28 พ.ค. เวลา 17:19 • กีฬา

ลี ชอง เหว่ย ราชันผู้ไร้บัลลังก์

หากพูดถึงนักกีฬาที่ชื่อว่า ลี ชอง เหว่ย เชื่อว่าคนที่ชื่นชอบกีฬาน่าจะพอได้ยินชื่อคุ้นหูกันบ้างไม่มากก็น้อย เขาคือนักกีฬาแบดมินตันชายเดี่ยว ชาวมาเลเซีย ที่ปัจจุบันเลิกเล่นไปแล้ว เขาถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในสอง GOAT (The Greatest of all times) ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการแบดมินตันที่โลกนี้เคยมีมา
แต่เชื่อหรือไม่ว่า ตลอดอาชีพการเป็นนักกีฬาแบดมินตันของเขา ไม่เคยได้สัมผัสตำแหน่งชนะเลิศรายการ 2 รายการที่ถูกยกให้เป็นรายการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในกีฬาแบดมินตันเลย นั่นคือตำแหน่งแชมป์โลก และเหรียญทองโอลิมปิก
รายการแบดมินตันชิงแชมป์โลก (BWF World Championship) มีแข่งขันกันทุกปี โดยเขาเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 10 ครั้งตลอดอาชีพนักกีฬา แต่ไม่เคยได้เหรียญทองเลยแม้แต่เหรียญเดียว
การแข่งขันแบดมินตันชายเดี่ยวในโอลิมปิกซึ่ง 4 ปีมีครั้งเดียว เขาเข้าแข่งขันทั้งหมดถึง 4 ครั้ง แต่ก็ไม่เคยได้เหรียญทองเลยสักเหรียญ
แล้วทำไมเขาไม่เคยได้แชมป์ทั้งสองรายการนี้ แต่ก็ยังถูกยกย่องให้เป็น GOAT ในวงการแบดมินตันได้ เราจะมาดูเรื่องราวของลี ชอง เหว่ยกันครับ
ลี ชอง เหว่ย เกิดที่เมืองบากัน เซอไร รัฐเประ ประเทศมาเลเซีย เขาเป็นบุตรคนที่สองในจำนวนพี่น้อง 4 คน ฐานะทางบ้านค่อนข้างยากจน พ่อทำงานเป็นช่างก่อสร้าง แม่ทำงานร้านอาหาร
ในวัยเด็ก ลี ชอง เหว่ย ชื่นชอบการเล่นบาสเกตบอล แต่แม่ของเขาห้ามเนื่องจากกังวลเรื่องแสงแดดที่ร้อนแรงที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย ต่อมาเมื่ออายุ 11 ปี พ่อพาเขาไปที่สนามแบดมินตันในท้องถิ่น ทำให้เขาเริ่มสนใจกีฬาแบดมินตัน และก็ได้เริ่มต้นลองเล่นกีฬาแบดมินตันตั้งแต่นั้นมา หลังากนั้นไม่นาน โค้ชท้องถิ่นชื่อ เต๊ะ เป็ง ฮวด (Teh Peng Huat) ก็เห็นแววของเขาในกีฬาแบดมินตัน และขออนุญาตพ่อของเขาเพื่อฝึกสอนเขา โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายและรับส่งเขาหลังการฝึกซ้อมทุกครั้ง
ลี ชอง เหว่ย ฝึกซ้อมอย่างหนักทุกวันหลังเลิกเรียน แม้จะไม่มีอุปกรณ์ที่ดีหรือรองเท้าแบดมินตันคุณภาพสูง ในตอนนั้นเขาเคยใช้กระทะเป็นไม้แบดมินตันในการฝึกซ้อม เพราะครอบครัวไม่สามารถซื้อไม้แบดมินตันให้ได้ เนื่องจากอุปกรณ์กีฬาที่ดีมีราคาสูงเกินไป
