30 พ.ค. เวลา 03:03 • ไลฟ์สไตล์

ประเทศโมนาโก เล็ก แต่รายได้มหาศาล

ท่ามกลางเส้นทางชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่งดงาม มีประเทศหนึ่งที่มีขนาดเล็กจนสามารถเดินข้ามประเทศได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง
ประเทศนั้นคือ “โมนาโก” หรือชื่อทางการว่า “ราชรัฐโมนาโก” (Principality of Monaco) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของทวีปยุโรป ถูกล้อมรอบเกือบทุกด้านโดยประเทศฝรั่งเศส และเปิดหน้าสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางทิศใต้ด้วยพื้นที่เพียง 2.02 ตารางกิโลเมตร
ทำให้โมนาโกกลายเป็นประเทศเล็กที่สุดเป็นอันดับสองของโลกรองจากนครวาติกัน
อย่างไรก็ตาม ความเล็กทางภูมิศาสตร์ไม่ได้แปลว่าจำกัดศักยภาพทางเศรษฐกิจ
เพราะโมนาโกสามารถสร้างรายได้ต่อหัวประชากรในระดับสูงสุดของโลก
เป็นจุดหมายปลายทางของมหาเศรษฐีจากทั่วทุกมุมโลก
และกลายเป็นสัญลักษณ์ของ “ความร่ำรวยในพื้นที่ขนาดจิ๋ว”
ประวัติศาสตร์โดยย่อ: จากเมืองท่าเล็ก ๆ สู่รัฐอธิปไตย
ประวัติศาสตร์ของโมนาโกมีรากฐานย้อนกลับไปหลายศตวรรษ
ก่อตั้งโดยชาว Genoese ในปี ค.ศ. 1215
ต่อมาครอบครัว Grimaldi ได้เข้าครอบครองดินแดนนี้ในปี ค.ศ. 1297
โดย François Grimaldi ปลอมตัวเป็นนักบวชเพื่อเข้าโจมตีป้อมปราการ
และนับแต่นั้น ตระกูล Grimaldi ก็ปกครองโมนาโกมาอย่างต่อเนื่อง
แม้จะผ่านการตกเป็นอาณัติของฝรั่งเศสในบางช่วงเวลา
แต่โมนาโกก็สามารถรักษาสถานะรัฐอธิปไตยได้
ในปี ค.ศ. 1861 ฝรั่งเศสได้ลงนามรับรองเอกราชของโมนาโก
พร้อมทั้งมอบการสนับสนุนด้านการทหาร
และตั้งแต่นั้น โมนาโกก็พัฒนาเป็นรัฐเอกราชขนาดเล็กที่มีเจ้าชายเป็นประมุข
โดยปัจจุบันมี เจ้าชายอัลแบร์ที่ 2 เป็นประมุขแห่งรัฐ
ซึ่งได้รับความเคารพจากประชาชนอย่างสูง
การปกครองแบบราชรัฐ: เล็กแต่มั่นคง
โมนาโกใช้รูปแบบการปกครองแบบ “ราชรัฐภายใต้รัฐธรรมนูญ”
มีเจ้าชายเป็นประมุขแห่งรัฐ
มีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการแต่งตั้งโดยเจ้าชาย
และมีสภาแห่งชาติที่มาจากการเลือกตั้ง
แม้จะมีขนาดเล็ก แต่โครงสร้างทางการเมืองของโมนาโกนั้นมั่นคง
รัฐบาลมีเสถียรภาพ และไม่มีปัญหาความขัดแย้งภายในประเทศ
ความสงบปลอดภัยนี้เอง ที่เป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดนักลงทุนระดับโลก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอสังหาริมทรัพย์และการบริหารทรัพย์สินส่วนบุคคล
รายได้จากที่ไหนในเมื่อไม่มีภาษีเงินได้?
คำถามที่หลายคนสงสัยคือ “โมนาโกไม่มีภาษีเงินได้ แล้วรัฐมีรายได้จากไหน?”
