จากนั้นในปี 2003 เข้าก็เริ่มมีฟอร์มการเล่นที่ดีขึ้น สามารถทะลุเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศในรายการระดับ Grand Prix หลายรายการ เช่น Dutch Open และ Thailand Open ถึงตอนนี้ เขาเริ่มมีชื่อเสียงในฐานะ “ดาวรุ่งพุ่งแรงจากมาเลเซีย”
พอมาถึงปี 2004 นับได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของเขาเนื่องจากเขาสามารถคว้าแชมป์ระดับโลกเป็นครั้งแรกได้สำเร็จ ด้วยการเอาชนะ Sony Dwi Kuncoro จากอินโดนีเซียในรอบชิงชนะเลิศ คว้าแชมป์ Malaysia Open 2004 ได้สำเร็จ ถือเป็นแชมป์ระดับ Grand Prix ครั้งแรกในชีวิต
ปี 2005 เป็นปีแห่งการพิสูจน์ตัวเองของลี ชอง เหว่ย เขาคว้าเหรียญทองแดงในศึกชิงแชมป์โลกที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ขึ้นโพเดียมระดับโลกได้สำเร็จ เขาทำผลงานเอาชนะ Taufik Hidayat, Peter Gade และนักแบดมินตันระดับท็อปหลายคนในปีนี้ สามารถคว้าแชมป์แบดมินตันหลายรายการ เช่น Denmark Open และ Swiss Open ถึงตอนนี้เขาเริ่มได้รับฉายาจากสื่อว่า “The Silent Assassin” ด้วยสไตล์การเล่นที่นิ่ง เฉียบ และไม่โอ้อวด
ปี 2006 เขาเข้าชิงเหรียญทองใน Asian Games 2006 ที่โดฮา แต่แพ้ Lin Dan อย่างขาดลอยในรอบชิงชนะเลิศ จนต่อมา เขาเริ่มกลายเป็นคู่ปรับหลักของ Lin dan ในการชิงความเป็นหนึ่งของโลก โดยในปีนี้ เขาได้รับรางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมแห่งชาติของมาเลเซียด้วย
ปี 2007 เขาได้รับการจัดอันดับให้เป็นมือ 2 ของโลกตามหลัง Lin Dan โดยที่เขามีฟอร์มการเล่นที่ดีใน Super Series หลายรายการ แต่ไม่สามารถคว้าแชมป์ All England หรือ World Championships ได้สักที จนเริ่มมีเสียงวิจารณ์ว่า "เขาเก่งแต่ในบ้าน (Malaysia Open)" ซึ่งลี ชอง เหว่ยก็ตอบโต้เสียงวิจารณ์เหล่านี้ด้วยการซ้อมหนักขึ้นอีกเท่าตัว
ปี 2008 เขาคว้าแชมป์ All England ครั้งแรกในชีวิตได้สำเร็จ ซึ่งการชนะเลิศรายการนี้ ถือเป็นความใฝ่ฝันของนักแบดมินตันทุกคน นอกจากนี้เขาได้รับสิทธิเข้าแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก ปักกิ่ง 2008 และทะลุเข้ารอบชิงชนะเลิศชายเดี่ยว โดยต้องไปพบกับ Lin Dan คู่ปรับเก่า แต่ผลการแข่งขันคือเขาต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบต่อ Lin Dan อีกครั้ง ด้วยสกอร์ 21-12, 21-8 ทำให้ได้แค่เหรียญเงินไปครอง ซึ่งถือเป็นเหรียญโอลิมปิกเหรียญแรกของแบดมินตันมาเลเซีย และจุดเริ่มของความภาคภูมิใจและความเสียใจไปพร้อม ๆ กัน
ปี 2009 ลี ชอง เหว่ย ขึ้นครองเบอร์ 1 ของโลกอย่างเต็มตัว โดยเขาคว้าแชมป์ Malaysia Open, Swiss Open, Indonesia Open และ Hong Kong Open ได้สำเร็จ เขาได้รับการจัดอันดับเป็นมือ 1 ของโลก โดย BWF อย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เองที่เขาเริ่มครองมือวางอันดับ 1 ของโลกแบบยาวนาน เป็นปีแรกของตำนาน 199 สัปดาห์รวด ย้ำว่า 199 สัปดาห์รวด ไม่มีตกหล่นไปอันดับ 2 เลยแม้แต่วันเดียว