ต่อมาตอนเขาอายุ 17 ปี เขาได้รับการคัดเลือกเข้าสู่ทีมชาติชุดเยาวชนของมาเลเซีย โดยการสนับสนุนจาก มิสบุน ไซเด็ก (Misbun Sidek) อดีตนักแบดมินตันชื่อดังของมาเลเซีย โดยในปี 2002 เขาเริ่มลงแข่งขันในรายการระดับนานาชาติเล็ก ๆ เช่น Malaysia Satellite และ Singapore Open ซึ่งผลงานของเขายังไม่โดดเด่นมากนัก แต่เขาแสดงให้เห็นถึงสไตล์การเล่นที่เน้นความเร็ว ความแม่นยำ และการป้องกันเหนียวแน่น
จากนั้นในปี 2003 เข้าก็เริ่มมีฟอร์มการเล่นที่ดีขึ้น สามารถทะลุเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศในรายการระดับ Grand Prix หลายรายการ เช่น Dutch Open และ Thailand Open ถึงตอนนี้ เขาเริ่มมีชื่อเสียงในฐานะ “ดาวรุ่งพุ่งแรงจากมาเลเซีย”
พอมาถึงปี 2004 นับได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของเขาเนื่องจากเขาสามารถคว้าแชมป์ระดับโลกเป็นครั้งแรกได้สำเร็จ ด้วยการเอาชนะ Sony Dwi Kuncoro จากอินโดนีเซียในรอบชิงชนะเลิศ คว้าแชมป์ Malaysia Open 2004 ได้สำเร็จ ถือเป็นแชมป์ระดับ Grand Prix ครั้งแรกในชีวิต
โดยในปีนี้เอง เขาก็ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก เอเธนส์ 2004 ขณะอายุได้เพียง 21 ปี แต่ก็น่าเสียดาย เนื่องจากเขาไปแพ้ในรอบ 32 คนสุดท้ายให้กับ Chen Hong มือวางอันดับ 2 ของรายการจากจีน ซึ่งถือเป็นบทเรียนครั้งสำคัญอีกครั้งของเขาในการแข่งขันแบดมินตันอาชีพ
เส้นทางของนักแบดมินตันอาชีพของเขาตอนนี้ดูมั่นคงและสดใสขึ้นมาตามลำดับ เนื่องจากเขาเป็นนักกีฬาที่มีวินัย มีความอดทน และเป็นคนหัวอ่อน พร้อมเปิดรับคำสอนและคำแนะนำที่ดีจากคนอื่น ๆ อยู่เสมอ ครั้งหนึ่ง Misbun Sidek โค้ชผู้ปลุกปั้นลี ชอง เหว่ย ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “ลีเป็นเด็กที่ไม่พูดเยอะ แต่เขารับฟังและทำตามทุกอย่างที่สอน นั่นคือสิ่งที่ผมรู้ว่า เขาจะไปได้ไกลมาก”
ปี 2005 เป็นปีแห่งการพิสูจน์ตัวเองของลี ชอง เหว่ย เขาคว้าเหรียญทองแดงในศึกชิงแชมป์โลกที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ขึ้นโพเดียมระดับโลกได้สำเร็จ เขาทำผลงานเอาชนะ Taufik Hidayat, Peter Gade และนักแบดมินตันระดับท็อปหลายคนในปีนี้ สามารถคว้าแชมป์แบดมินตันหลายรายการ เช่น Denmark Open และ Swiss Open ถึงตอนนี้เขาเริ่มได้รับฉายาจากสื่อว่า “The Silent Assassin” ด้วยสไตล์การเล่นที่นิ่ง เฉียบ และไม่โอ้อวด
