29 พ.ค. เวลา 15:30 • ไลฟ์สไตล์

พอเป็นเรื่องเงิน ทักษะเดียวที่คนส่วนใหญ่รู้คือ “ทำงานให้หนัก”

แต่ถ้าอยากออกจากสนามแข่งหนู Robert Kiyosaki บอกให้มองเกมยาว แล้วหางานเสริมที่ “อัพสกิล”
📌 ถ้าโยนคำว่า “ความมั่นคงทางการเงิน” ลงไปกลางวงสนทนา หลายคนอาจจะนึกถึงภาพเดียวกัน—ทำงานเต็มเวลา เก็บเงินเดือนเข้าบัญชีทุกสิ้นเดือน ตั้งตารอโบนัสปลายปี แล้วหวังว่าสักวันจะมีเงินพอให้ชีวิตสบายขึ้น
เห็นได้ชัดว่าภาพนี้ฝังแน่นเสียจนเวลาเศรษฐกิจผันผวน หลายคนยังยึดเกาะกับหลักการเดิม ซึ่งก็คือ “ทำงานให้หนักกว่าเดิมเข้าไว้”
โรเบิร์ต คิโยซากิ (Robert Kiyosaki) ผู้เขียนหนังสือ “#พ่อรวยสอนลูก” เรียกสภาวะนี้ว่า “#สนามแข่งหนู” (Rat Race) — คุณวิ่งไม่หยุด แต่ก็ยังอยู่ที่เดิม เพราะถูกระบบเงินเดือนดึงไว้ไม่ต่างจากสายพานลู่วิ่ง
⌛ [ ยุคสมัยที่ขยันอย่างเดียวไม่พอ ]
หากย้อนกลับไปสัก 20-30 ปีก่อน การได้ทำงานในบริษัทใหญ่ แล้ววางแผนทำงานในบริษัทนี้ไปตลอดจนกระทั่งเกษียณไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไร แต่ในยุคสมัยที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ความรู้ที่มีอาจจะตกยุคในอีกไม่กี่ปี​ (หรือไม่กี่เดือนข้างหน้า) วิถีการทำงานแบบนั้นอาจจะใช้ไม่ได้อีกต่อไป
งานประจำให้รายได้และวินัยแต่ไม่ค่อยให้ ‘อำนาจในการเลือก’ สักเท่าไหร่
คุณอาจเก่งข้อสอบ เก่งซอฟต์แวร์ หรือเก่งวิเคราะห์งบ แต่ถ้าทักษะเหล่านั้นแลกได้แค่สลิปเงินเดือนใบเดียว คุณยังตกอยู่ในสมการ “เวลา x แรง = เงิน” ซึ่งเพดานถูกล็อกจากฝั่งนายจ้าง
คิโยซากิจึงย้ำเสมอว่าการขยันเพียงอย่างเดียวไม่ทำให้หลุดจากสนาม มันแค่ทำให้คุณวิ่งได้เร็วขึ้นเล็กน้อยในทางเดิม
ครั้งหนึ่งเขาเคยได้คุยนักข่าวสาวสิงคโปร์ไม่กี่ปีก่อน เธอฝันอยากเป็นนักเขียน ‘หนังสือขายดี’ (แบบคิโยซากิ) แต่ผลงานที่ทุกคนชมว่า “ยอดเยี่ยม” กลับไม่มีสำนักพิมพ์ใดซื้อเลย
คิโยซากิจึงแนะนำให้เธอลงเรียนคอร์ส “การขาย”
เธอดวงตาเบิกโต พร้อมเสียงปฏิเสธแทบจะทันทีว่า “ฉันเรียนวรรณคดีอังกฤษมาถึงปริญญาโท จะไปเรียนการขายทำไม”
คิโยซากิชี้ให้เห็นว่าเขาเป็นนักเขียน “หนังสือขายดี” ไม่ใช่ “นักเขียนหนังสือดี” เธอตอบว่าเธอจะไม่ยอมลดตัวลงมาเรียนเรื่องการขาย แล้วการสัมภาษณ์ก็จบลง
เรื่องนี้สะท้อนหลักคิดสำคัญ: เก่งอย่างเดียวไม่พอ คุณต้องเก่งเรื่อง ‘ขายสิ่งนั้นได้’ ด้วย
“มีผู้คนมากมายเหลือเกินที่ชำนาญเฉพาะด้าน ถ้าเพียงแต่เราเรียนรู้และชำนาญการเพิ่มอีกหนึ่งทักษะรายได้ของพวกเราก็จะก้าวกระโดด พอเป็นเรื่องเงิน ทักษะเดียวที่คนส่วนใหญ่รู้คือทำงานให้หนัก”
หากเธอยอมกัดฟันเพิ่ม “ทักษะการขาย” อีกหนึ่งช่อง รายได้ของเธอคงก้าวกระโดด ไม่ใช่เพราะพรสวรรค์แปลกใหม่ แต่เพราะเธอปิดวงจรจาก ผู้สร้าง ไปสู่ ผู้ขาย ได้ครบวงจร
🥷 [ กลยุทธ์ “งานเสริมเพื่อเสริมสกิล” ]
อีกเรื่องหนึ่งที่ คิโยซากิเตือนเสมอในหนังสือ ‘พ่อรวยสอนลูก’ คืออย่าเลือกงานจาก “เงินเดือน” ให้เลือกจาก “บทเรียน” ที่จะได้จากงานนั้น
สมัยเรียนจบ เขาเคยได้ตำแหน่งนายเรือบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ เงินเดือนสูงและหยุดงานปีละห้าเดือน ฟังดูเหมือนฝัน แต่เขาลาออกในเวลาไม่ถึงปีเพราะเรียนรู้แล้วว่าทักษะที่ได้มีจำกัด