คำตอบคือ รัฐบาลโมนาโกมีวิธีการสร้างรายได้ที่ชาญฉลาด
โดยพึ่งพาอุตสาหกรรมที่เหมาะสมกับบริบทของตน
ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
อุตสาหกรรมคาสิโน
รายได้จากค่าธรรมเนียมอสังหาริมทรัพย์
การเงินและบริการด้านการลงทุน
รายได้จากค่าธรรมเนียมธุรกิจและเอกสารต่าง ๆ
รวมถึงการพัฒนาโครงการถมทะเลเพื่อขยายพื้นที่ใช้สอย
ซึ่งถือเป็น “การลงทุนคืนกำไร” ให้รัฐโดยตรง
และทำให้ประเทศสามารถดำรงอยู่โดยไม่ต้องเรียกเก็บภาษีเงินได้จากพลเมืองเลยแม้แต่น้อย
คาสิโน: หัวใจทางประวัติศาสตร์และเศรษฐกิจ
หากจะพูดถึงโมนาโกโดยไม่กล่าวถึง “คาสิโนมอนเตคาร์โล” คงเป็นไปไม่ได้
คาสิโนแห่งนี้เปิดดำเนินการตั้งแต่ปี ค.ศ. 1863
สร้างรายได้ให้แก่ประเทศมหาศาลตลอดศตวรรษที่ผ่านมา
เป็นสถานที่ยอดนิยมของชนชั้นสูง
โดยชาวโมนาโกเองกลับไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเล่น
เพราะรัฐต้องการให้รายได้เกิดจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ
โมนาโกยังมีโรงแรมหรูระดับโลก
ร้านอาหารระดับมิชลิน
และกิจกรรมบันเทิงระดับไฮเอนด์มากมาย
ทั้งหมดนี้เสริมสร้างเศรษฐกิจการท่องเที่ยวให้เติบโตอย่างมั่นคง
โดยไม่ต้องพึ่งพาการเกษตรหรืออุตสาหกรรมหนักใด ๆ เลย
การท่องเที่ยว: หรูหราระดับโลก
ชายฝั่งทะเลที่สวยงาม
ภูมิอากาศที่อบอุ่นตลอดทั้งปี
สถาปัตยกรรมคลาสสิกผสมสมัยใหม่
ความสะอาดและปลอดภัยในระดับสูง
เหล่านี้ทำให้โมนาโกกลายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของเศรษฐี
นักท่องเที่ยวที่มาเยือนมักใช้จ่ายสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก
เพราะที่นี่ไม่ได้เน้นปริมาณนักท่องเที่ยว
แต่เน้น “คุณภาพ”
ทุกคนที่มาเยือนมักจะพักโรงแรมหรู กินอาหารดี
เดินช้อปแบรนด์เนมหรือดื่มไวน์ริมท่าจอดเรือยอชต์
และที่สำคัญคือ บรรยากาศของ “การมีระดับ” ถูกรักษาไว้อย่างเป็นธรรมชาติ
ไม่ใช่แค่ฉากสร้างภาพ แต่เป็นสไตล์ของประเทศโดยแท้จริง
เมืองที่สร้างขึ้นจากทะเล: พลังของการพัฒนาอย่างสร้างสรรค์
ด้วยข้อจำกัดด้านขนาดพื้นที่
โมนาโกจึงไม่มีทางเลือกมากนักในการขยายเมือง
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้ตัดสินใจใช้แนวทาง “ถมทะเล” เพื่อสร้างพื้นที่ใหม่
โครงการแรกเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1970 คือ “Fontvieille”
เป็นย่านที่เกิดจากการถมทะเลบริเวณทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ
กลายเป็นที่ตั้งของอาคารสำนักงาน ท่าเรือ โรงเรียน และที่อยู่อาศัย
โครงการนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าโมนาโกสามารถ “ขยายขนาด” ได้แม้มีพื้นที่จำกัด
ต่อมาในยุค 2010s โครงการ “Portier Cove” ก็เริ่มต้นขึ้น
โดยมีเป้าหมายขยายพื้นที่ออกไปอีกกว่า 6 เฮกตาร์
พร้อมสร้างอพาร์ตเมนต์สุดหรูและโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว
ความคิดสร้างสรรค์เช่นนี้ทำให้โมนาโกยังคงเติบโตต่อไป
โดยไม่ต้องเสียอธิปไตยหรือพึ่งพาดินแดนจากประเทศเพื่อนบ้าน
จุดหมายปลายทางของคนรวย: ทำไมเศรษฐีถึงแห่มาอยู่ที่นี่?