ปี 2006 เขาเข้าชิงเหรียญทองใน Asian Games 2006 ที่โดฮา แต่แพ้ Lin Dan อย่างขาดลอยในรอบชิงชนะเลิศ จนต่อมา เขาเริ่มกลายเป็นคู่ปรับหลักของ Lin dan ในการชิงความเป็นหนึ่งของโลก โดยในปีนี้ เขาได้รับรางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมแห่งชาติของมาเลเซียด้วย
ปี 2007 เขาได้รับการจัดอันดับให้เป็นมือ 2 ของโลกตามหลัง Lin Dan โดยที่เขามีฟอร์มการเล่นที่ดีใน Super Series หลายรายการ แต่ไม่สามารถคว้าแชมป์ All England หรือ World Championships ได้สักที จนเริ่มมีเสียงวิจารณ์ว่า "เขาเก่งแต่ในบ้าน (Malaysia Open)" ซึ่งลี ชอง เหว่ยก็ตอบโต้เสียงวิจารณ์เหล่านี้ด้วยการซ้อมหนักขึ้นอีกเท่าตัว
ปี 2008 เขาคว้าแชมป์ All England ครั้งแรกในชีวิตได้สำเร็จ ซึ่งการชนะเลิศรายการนี้ ถือเป็นความใฝ่ฝันของนักแบดมินตันทุกคน นอกจากนี้เขาได้รับสิทธิเข้าแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก ปักกิ่ง 2008 และทะลุเข้ารอบชิงชนะเลิศชายเดี่ยว โดยต้องไปพบกับ Lin Dan คู่ปรับเก่า แต่ผลการแข่งขันคือเขาต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบต่อ Lin Dan อีกครั้ง ด้วยสกอร์ 21-12, 21-8 ทำให้ได้แค่เหรียญเงินไปครอง ซึ่งถือเป็นเหรียญโอลิมปิกเหรียญแรกของแบดมินตันมาเลเซีย และจุดเริ่มของความภาคภูมิใจและความเสียใจไปพร้อม ๆ กัน
ปี 2009 ลี ชอง เหว่ย ขึ้นครองเบอร์ 1 ของโลกอย่างเต็มตัว โดยเขาคว้าแชมป์ Malaysia Open, Swiss Open, Indonesia Open และ Hong Kong Open ได้สำเร็จ เขาได้รับการจัดอันดับเป็นมือ 1 ของโลก โดย BWF อย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เองที่เขาเริ่มครองมือวางอันดับ 1 ของโลกแบบยาวนาน เป็นปีแรกของตำนาน 199 สัปดาห์รวด ย้ำว่า 199 สัปดาห์รวด ไม่มีตกหล่นไปอันดับ 2 เลยแม้แต่วันเดียว
199 สัปดาห์ ถ้านับเป็นวันคือ 1393 วัน หรือคือเท่ากับระยะเวลา 3 ปี 8 เดือนเศษ คิดดูว่าจะต้องใช้ฝีมือ ความพยายาม ความอดทน และความฟิตของร่างกายขนาดไหนถึงยืนระยะบนอันดับ 1 ของโลกอยู่ได้ยาวนานขนาดนี้ สถิตินี้เป็นสถิติตลอดกาล ที่ยังไม่เคยมีใครทำได้ และน่าจะมีโอกาสน้อยมากที่จะโดนทำลาย เป็นสถิติที่ตั้งแต่มีกีฬาแบดมินตันมาไม่เคยมีใครไปถึงมาก่อน แต่เขาคนนี้ทำได้
ช่วงนี้เป็นช่วงที่พีคที่สุดในการเล่นแบดมินตันอาชีพของลี ชอง เหว่ย สไตล์การเล่นของเขาช่วงนี้พัฒนาขึ้นชัดเจนจนถึงขั้นที่เรียกว่า สมบูรณ์แบบ มีเกมบุกที่เฉียบคมมาก รับเหนียวแน่นเหมือนเดิม และร่างกายฟิตขั้นสุด
