29 พ.ค. เวลา 05:00 • ธุรกิจ

ไขปริศนา SABINA เมื่ออัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ไตรมาสแรกปี 68 โตสวนทาง

SABINA เผยผลประกอบการไตรมาสแรก (มกราคมถึงมีนาคม) ปี 2568 ซึ่งบริษัทฯ มีรายได้รวม 845.1 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2567 คิดเป็น 6.8% ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 102.7 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 16.3% แต่ในงวดเดียวกันนั้น บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin หรือ GPM) จาก 49.5% ในไตรมาสแรกของปี 2567 เพิ่มขึ้นเป็น 52.5%
คำถาม คือ ในขณะที่รายได้รวมและกำไรสุทธิลดลง แต่ทำไม “อัตรากำไรขั้นต้น” ซึ่งสะท้อนความสามารถในการทำกำไรของ SABINA ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น !?
คุณดวงดาว มหะนาวานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) ให้คำตอบเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า ปัจจัยที่สนับสนุนให้ “กำไรขั้นต้น” หรือ Gross Profit Margin (GPM) ของ SABINA ไตรมาสแรกของปีนี้สูงกว่าไตรมาสแรกของปีที่แล้ว
มาจากการปรับโครงสร้างต้นทุนการผลิตของบริษัทฯ เพื่อให้การบริหารต้นทุนมีประสิทธิภาพขึ้นและสะท้อนโครงสร้างได้ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งการปรับโครงสร้างดังกล่าวทำให้ “ต้นทุน” ของบริษัทฯ ลดลง และทำให้ GPM สูงขึ้น
ส่วนผลประกอบการโดยรวมในไตรมาสแรกปีนี้ แม้จะปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่ดีกว่าที่คาด และถือว่า น่าพอใจในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวแบบนี้
“ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ ภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัว จนทำให้สำนักวิจัยเศรษฐกิจต่างๆ พากันปรับลดอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ทำให้การจับจ่ายใช้สอยชะลอตัวลง
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการในไตรมาสแรกของปีนี้ ออกมาดีกว่าที่บริษัทฯ คาดไว้ ซึ่งมาจากการที่ฝ่ายบริหารของบริษัทฯ ประเมินถึงผลกระทบด้านรายได้ล่วงหน้า ทำให้วางแผนออกคอลเลคชั่นใหม่ด้วยการคอลแลบกับแบรนด์ “น้องเนย” ซึ่งช่วยกระตุ้นยอดขายในกลุ่มแฟนคลับ
ขณะเดียวกัน เรายังเดินหน้าควบคุมค่าใช้จ่ายและต้นทุนต่างๆ อย่างรัดกุม เพื่อประคับประคองผลการดำเนินงาน ทั้งค่าใช้จ่ายด้านแรงงานที่แม้ค่าแรงขั้นต่ำจะปรับเพิ่มขึ้น แต่ด้วยการบริหารจัดการของ SABINA ที่เน้นเพิ่มทักษะและประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน
ทำให้บริษัทฯ ควบคุมจำนวนพนักงานให้สอดคล้องกับปริมาณงาน โดยรักษาคุณภาพและมาตรฐานการผลิตไว้ได้อย่างดีเยี่ยม”
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SABINA ยังบอกด้วยว่า มั่นใจว่า ในช่วง 9 เดือนที่เหลือของปีนี้ แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนและมีปัจจัยท้าทายรออยู่ แต่ SABINA จะสามารถกลับมาสร้างการเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ได้อย่างแน่นอน โดยจะยังมีสินค้าคอลเลคชั่นใหม่ๆ ทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง
SABINA ประเดิมไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ด้วยการเปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ “Butterbear x SABINA – I Love BKK” ซึ่งเป็นการผนึกความร่วมมือกับ “น้องเนย” อีกครั้ง โดยคอลเลคชั่นนี้ได้สร้างสีสันให้กับตลาดไลฟ์สไตล์ในช่วงเทศกาลสงกรานต์
รวมถึงเป็นการขยายฐานผู้บริโภคสู่กลุ่มวัยรุ่น วัยทำงานและนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง หลังจากนั้น “ซาบีน่า คิดส์” (Sabina Kids) ไลน์ชุดชั้นในสำหรับเด็กผู้หญิงวัย 6-14 ปี ภายใต้แบรนด์ “ซาบีน่า” ได้เปิดตัวและวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอลเลคชั่นใหม่ “แฟรี่ แอนิมอล” (Fairy Animal) ต้อนรับเทศกาลเปิดเทอม
ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และล่าสุด SABINA มีคอลเลคชั่นชุดว่ายน้ำที่คอลแลบกับแบรนด์ Aprilpoolday ออกมาเป็นคอลเลคชั่นพิเศษ เพื่อตอกย้ำว่า SABINA มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และพร้อมจะตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย
SABINA ยังอาศัยความได้เปรียบจากโครงสร้างรายได้หลายทาง ที่จะสร้างความยืดหยุ่นให้กับบริษัทฯ ทั้งรายได้จากช่องทางค้าปลีก (Retail) ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วน 58% ของรายได้รวม ช่องทางไม่มีหน้าร้าน (Non Store Retailing หรือ NSR) ที่มีสัดส่วน 36% และช่องทางรับจ้างผลิต (OEM) ที่มีสัดส่วน 6%
“ณ ขณะนี้ เรายังมั่นใจว่า โครงสร้างรายได้จากทั้ง 3 ช่องทางยังมีสัดส่วนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ที่โครงสร้างรายได้จะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต โดยเฉพาะช่องทางไม่มีหน้าร้านหรือ NSR ที่ยังมีโอกาสขยายตัวได้อย่างมีศักยภาพตามการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค รวมถึงช่องทาง OEM ที่มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
คุณดวงดาวกล่าวปิดท้ายด้วยว่า สำหรับ SABINA แล้ว การประเมินสถานการณ์ไปข้างหน้าอย่างรอบคอบและถี่ถ้วน เน้นสร้างความยืดหยุ่นให้ธุรกิจ และพร้อมสร้างการเติบโตเมื่อมีโอกาส เป็นเรื่องสำคัญสำหรับเรา โดยเฉพาะในภาวะที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนเช่นนี้
โฆษณา