โมนาโกอาจไม่มีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย
แต่สิ่งที่ประเทศนี้มีคือ “ระบบที่เอื้อต่อการอยู่อาศัยของผู้มีรายได้สูง”
ที่สำคัญที่สุดคือ ไม่มีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ทำให้คนที่มีรายได้หลายล้านยูโรต่อปีสามารถเก็บรายได้ไว้ได้เกือบเต็มจำนวน
นอกจากนี้ ยังไม่มีภาษีมรดก (สำหรับผู้รับที่เป็นทายาทโดยตรง)
และไม่มีภาษีกำไรจากการขายสินทรัพย์ในประเทศ
ระบบกฎหมายของโมนาโกยังมีเสถียรภาพ
ไม่มีความไม่แน่นอนทางการเมือง
ทำให้เศรษฐีทั่วโลก โดยเฉพาะจากยุโรปตะวันตก ย้ายมาอยู่อาศัยที่นี่
ทั้งยังมีมาตรการคัดกรองผู้ขอพำนักอย่างเข้มงวด
เพื่อรักษาคุณภาพของประชากรและความปลอดภัยของรัฐ
ประชากรน้อย แต่รายได้เฉลี่ยสูงที่สุดในโลก
ประชากรของโมนาโกมีประมาณ 39,000 คน
ในจำนวนนี้ มีเพียงประมาณ 9,000 คนเท่านั้นที่ถือสัญชาติโมนาโก
ที่เหลือเป็นผู้พำนักถาวรจากหลากหลายประเทศ
โดยเฉพาะฝรั่งเศส อิตาลี อังกฤษ สวิตเซอร์แลนด์ และรัสเซีย
รายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรอยู่ที่ประมาณ 190,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี
ซึ่งจัดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลก
สะท้อนให้เห็นว่าคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ ส่วนใหญ่มีสถานะทางการเงินที่มั่งคั่งมาก
และพฤติกรรมการบริโภคก็สะท้อนรายได้เหล่านั้นอย่างชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็นยานพาหนะส่วนตัว เครื่องแต่งกาย หรือบริการระดับพรีเมียม
ที่นี่แทบไม่มีร้านสะดวกซื้อราคาประหยัด
เพราะผู้บริโภคส่วนใหญ่มีศักยภาพในการจับจ่ายสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกหลายเท่า
โมนาโกกับโลกการเงิน: ธุรกิจธนาคารและการจัดการสินทรัพย์
อีกหนึ่งเสาหลักของเศรษฐกิจโมนาโกคือ ภาคการเงิน
โดยเฉพาะธนาคารและบริษัทจัดการความมั่งคั่ง (wealth management)
โมนาโกมีสถาบันการเงินมากกว่า 30 แห่ง
ให้บริการแก่ลูกค้าที่ต้องการจัดสรรทรัพย์สินหรือวางแผนมรดก
ระบบธนาคารที่มีเสถียรภาพและกฎระเบียบที่เข้มงวด
สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนระดับโลก
รัฐบาลยังมุ่งเน้นให้เกิดการตรวจสอบที่โปร่งใส
เพื่อตอบรับต่อความคาดหวังขององค์การระหว่างประเทศ
ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา
โมนาโกจึงได้ปรับปรุงกฎหมายต่อต้านการฟอกเงินอย่างจริงจัง
ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศดีขึ้นในเวทีการเงินโลก
และสามารถรักษาฐานลูกค้าที่มีคุณภาพสูงไว้อย่างต่อเนื่อง
งานประจำปีและกิจกรรมระดับโลก
แม้จะเป็นประเทศเล็ก แต่โมนาโกมีงานระดับนานาชาติที่สำคัญหลายงาน
โดยเฉพาะงาน “Formula One Monaco Grand Prix”
ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในเดือนพฤษภาคม
ถือเป็นหนึ่งในรายการ F1 ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก
เส้นทางการแข่งขันตัดผ่านใจกลางเมือง
บนถนนที่แคบและท้าทายที่สุดในปฏิทินการแข่งขัน
งานนี้ดึงดูดผู้ชมระดับ VIP จากทั่วโลก
สร้างรายได้ให้ประเทศจากการท่องเที่ยว การจองที่พัก และการโฆษณา
นอกจากนี้ยังมีงานเทศกาลศิลปะ คอนเสิร์ตโอเปร่า งานแฟชั่นโชว์
และการประมูลการกุศลระดับโลก
ทั้งหมดนี้ทำให้โมนาโกไม่ได้เป็นแค่ “ประเทศของคนรวย”
แต่ยังเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรม ความบันเทิง และสังคมระดับโลก
การคมนาคมในประเทศที่เดินได้ทั่ว
ด้วยขนาดประเทศที่เล็ก
การเดินเท้าจึงเป็นวิธีที่นิยมที่สุดในการเดินทางภายในโมนาโก
นอกจากนี้ยังมีลิฟต์สาธารณะที่เชื่อมต่อระหว่างระดับถนน
เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว
ระบบรถโดยสารประจำทางมีความสะอาดและตรงเวลา
รวมถึงมีบริการเรือเฟอร์รี่เชื่อมฝั่งท่าเรือ
ผู้มีฐานะสามารถใช้บริการรถหรูส่วนตัวหรือรถลีมูซีน
ในขณะที่นักธุรกิจบางรายใช้เฮลิคอปเตอร์จากสนามบินนีซมายังโมนาโก
ใช้เวลาเพียง 7 นาที
ทำให้ประเทศนี้แม้จะไร้สนามบินของตนเอง แต่ก็สามารถเชื่อมโลกได้ภายในไม่กี่นาที
ซึ่งสะท้อนถึงความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานแม้ในพื้นที่จำกัด
ภาพลักษณ์ทางวัฒนธรรมและความหรูหรา
โมนาโกไม่ได้เป็นเพียงแค่ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจเท่านั้น
แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมและความหรูหราระดับโลก
ความหลากหลายทางวัฒนธรรมของผู้คนที่อาศัยในโมนาโก
ได้หล่อหลอมให้เกิดเทศกาลและกิจกรรมที่น่าสนใจตลอดปี
ตัวอย่างเช่น “เทศกาลภาพยนตร์โมนาโก” (Monaco International Film Festival)
ซึ่งดึงดูดนักสร้างภาพยนตร์และนักแสดงจากทั่วโลก
การแสดงโอเปร่าและคอนเสิร์ตคลาสสิกที่โรงโอเปร่าโมนาโก
เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่บ่งบอกถึงความเป็นเมืองแห่งศิลปะ
ร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์หลายแห่งตั้งอยู่ที่นี่
ส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศในฐานะ “เมืองแห่งรสชาติและความประณีต”
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: มิตรภาพและการทูต
แม้จะเป็นประเทศเล็กมาก แต่โมนาโกมีบทบาทสำคัญในเวทีระหว่างประเทศ
รัฐบาลรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะฝรั่งเศส
มีสนธิสัญญาความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เช่น การรักษาความปลอดภัยและการค้า
โมนาโกยังเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติและองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ
โดยเน้นส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม
การทูตของโมนาโกยังมุ่งเน้นการสนับสนุนความยั่งยืนและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
เจ้าชายอัลแบร์ที่ 2 เป็นนักอนุรักษ์ที่มีชื่อเสียง
โดยได้ก่อตั้งมูลนิธิ Prince Albert II Foundation เพื่อสนับสนุนงานด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลก
นโยบายสิ่งแวดล้อมและการวางแผนระยะยาว
โมนาโกเป็นหนึ่งในประเทศที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดในโลก
ด้วยความที่มีพื้นที่จำกัดและอยู่ติดทะเล
รัฐบาลจึงเน้นการจัดการทรัพยากรน้ำและพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
มีโครงการรีไซเคิลขยะและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
โมนาโกยังร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศเพื่อสนับสนุนการวิจัยด้านพลังงานสะอาด
โครงการถมทะเลใหม่ ๆ จึงถูกออกแบบให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
มีพื้นที่สีเขียวและสวนสาธารณะเพิ่มขึ้นเพื่อส่งเสริมสุขภาพของประชาชน
นโยบายเหล่านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของโมนาโกในการเป็น “ประเทศสีเขียว” แม้จะเป็นรัฐขนาดเล็ก
การวางแผนอนาคต: การเติบโตอย่างยั่งยืน
เพื่อรักษาเสถียรภาพและความมั่งคั่งในระยะยาว
โมนาโกวางแผนพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนในหลายมิติ
มีการส่งเสริมการศึกษาและวิทยาศาสตร์เพื่อตอบโจทย์เศรษฐกิจยุคใหม่
สนับสนุนเทคโนโลยีสะอาดและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน
มีการขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและการสื่อสาร
มุ่งเป้าหมายให้โมนาโกเป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยีและบริการระดับสูง
ในขณะเดียวกันก็รักษาความสมดุลของสังคมและสิ่งแวดล้อม
แผนเหล่านี้ถูกพัฒนาด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาล ภาคธุรกิจ และประชาชน
เพื่อให้โมนาโกสามารถเผชิญกับความท้าทายทั้งภายในและภายนอกได้อย่างมั่นคง
สรุป: โมเดลประเทศขนาดเล็กที่ยิ่งใหญ่
ประเทศโมนาโกเป็นตัวอย่างที่ดีของประเทศขนาดเล็กที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่
ด้วยการวางแผนและนโยบายที่ชาญฉลาด รัฐบาลสามารถเปลี่ยนข้อจำกัดให้เป็นจุดแข็ง
พื้นที่จำกัดไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
ระบบการเงิน การท่องเที่ยว และการเป็นที่อยู่อาศัยของคนรวยสร้างรายได้มหาศาลให้ประเทศ
ในขณะเดียวกันก็รักษาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมดุล
โมเดลนี้สามารถเป็นตัวอย่างให้กับประเทศอื่น ๆ ที่ต้องการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ด้วยความมั่นคงทางการเมืองและเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
โมเดลโมนาโกแสดงให้เห็นว่า “เล็ก” ไม่ได้หมายความว่า “อ่อนแอ”
แต่สามารถกลายเป็น “ยิ่งใหญ่” ได้ด้วยการบริหารจัดการที่ดี
และการมีวิสัยทัศน์ระยะยาวในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
โฆษณา