ปี 2010 เป็นปีที่เขาสามารถคว้าแชมป์ในรายการ Super Series มากที่สุดในชีวิต เขาคว้าแชมป์ Super Series Final เป็นครั้งแรกในอาชีพ และยังคว้าแชมป์อีก 7 รายการในปีเดียว รวมถึง All England Open 2010 (ซึ่งเป็นแชมป์ครั้งที่ 2) ถึงตรงนี้เอง เขาถูกยกย่องให้เป็น “ราชาแห่ง Super Series” แต่ผลงานใน World Championships 2010 เขาต้องแพ้ให้กับ Chen Long คู่แข่งจากจีนอีกคนหนึ่ง และยังไม่ได้แชมป์โลกเสียที
ต่อมาในปี 2011 ปีนี้เขาใกล้เคียงกับการเป็นแชมป์โลกที่สุดในชีวิต ซึ่งนอกจากจะคว้าแชมป์ All England (สมัยที่ 3) และ Indonesia Open, India Open แล้ว เขาก็ยังเข้าชิง ศึกชิงแชมป์โลก 2011 อีกครั้ง โดยคู่แข่งในรอบชิงชนะเลิศจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากคู่ปรับตลอดการ Lin Dan จากจีน แมทช์นี้ ลี ชอง เหว่ยต้องผิดหวังอีกครั้ง เขาพ่ายอย่างฉิวเฉียดให้กับ Lin Dan ในแมตช์สุดดุเดือด 20–22, 21–14, 23–21 ซึ่งการแข่งขันแมทช์นี้ ได้ถูกยกย่องให้ถือเป็นหนึ่งในแมตช์คลาสสิกที่สุดตลอดกาลของวงการแบดมินตันโลก
“ผมร้องไห้หนักมากในห้องพัก เพราะผมเชื่อว่านั่นคือโอกาสดีที่สุดในชีวิตที่จะคว้าแชมป์โลก” – Lee Chong Wei
ในปี 2012 เขาได้เหรียญโอลิมปิกที่สองของตัวเอง และต้องเสียน้ำตาอีกครั้งที่ลอนดอน ปีนี้ ลี ชอง เหว่ย ได้รับบาดเจ็บหนักที่ข้อเท้าในการแข่ง Thomas Cup ทำให้ต้องพักหลายเดือนก่อนโอลิมปิกจะเริ่มขึ้น แฟน ๆ แบดมินตันกังวลว่าเขาอาจหายไม่ทัน แต่ทว่าเขา “ฝืนเจ็บ” กลับมาซ้อมหนักจนกลับมาแข่งขันได้ทันเวลา
โอลิมปิก ลอนดอน 2012 การแข่งขันแบดมินตัน ชายเดี่ยว ลี ชอง เหว่ยเดินทางมาถึงรอบชิงชนะเลิศอีกครั้ง โดยพบกับคู่รักคู่แค้นคนสำคัญ Lin Dan จากจีนนั่นเอง โดยทั้งสองคนสู้กัน 3 เกมแบบสูสีสุดขีด โดยครั้งนี้เป็นการตอกย้ำชัยชนะอีกครั้งของ Lin Dan โดยสามารถเอาชนะ ลี ชอง เหว่ย ไป 2 - 1 เซ็ท ด้วยสกอร์ 15–21, 21–10, 21–19 ลี ชอง เหว่ย เป็นฝ่ายพ่ายแพ้อีกครั้ง และต้องยอมรับเหรียญเงินโอลิมปิกเป็นครั้งที่ 2 หลังจบแมตช์ เขานั่งลงกับพื้น ก้มหน้า น้ำตาไหล แฟนทั้งสนามลุกปรบมือให้กำลังใจเขาแบบยาวนานมาก ๆ
ในปี 2013 ฝีมือเขาก็ยังแข็งแกร่งอยู๋ แต่ก็ยังแพ้ Lin Dan อีกครั้ง ถึงแม้ในปีนี้เขาจะคว้าแชมป์ Super Series หลายรายการ เช่น Malaysia Open, India Open, Indonesia Open แต่การเข้ารอบชิงชนะเลิศ ศึกชิงแชมป์โลก 2013 อีกครั้งที่กวางโจว โดยเจอกับ Lin Dan นั้น มันเป็นอะไรที่เขาตั้งตารอจะแก้มือให้ได้ อะไรจะแพ้ได้ทุกครั้งที่เจอกันขนาดนี้