ปี 2010 เป็นปีที่เขาสามารถคว้าแชมป์ในรายการ Super Series มากที่สุดในชีวิต เขาคว้าแชมป์ Super Series Final เป็นครั้งแรกในอาชีพ และยังคว้าแชมป์อีก 7 รายการในปีเดียว รวมถึง All England Open 2010 (ซึ่งเป็นแชมป์ครั้งที่ 2) ถึงตรงนี้เอง เขาถูกยกย่องให้เป็น “ราชาแห่ง Super Series” แต่ผลงานใน World Championships 2010 เขาต้องแพ้ให้กับ Chen Long คู่แข่งจากจีนอีกคนหนึ่ง และยังไม่ได้แชมป์โลกเสียที
ต่อมาในปี 2011 ปีนี้เขาใกล้เคียงกับการเป็นแชมป์โลกที่สุดในชีวิต ซึ่งนอกจากจะคว้าแชมป์ All England (สมัยที่ 3) และ Indonesia Open, India Open แล้ว เขาก็ยังเข้าชิง ศึกชิงแชมป์โลก 2011 อีกครั้ง โดยคู่แข่งในรอบชิงชนะเลิศจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากคู่ปรับตลอดการ Lin Dan จากจีน แมทช์นี้ ลี ชอง เหว่ยต้องผิดหวังอีกครั้ง เขาพ่ายอย่างฉิวเฉียดให้กับ Lin Dan ในแมตช์สุดดุเดือด 20–22, 21–14, 23–21 ซึ่งการแข่งขันแมทช์นี้ ได้ถูกยกย่องให้ถือเป็นหนึ่งในแมตช์คลาสสิกที่สุดตลอดกาลของวงการแบดมินตันโลก
“ผมร้องไห้หนักมากในห้องพัก เพราะผมเชื่อว่านั่นคือโอกาสดีที่สุดในชีวิตที่จะคว้าแชมป์โลก” – Lee Chong Wei
ในปี 2012 เขาได้เหรียญโอลิมปิกที่สองของตัวเอง และต้องเสียน้ำตาอีกครั้งที่ลอนดอน ปีนี้ ลี ชอง เหว่ย ได้รับบาดเจ็บหนักที่ข้อเท้าในการแข่ง Thomas Cup ทำให้ต้องพักหลายเดือนก่อนโอลิมปิกจะเริ่มขึ้น แฟน ๆ แบดมินตันกังวลว่าเขาอาจหายไม่ทัน แต่ทว่าเขา “ฝืนเจ็บ” กลับมาซ้อมหนักจนกลับมาแข่งขันได้ทันเวลา
ในปี 2013 ฝีมือเขาก็ยังแข็งแกร่งอยู๋ แต่ก็ยังแพ้ Lin Dan อีกครั้ง ถึงแม้ในปีนี้เขาจะคว้าแชมป์ Super Series หลายรายการ เช่น Malaysia Open, India Open, Indonesia Open แต่การเข้ารอบชิงชนะเลิศ ศึกชิงแชมป์โลก 2013 อีกครั้งที่กวางโจว โดยเจอกับ Lin Dan นั้น มันเป็นอะไรที่เขาตั้งตารอจะแก้มือให้ได้ อะไรจะแพ้ได้ทุกครั้งที่เจอกันขนาดนี้
ปี 2014 ลี ชอง เหว่ย สามารถคว้าแชมป์ได้ถึง 10 รายการภายในปีเดียว เช่น Korea Open, Japan Open และ India Open พร้อมทั้งก้าวขึ้นมาเป็นมือวางอันดับ 1 ของโลกอีกครั้ง รวมแล้ว 349 สัปดาห์ตลอดชีวิตการเล่นอาชีพ ซึ่งสถิตินี้ เป็นสถิติที่มากที่สุดตลอดกาล ยังไม่มีใครเคยทำได้จนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ในปี 2015 เขากลับมาลงสนามอีกครั้งหลังจากพ้นโทษแบน และสามารถคว้าแชมป์ China Open และ Hong Kong Open ได้ภายใน 2 สัปดาห์ และหลังจากนั้นในรายการ World Championships 2015 ที่จาการ์ตา เขาเข้าชิงชนะเลิศอีกครั้ง แต่ก็แพ้ Chen Long 14–21, 17–21 ได้เหรียญเงินอีกแล้ว...
