28 พ.ค. เวลา 14:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ผู้ว่าธปท.เตือนรับมือสินค้านำเข้าท่วมตลาด แนะจัดสรรงบกระตุ้นศก.ช่วยผู้ส่งออก

ผู้ว่าธปท.แนะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ควรจัดสรรงบให้กับกลุ่มส่งออกและห่วงโซ่อุปทาน ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์ เตือนหามาตรการเร่งด่วนรับมือ สินค้านำเข้าทะลัก คลังเผยออมสินเตรียมซอฟต์โลน 1 แสนล้าน บสย.โยก 5,000 ล้านช่วยเอสเอ็มอี
นโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ของสหรัฐอเมริกากำลังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ซึ่งสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์)ประเมินว่า จะทำให้อัตราการขายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี)หายไปถึง 1% โดยค่ากลางที่ประเมินไว้คือ 1.8% หรือกรณีเลวร้ายที่การเจรจาไม่ประสบผลสำเร็จ การขายตัวของจีดีพีปีนี้ก็จะขยายตัวเพียง 1.2% เท่านั้น
คณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 จึงมีมติเห็นชอบแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาทบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งเป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยโยกงบประมาณที่จะใช้กับโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เฟส 3 มาดำเนินโครงการอื่นแทนนั้น
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ได้เสนอความเห็นธปท. เรื่องแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภายใต้กรอบวงเงิน 1.57 แสนล้านบาทมายังครม.ว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจควรให้น้ำหนักกับการบรรเทาผลกระทบและสนับสนุนการปรับตัวของภาคธุรกิจมากขึ้นด้วย
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)
ทั้งนี้การจัดสรรงบประมาณ ควรให้ความสำคัญกับการบรรเทาความเดือดร้อนต่อกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือ กลุ่มผู้ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ รวมถึงธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ที่เกี่ยวข้อง
และกลุ่มผู้ผลิตที่จะถูกกระทบจากการทะลักของสินค้าจากต่างประเทศ (import flooding) ที่รุนแรงขึ้น ซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างในภาคการผลิตที่ไทยเผชิญอยู่
1
โดยตั้งแต่ ปี 2565-2567 การนำเข้าสินค้าขั้นสุดท้ายเพิ่มขึ้นประมาณ 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งผู้ผลิตในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่มีข้อจำกัดในการปรับตัว และควรมีโครงการที่ช่วยให้ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ปรับตัวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มโอกาสในการเปิดตลาดใหม่ควบคู่ไปด้วย
นอกจากนั้น ควรมีมาตรการเร่งด่วนเพื่อรับมือกับ import flooding เพราะถ้าไม่ดำเนินการ ในเรื่องนี้ก่อน โครงการหรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายใต้แผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฯ อาจไม่มีประสิทธิผลเท่าที่ควร
แนวทางการรับมือที่ต้องเร่งดำเนินการ อาทิ การบังคับใช้กฎหมายและการตรวจสอบที่เข้มงวดใน 3 ด้าน ได้แก่ การตรวจมาตรฐานสินค้า การตรวจสินค้าผ่านด่าน และการป้องกันสวมสิทธิสินค้าเพื่อใช้ไทยเป็นทางผ่านในการส่งออก การเร่งรัดกระบวนการไต่สวน ข้อพิพาทกับต่างประเทศ เรื่องการที่สินค้าจากต่างประเทศเข้ามาทุ่มตลาดในไทย