เกมในสนามตึงเครียดมาก สกอร์ออกมาเป็น 21–16, 13–21, และ 17–20 โดยที่ ลี ชอง เหว่ย ต้องขอถอนตัวกลางเกม 3 เพราะเป็นตะคริวทั้งตัว ในสภาพอากาศชื้นจัด ทำให้ Lin Dan ได้แชมป์โลกสมัยที่ 5 ไปครอง ส่วนเขาได้เหรียญเงินอีกครั้ง
“ไม่มีอะไรเจ็บปวดไปกว่าการรู้ว่า...คุณ ‘เกือบทำได้’ แล้วต้องออกจากสนามทั้งน้ำตา” ลี ชอง เหว่ย กล่าวหลังเกมส์
ปี 2014 ลี ชอง เหว่ย สามารถคว้าแชมป์ได้ถึง 10 รายการภายในปีเดียว เช่น Korea Open, Japan Open และ India Open พร้อมทั้งก้าวขึ้นมาเป็นมือวางอันดับ 1 ของโลกอีกครั้ง รวมแล้ว 349 สัปดาห์ตลอดชีวิตการเล่นอาชีพ ซึ่งสถิตินี้ เป็นสถิติที่มากที่สุดตลอดกาล ยังไม่มีใครเคยทำได้จนถึงปัจจุบัน
หลังจบ World Championships 2014 ที่โคเปนเฮเกน ซึ่งเขาแพ้ Chen Long และได้รองแชมป์อีกครั้ง ทาง BWF ออกมาประกาศว่า ลี ชอง เหว่ย ถูกตรวจพบสาร Dexamethasone จากยาแก้อักเสบที่ใช้รักษาอาการเจ็บหลัง แต่ถูกจัดเป็นสารต้องห้ามในการแข่งขันกีฬา ทำให้เขาถูกสั่งแบน 8 เดือน ย้อนหลังจากเดือนสิงหาคม – เมษายน 2015 ในช่วงนั้นเขาหายเงียบไปเลย ไม่มีแม้แต่ข่าวคราวจากสื่อ แต่แฟน ๆ แบดมันตันทั่วโลกส่งกำลังใจให้เขากันอย่างล้นหลาม
“ผมไม่ได้โกง ผมไม่รู้ว่ายานั้นผิดกฎ…ผมแค่รักษาอาการเจ็บหลัง”
— ลี ชอง เหว่ย แถลงข่าวน้ำตาคลอ
อย่างไรก็ตาม ในปี 2015 เขากลับมาลงสนามอีกครั้งหลังจากพ้นโทษแบน และสามารถคว้าแชมป์ China Open และ Hong Kong Open ได้ภายใน 2 สัปดาห์ และหลังจากนั้นในรายการ World Championships 2015 ที่จาการ์ตา เขาเข้าชิงชนะเลิศอีกครั้ง แต่ก็แพ้ Chen Long 14–21, 17–21 ได้เหรียญเงินอีกแล้ว...
ปี 2016 จะมีโอลิมปิกที่กรุงริโอเดจาเนโร บราซิล และอาจจะเป็นโอลิมปิกครั้งสุดท้ายในชีวิต เขาเตรียมตัวอย่างหนักมาก ปีนี้เขากลับมาคว้าแชมป์ Malaysia Open, Indonesia Open และกลับขึ้นมือวางอันดับ 1 ของโลกอีกครั้ง
โอลิมปิก 2016 ริโอ แบดมินตันชายเดี่ยวรอบรองชนะเลิศ เขาสามารถเอาชนะ Lin Dan แบบสะใจคนดู 15–21, 21–11, 22–20 และนี่เป็นครั้งแรก ที่เขาเอาชนะ Lin Dan ได้ในกีฬาโอลิมปิก ทำให้เขาได้เข้าไปชิงชนะเลิศกับนักแบดมินตันจากจีนอีกคนนึงนั่นคือ Chen Long แต่เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้ง เขาแพ้ Chen Long ไปด้วยสกอร์ 18–21, 18–21 ทำให้เขาได้เหรียญเงินโอลิมปิกเป็นเหรียญที่ 3
“ผมเคยคิดว่า...ถ้าไม่ใช่หลินตันก็ต้องได้แล้ว แต่มันก็ยังไม่ใช่...”