จากนั้นเขาเปลี่ยนไปเข้ากองทัพเรือเพื่อฝึก “ภาวะผู้นำ” ต่อด้วย “พนักงานขายเครื่องถ่ายเอกสาร” เพราะอยากชนะความกลัวการปฏิเสธ
ลำดับงานของเขาอาจจะดูงงๆ สำหรับคนอื่นที่เชื่อใน “ความชำนาญเฉพาะด้าน” แต่ชีวิตจริงคือสนามที่ต้องใช้ทักษะผสม ยิ่งคุณมีทักษะที่มีประโยชน์หลายอย่าง เส้นทางออกจากสนามแข่งหนูก็ยิ่งเปิดกว้าง
“พ่อรวยสอนให้ไมค์และผมเรียนรู้ในทุกแง่มุมของธุรกิจ เช่นเดียวกับบริษัททั่วไป พวกเขาจะมองหาเด็กเก่งที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำมาปลุกปั้นโดยหมายให้เป็นผู้บริหารของบริษัทในวันข้างหน้า เด็กเหล่านี้จะถูก ส่งไปฝึกในหลายแผนกไม่เฉพาะแผนกใดแผนกหนึ่งเพื่อให้พวกเขาเรียนรู้ใน ทุกด้านของระบบธุรกิจ คนรวยก็สอนลูกหลานของพวกเขาในแบบเดียวกัน ด้วยวิธีการนี้จะทำให้เด็กๆ ของพวกเขาได้เรียนรู้ธุรกิจครอบครัวในทุกด้านและรู้ว่าแต่ละแผนกมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างไร”
คิโยซากิบอกว่า ทักษะหลัก ๆ ในเรื่องของการบริหารที่จำเป็นสำหรับความสำเร็จคือ
1. การบริหารกระแสเงินสด
2. การบริหารระบบ
3. การบริหารคน
ส่วนทักษะเฉพาะทางที่สำคัญที่สุดคือ การขายและการตลาด ทักษะการสื่อสารอย่างเช่น การเขียน การพูด และการเจรจาต่อรองนั้นสำคัญ
สำหรับคนส่วนใหญ่ทักษะการขายและการตลาดเป็นเรื่องยากหลักๆ แล้วเป็นเพราะความกลัวที่จะถูกปฏิเสธ ยิ่งคุณสื่อสาร ต่อรอง และ จัดการความกลัวของคุณได้ดีมากเท่าไหร่ ชีวิตคุณก็จะง่ายขึ้นเท่านั้น
🎯 [ แต่อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ ]
หลายคนอาจจะตีความคำว่า “ออกจากสนาม” ว่าต้องลาออกเดี๋ยวนี้ แล้วดิ่งไปสตาร์ตอัปหรือเปิดธุรกิจของตัวเอง แต่นั่นเป็นเรื่องที่เสี่ยงเกินไป
คิโยซากิบอกว่า
“เวลาที่มีคนมาขอคำปรึกษาผมว่าทำอย่างไร ถึงจะมีเงินมากขึ้น ผมจะตอบกลับไปด้วยคำตอบเดิมเสมอ โดยแนะนำให้เขามองชีวิตของตัวเองในระยะยาว และแทนที่จะมัวทำงานเพื่อเงินและความมั่นคง ผมจะแนะนำให้พวกเขาหางานเสริมเพื่อสร้างทักษะที่สองให้กับตัวเอง”
เราอาจจะทำงานประจำแล้วหางานเสริมที่ช่วยพัฒนา ‘ทักษะ’ ต่างๆ ที่ขาดไป ยกตัวอย่างเช่น
* ฝึกขาย: รับฟรีแลนซ์ทำการตลาดออนไลน์ ช่วยร้านเล็ก ๆ เขียนคอนเทนต์ยิงโฆษณา
* ฝึกระบบ: ทำโปรเจกต์จัดอีเวนต์เล็ก ๆ ให้เข้าใจงบ–ซัพพลาย–กำหนดการ
* ฝึกบริหารคน: สมัครเป็นหัวหน้าชมรมอาสา หรือโครงการ CSR ที่ต้องคุมทีมอายุหลากหลาย
กำไรจากงานเสริมถ้าเป็นตัวเงินอาจจะไม่เท่าไหร่ แต่ “กำไรจริง” อยู่ที่สกิลสะสม เมื่อกราฟความเชี่ยวชาญสูงพอ คุณจะเริ่มเห็นช่องทางทำเงินที่ไม่ผูกกับเวลาทำงานหลัก—ไม่ว่าจะเป็นค่าอบรม ค่าที่ปรึกษา หรือรายได้จากสินทรัพย์ที่สร้างขึ้น
สนามแข่งหนูไม่ได้มีรั้วสูงเสียดฟ้า แต่มันล้อมเราด้วยความคุ้นชิน—เงินเดือนประจำ ความกลัวการปฏิเสธ และภาพจำว่าขยันคือคำตอบสุดท้าย คิโยซากิไม่ได้ปฏิเสธคุณค่าของการทำงานหนัก แต่นัยสำคัญคือถ้าอยากวิ่งออกนอกสนามแข่งหนูแห่งนี้ ให้ขยันในสิ่งที่เพิ่มสกิลระยะยาว
เพราะสุดท้ายแล้ว ผู้ชนะไม่ได้เป็นหนูที่เร็วที่สุด แต่เป็นคนที่มองออกว่ามีประตูเล็ก ๆ ให้เดินออกได้ต่างหาก
[ อ้างอิงจากหนังสือ : พ่อรวยสอนลูก ฉบับครบรอบ 25 ปี ]
#aomMONEY #MakeRichGeneration #การเงินส่วนบุคคล #RobertKiyosaki
โฆษณา