การกำหนดให้แพลตฟอร์มออนไลน์ที่ขายสินค้าในไทยต้องจัดตั้งสำนักงานในประเทศไทย เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ การตรวจสอบมาตรฐานสินค้าและมีระบบชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม และการกำหนดมาตรการเพิ่มเติมด้านภาษี โดยตั้งภาษีหรือกำหนดโควตาการนำเข้าสินค้า หรือการเก็บภาษีสำหรับสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท
ธปท.เห็นด้วยกับการทบทวนแผนการใช้งบประมาณให้สอดรับกับสภาวการณ์ ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ทันท่วงที และไม่ขัดข้องกับหลักการของแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่เน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การเพิ่มผลิตภาพการผลิต และการรักษาระดับการจ้างงาน
โดยเฉพาะในภาคการผลิตและการส่งออกที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า การประกาศนโยบายการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้(Reciprocal tariff) ของประเทศมหาอำนาจ
1
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนกำลังถูกจับตามองว่า จะทำให้สินค้าของจีนที่ไม่สามารถเข้าตลาดสหรัฐฯได้หันมาส่งออกกับประเทศในอาเซียนรวมถึงไทยด้วย ซึ่งจากการรายงานล่าสุดของกระทรวงพาณิชย์พบว่า ประเทศไทยขาดดุลการค้าจีนต่อเนื่อง โดยในปี 2567 ไทยขาดดุลการค้าจีน 45,364 ล้านดอลลาร์ สูงเป็นประวัติการณ์ ส่วนในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.-เม.ย.) ไทยขาดดุลการค้าจีน 19,232 ล้านดอลลาร์ โดยไทยนำเข้าสินค้าจากจีน 31,564 ล้านดอลลาร์
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า(สนค.) กระทรวงพาณิชย์ รายงานว่า การส่งออกของไทยไปตลาดจีนเดือน เมษายน 2568 มูลค่า 3,549 ล้านดอลลาร์ เทียบช่วงเดียวกันกับปีที่แล้วขยายตัว 3.2% และนำเข้า 8,820 ล้านดอลลาร์ เป็นการนำเข้าสินค้าจีนรายเดือนสูงเป็นประวัติการณ์ รวมแล้วไทยขาดดุลการค้า 5,271 ล้านดอลลาร์
เมื่อดูรายละเอียดการนำเข้าจากจีน 5 อันดับแรกในเดือนเมษายน 2568 ไทยนำเข้าหลายรายการสูงขึ้น โดยนำเข้าเครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบมูลค่า 1,667 ล้านดอลลาร์ เทียบช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว เพิ่มขึ้น 110.6%
รองลงมาเป็นเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 848.2 เพิ่มขึ้น 37.8% เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน 658.6 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น21.6% ,เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 506.8 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 35.1% และเคมีภัณฑ์ 496.8 ล้านดอลลาร์ ลดลง11.0%
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลังกล่าวว่า รัฐบาลได้ปรับแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ โดยทบทวนงบประมาณ 1.57 แสนล้านบาท เพื่อสนับสนุนการเติบโตเศรษฐกิจในระยะสั้นในปี 2568 ต่อเนื่องไปถึงปีงบประมาณ 2569-2570 เพื่อแก้ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจไทยและสร้างการแข่งขันกับชาวโลก
จะมีการปรับปรุงมีโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ภาคเกษตร แก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง เรื่องการขนส่งและพลังงาน ก็จะดูแลให้ตอบโจทย์การเข้ามาลงทุน ซึ่งสภาพัฒน์รายงานข้อมูลโครงการที่อยากดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างประเทศ มูลค่ากว่า 4 ล้านล้านบาท จึงมอบหมายให้ไปจัดลำดับโครงการสำคัญมา เพื่อดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้จากเม็ด 1.57 แสนล้านบาทนั้น เงินส่วนหนึ่งจะนำไปดูแลเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออกและรัฐบาลยังได้มอบนโยบายแบงก์รัฐจัดทำมาตรการดูแลผู้ได้รับผลกระทบ โดยธนาคารออมสินได้เตรียมสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ(ซอฟต์โลน) วงเงิน 1 แสนล้านบาทไว้ เป็นต้น ส่วนธปท.ได้หารือธนาคารพาณิชย์ เพื่อเตรียมสภาพคล่องดูแลผู้ประกอบการด้วย
นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) กล่าวว่า บสย.ได้เตรียมมารตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายรัฐบาล โดยจะเสนอกระทรวงการคลังขอโยกวงเงินจากมาตรการกระบะพี่ มีคลังค้ำ ที่เตรียมวงเงินไว้ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน แต่มียอดค้ำประกันเพียง 200 คัน จึงจะดึง 5,000 ล้านบาทที่จะทำเฟส2 มาเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี
ทั้งนี้ในจำนวน 5,000 ล้านบาทจะแบ่งเป็น 3,000 ล้านบาท จะเติมเข้าไปในโครงการเอสเอ็มอีที่่ได้รับผลลบจากการส่งออก เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง อีก 1,000 ล้านบาท จะเป็นกลุ่มรายย่อย ไมโครเอสเอ็มอี กลุ่มเปราะบาง อาชีพอิสระ ผ่านแอพพลิเคชั่น รายละ 50,000- 100,000 บาท
ส่วนที่เหลือ 1,000 ล้านบาทสุดท้ายจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งจะไปเติมโครงการค้ำประกันผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ขนาดเล็ก ขนาดกลาง ที่ช่วงเริ่มต้นโครงการ ยังไม่มียอดจองและยอดดาวน์เข้ามา แต่ต้องการสภาพคล่อง จึงเข้าไปช่วยเติมให้แบงค์กล้าที่จะปล่อยกู้เป็นพรีไฟแนนซ์ให้ลงทุนได้ ถ้าพรีไฟแนนซ์ได้ โพสต์ไฟแนนซ์ ส่วนใหญ่ก็คือ รายย่อยไปซื้อบ้าน มันก็น่าจะไปต่อได้แล้ว
สำหรับผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่บสย.จะไปค้ำประกันจะเป็นผู้ประกอบการรายเล็กๆ ในท้องถิ่น หรือต่างจังหวัด เน้นอสังหาฯ ห้องแถว 5-10 ห้องให้ค้ำประกันต่อรายไม่เกิน 10 ล้านบาท ระยะเวลา 10 ปี และอีกกลุ่ม จะเป็นกลุ่มที่ต้องการปรับตัวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ พวกสมาร์ทกรีน
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะเป็นเรื่องการเติมเม็ดเงินเข้าไปในโครงการเดิมที่มีอยู่แล้ว เพื่อไปช่วยเหลือเอสเอ็มอีให้เข้าถึงสินเชื่อมากขึ้น กลุ่มแรกก็เป็นกลุ่มเสริมสภาพคล่องผู้ส่งออก สําหรับคนที่รับผลกระทบจากสงครามการค้า
สำหรับการดำเนินการปีนี้พยายามเจาะกลุ่มรายย่อย เพราะห่วงเรื่องสภาพคล่อง โดยเฉพาะสินเชื่อ 50,000 - 1 แสนบาท โดยพยายามจะจับมือกับแบงก์ค์ที่เขาเจาะกลุ่มนี้อยู่แล้ว และดอกเบี้ยไม่สูงมาก อาจเป็นแบงก์รัฐ หรือผ่านแพลตฟอร์มมือถือ เป็นโครงการเดิม แต่เติมวงเงิน ในโครงการ small biz อยู่ภายใต้โครงการหลักคือ PGS11
นายสิทธิกรกล่าวต่อว่า บสย.อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับสมาคมลีสซิ่งและสมาคมยานยนต์เกี่ยวกับปัญหาการค้ำประกันในมาตรการ กระบะพี่ มีคลังค้ำ เพราะเดิมที่ให้บสย.เข้ามาค้ำประกัน เนื่องยอดปฏิเสธสินเชื่อรถกระบะสูงมากประมาณ 30% จึงประเมินว่า หากมีบสย.ค้ำประกันค้ำยอดปฏิเสธน่าจะลดเหลือ 10% แต่ปรากฎว่า ยอดปฏิเสธก็ยังสูงที่ 30% ไม่ได้ลดลงเลย
“เราพยายามอัพเดทกันอยู่ เอกสารบางอย่าง ถ้าผ่อนคลายได้ เช่น เดิมลูกค้ายื่นไฟแนนซ์ ต้องขอภงด. 90 ประกอบด้วย เพราะมาตรการต้องการช่วยคนทํามาหากิน ไม่ใช่ซื้อกระบะไปขับเล่น แต่สัญญาเช่าซื้อส่วนใหญ่จะเขียนว่า สัญญาเช่าซื้อเชิงพาณิชย์อยู่แล้ว จึงจะนำเนื่องเสนอบอร์ด เพื่อผ่อนคลายเกณฑ์ไม่ต้องยื่นภงด.90 แล้ว” นายสิทธิกรกล่าวทิ้งท้าย
โฆษณา