— ลี ชอง เหว่ย
ในปี 2017 แม้เขาจะอายุ 35 แล้ว แต่ลี ชอง เหว่ยยังคงลงแข่งรายการใหญ่อย่างต่อเนื่อง เขาคว้าแชมป์ Malaysia Open เป็นสมัยที่ 12 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดตลอดกาล ส่วนในศึก World Championships 2017 ที่กลาสโกล์ เขาแพ้ Lin Dan อีกครั้งในรอบ 8 คนสุดท้าย
ถึงแม้ร่างกายเริ่มช้าลง แต่หัวใจเขายังเต็มร้อยเสมอ “ผมอายุเยอะกว่าคู่แข่ง แต่แรงใจของผมยังเหมือนวันแรกที่ถือแร็กเกต” — ลี ชอง เหว่ย
เดือนกรกฎาคม ปี 2018 สมาคมแบดมินตันมาเลเซีย (BAM) ประกาศว่า ลี ชอง เหว่ย ป่วยและจะต้องถอนตัวจากการแข่งขันเอเชียนเกมส์ และ World Championships หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้รับการวินิจฉัยว่าพบ “มะเร็งหลังโพรงจมูก” (Nasopharyngeal Cancer) ในเดือนกันยายน 2018 ยืนยันว่าป่วยเป็นมะเร็งระยะต้นและทำให้ต้องเดินทางไปไต้หวันเพื่อรักษาเคมีบำบัดและฟื้นฟูร่างกาย
“มีคืนหนึ่ง...ผมกลัวว่าผมจะไม่ตื่นมาอีกแล้ว”
“แต่ผมนึกถึงลูกชาย และผมก็สู้ต่อ”
วันที่ 13 มิถุนายน 2019 ลี ชอง เหว่ย ประกาศแขวนแร็กเก็ตในวัย 37 ปี ในวันแถลงข่าว เขาถึงกับน้ำตาคลอและเสียงสั่น แฟน ๆ แบดมินตันทั่วโลกต่างส่งกำลังใจให้อย่างล้นหลามในโลกโซเชียลมีเดีย
“ผมอยากจะคว้าเหรียญทองให้มาเลเซีย แต่มันไม่เกิดขึ้น...
ผมเสียใจครับ แต่นี่ไม่ใช่จุดจบของความฝัน ผมแค่เปลี่ยนเส้นทางแล้วเดินต่อในบทบาทใหม่” — ลี ชอง เหว่ย
ภายหลังการแขวนแร็กเกต เขากลายมาเป็นที่ปรึกษาด้านกีฬาให้กับรัฐบาลมาเลเซีย และได้รับเกียรติยศมากมาย เช่น ได้รับพระราชทานเครื่องราชฯ จากสถาบันกษัตริย์ของมาเลเซีย
และได้รับเลือกเข้าสู่หอเกียรติยศแบดมินตันโลก (BWF Hall of Fame) ในปี 2023
แฟน ๆ แบดมินตันทั่วโลก ต่างสดุดีเขามากมาย ในฐานะผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนนึงในประวัติศาสตร์แบดมินตันโลก
เขาครองสถิติมือวางอันดับ 1 ของโลกยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยครองมือ 1 โลกนานรวม 349 สัปดาห์ (199 สัปดาห์ติดต่อกัน) ซึ่งเป็นสถิติที่ยังไม่เคยมีใครทำลายได้จนถึงปัจจุบัน
เขาคว้าแชมป์รายการ BWF Super Series และ World Tour รวมทั้งหมด 47 รายการ สูงที่สุดตลอดกาล ไม่เคยมีใครทำได้เยอะขนาดนี้มาก่อนแม้แต่ Lin Dan ก็ตาม
เขาเป็นนักแบดมินตันที่ “คงเส้นคงวา” ที่สุดในยุคของเขา สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับนักกีฬาแบดมินตันทั่วโลก เขาไม่เคยมีข่าวเสียหายหรือพฤติกรรมไม่เหมาะสมในสนามเลยตลอด 19 ปีในอาชีพจนได้รับฉายาว่า “สุภาพบุรุษลูกขนไก่” (The Gentleman of Badminton) และได้รับรางวัล Fair Play และ Athlete Role Model จากหลายเวที รวมถึง IOC