ปี 2016 จะมีโอลิมปิกที่กรุงริโอเดจาเนโร บราซิล และอาจจะเป็นโอลิมปิกครั้งสุดท้ายในชีวิต เขาเตรียมตัวอย่างหนักมาก ปีนี้เขากลับมาคว้าแชมป์ Malaysia Open, Indonesia Open และกลับขึ้นมือวางอันดับ 1 ของโลกอีกครั้ง
โอลิมปิก 2016 ริโอ แบดมินตันชายเดี่ยวรอบรองชนะเลิศ เขาสามารถเอาชนะ Lin Dan แบบสะใจคนดู 15–21, 21–11, 22–20 และนี่เป็นครั้งแรก ที่เขาเอาชนะ Lin Dan ได้ในกีฬาโอลิมปิก ทำให้เขาได้เข้าไปชิงชนะเลิศกับนักแบดมินตันจากจีนอีกคนนึงนั่นคือ Chen Long แต่เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้ง เขาแพ้ Chen Long ไปด้วยสกอร์ 18–21, 18–21 ทำให้เขาได้เหรียญเงินโอลิมปิกเป็นเหรียญที่ 3
ในปี 2017 แม้เขาจะอายุ 35 แล้ว แต่ลี ชอง เหว่ยยังคงลงแข่งรายการใหญ่อย่างต่อเนื่อง เขาคว้าแชมป์ Malaysia Open เป็นสมัยที่ 12 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดตลอดกาล ส่วนในศึก World Championships 2017 ที่กลาสโกล์ เขาแพ้ Lin Dan อีกครั้งในรอบ 8 คนสุดท้าย
เขาคว้าแชมป์รายการ BWF Super Series และ World Tour รวมทั้งหมด 47 รายการ สูงที่สุดตลอดกาล ไม่เคยมีใครทำได้เยอะขนาดนี้มาก่อนแม้แต่ Lin Dan ก็ตาม
เขาเป็นนักแบดมินตันที่ “คงเส้นคงวา” ที่สุดในยุคของเขา สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับนักกีฬาแบดมินตันทั่วโลก เขาไม่เคยมีข่าวเสียหายหรือพฤติกรรมไม่เหมาะสมในสนามเลยตลอด 19 ปีในอาชีพจนได้รับฉายาว่า “สุภาพบุรุษลูกขนไก่” (The Gentleman of Badminton) และได้รับรางวัล Fair Play และ Athlete Role Model จากหลายเวที รวมถึง IOC
ความสุดยอดอีกเรื่องนึงที่เขาได้ทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังคือ การปะทะกันกับคู่รักคู่แค้นตลอดกาลของเขา การเจอกันระหว่าง ลี ชอง เหว่ย vs หลิน ตัน กลายเป็นคู่ชิงแห่งยุคที่ยกระดับแบดมินตันโลก หากจะเปรียบเทียบ คงไม่แตกต่างกับ Roger Federer vs Rafael Nadal ในวงการเทนนิสโลกแบบนั้นเลย