไฮไลต์ โครงการอภิโปรเจ็กต์ วัน แบงค็อก มูลค่า 1.2 แสนล้านบาท บนที่ดินสำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เนื้อที่ 108 ไร่ ที่เปิดให้บริการเมื่อปลายปีที่ผ่านมา และยังพัฒนาต่อเนื่องในเฟสที่เหลือ
รวมถึงโครงการ นิคมอุตสหากรรม บนพื้นที่ 4,600 ไร่ บนถนนบางนา-ตราดกม.32 จังหวัดสมุทรปราการ ปัจจุบันเปิดพื้นที่เฟสแรกมูลค่า 2 หมื่นล้านบาท พัฒนาโครงการ อารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์ ภายใต้การกำกับดูแลของนายปณต สิริวัฒนภักดี ประธานกรรมการบริหารของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โดยได้ร่วมทุนพัฒนาระหว่างบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน), บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย จำกัด หรือเอเชีย อินดัสเตรียลเอสเตท
1
โฆษณา