ความสุดยอดอีกเรื่องนึงที่เขาได้ทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังคือ การปะทะกันกับคู่รักคู่แค้นตลอดกาลของเขา การเจอกันระหว่าง ลี ชอง เหว่ย vs หลิน ตัน กลายเป็นคู่ชิงแห่งยุคที่ยกระดับแบดมินตันโลก หากจะเปรียบเทียบ คงไม่แตกต่างกับ Roger Federer vs Rafael Nadal ในวงการเทนนิสโลกแบบนั้นเลย
ทั้งคู่สร้างแมตช์คลาสสิกไว้หลายแมตช์ เช่น Olympic 2008, Olympic 2012, WC 2011, 2013, 2016
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโอลิมปิก 2012 นัดชิงชนะเลิศที่ลอนดอน วิคเตอร์ แอ็กเซลเซน ขณะนั้นอายุ 18 ปี (ปัจจุบันเป็นมือ 1 ของโลก) กล่าวว่า "มันคือแมตช์ที่ทำให้ผมสัญญากับตัวเองว่า จะเป็นนักแบดมินตันมืออาชีพให้ได้!"
แมทช์นั้น Lin Dan เฉือนชนะลีชองเหว่ยแบบฉิวเฉียด 2-1 เกม
คะแนนช่วงท้ายเกม 21-19 เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ตึงเครียดที่สุดของวงการแบดมินตัน
อีกแมทช์ที่คนพูดถึงกันมากคือศึก All England 2011 เป็นนัดชิงชนะเลิศที่สุดคลาสสิก เทาฟิก ฮิดายัต อดีตมือ 1 ของโลกยอดฝีมือในยุคนั้นกล่าวว่า "ผมนั่งดูอยู่ข้างสนาม และนึกในใจว่า… แบดมินตันมันเร็วขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?" ทั้งคู่เล่นด้วยสปีดมหาศาล และลี ชอง เหว่ย เฉือนชนะในแมตช์ 3 เกมสุดมัน โมเมนต์นี้หลายคนยกให้เป็นหนึ่งใน "แมตช์สปีดสูงสุด" ในประวัติศาสตร์แบดมินตัน
ในขณะที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ “เป็นคู่แข่งที่เคารพซึ่งกันและกัน” กลายเป็นตัวอย่างที่ดีของน้ำใจนักกีฬา
ลี ชอง เหว่ย ไม่ได้ครองบัลลังก์ในความหมายของเหรียญทองหรือถ้วยรางวัลใหญ่ที่สุด แต่เขาได้ครองหัวใจของผู้คนทั้งโลก ด้วยความพยายามที่ไม่ยอมแพ้ ความอ่อนน้อมถ่อมตน และการยืนหยัดแม้ในวันที่พ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เขาสอนให้เรารู้ว่า ความยิ่งใหญ่ไม่ได้อยู่ที่จำนวนชัยชนะ แต่อยู่ที่วิธีที่เราลุกขึ้นยืนหลังจากล้ม เขาคือแบบอย่างของผู้ที่ต่อสู้กับเงามืดในหัวใจตนเอง ด้วยความกล้า และศรัทธาในความฝัน
ลี ชอง เหว่ย อาจไม่มีบัลลังก์ แต่เขาคือราชาในสายตาของผู้คน—ราชาผู้เปี่ยมด้วยหัวใจนักสู้ และศักดิ์ศรีแห่งนักกีฬาอย่างแท้จริง
ทั้งหมดนี้ คงไม่ยากเกินไปเลยที่จะกล่าวว่า ลี ชอง เหว่ย คือ GOAT ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอีกคนหนึ่งในวงการแบดมินตันโลกมาจนถึงปัจจุบันนี้
โฆษณา