Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Introverted investor
•
ติดตาม
30 พ.ค. เวลา 03:55 • หุ้น & เศรษฐกิจ
NEO
🇹🇭
กระทิง ที่ราคา 26.75
ราคาปิด 29 พ.ค. 2025
📌[สรุป] MD&A – OppDay : Q1/2025
🔥บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) : NEO
🟢ผลการดำเนินงาน ไตรมาสที่ 1/2025
📊ยอดขาย : 2,589 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 5% YoY) เนื่องจากการเติบโตของทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ / ยอดขายจากต่างประเทศ 247 ล้านบาท (เติบโต 10% YoY) คิดเป็นสัดส่วน 10% ของยอดขายรวมทั้งหมด หากเป็นรายได้ในประเทศไทยอย่างเดียวนั้นเติบโต 4% YoY
🔹 กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน : 1,085 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 6% YoY) คิดเป็นสัดส่วน 42% ของยอดขายรวม ซึ่งการเติบโตส่วนใหญ่มาจากแบรนด์ ‘Fineline’ โดยเฉพาะน้ำยาปรับผ้านุ่มและน้ำยาซักผ้า รวมถึงแบรนด์ ‘Tomi’ ที่เป็นน้ำยาถูพื้น
🔹 กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล : 739 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 6% YoY) คิดเป็นสัดส่วน 28% ของยอดขายรวม ซึ่งการเติบโตส่วนใหญ่มาจากแบรนด์ ‘BeNice’ โดยเฉพาะครีมอาบน้ำ
🔹 กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก : 765 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 2% YoY) คิดเป็นสัดส่วน 30% ของยอดขายรวม ซึ่งการเติบโตส่วนใหญ่มาจากครีมอาบน้ำและครีมบำรุงผิว ‘D-nee’
📊กำไรขั้นต้น : 1,082 ล้านบาท (ลดลง 5% YoY), GPM 41.80% ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่ 46% เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (ผู้บริหารวางกรอบ GPM 41-43%)
📊ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร : 757 ล้านบาท (ลดลง 3% YoY) จากการลดลงของกิจกรรมส่งเสริมการขายและค่าตอบแทนพิเศษผู้บริหารซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายพิเศษเพียงครั้งเดียว / SG&A to Sale = 29.20% ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่ 31.60%
📊กำไรสุทธิ : 260 ล้านบาท (ลดลง 4% YoY), NPM 10% ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่ 11% จากการลดลงของกำไรขั้นต้น (ผู้บริหารวางกรอบ NPM 8-10%)
📊กำไรต่อหุ้น : 0.85 บาท (ลดลง 4% YoY) หลังจากปรับผลกระทบจากจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นหลัง IPO
✴️สัดส่วนช่องทางการจัดจำหน่าย
🔹ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ : 51%
🔹 ร้านค้าปลีกดั้งเดิม : 32%
🔹 ออนไลน์และอื่นๆ : 7%
🔹 ต่างประเทศ : 10%
✴️โครงสร้างต้นทุนขาย
🔹 วัตถุดิบ : 50%
🔹 บรรจุภัณฑ์ : 30%
🔹 ค่าแรงพนักงาน : 10%
🔹 อื่นๆ : 10%
✴️ผู้บริหารปรับลดเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในปี 2025 จากเดิมที่บอกไว้ว่าจะเติบโตด้วยตัวเลขสองหลัก เปลี่ยนเป็นเติบโตด้วย ‘เลขหลักเดียวระดับสูง (High-Single Digit)’ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลง (ก็คือแย่นั่นแหล่ะ) แปลว่าโตเท่าไหร่ดีครับคุณผู้อ่าน ฮ่าๆ ผู้บริหารนิยามว่าประมาณ 7-9%
1
🟢[สรุป] OppDay : Q1/2025
🔸ไตรมาสที่ 1/2025 นี้ ‘NEO’ ออกสินค้ามา 65 SKU ครอบคลุมทั้ง 3 กลุ่ม ตัวที่โดดเด่นคือ ‘BeNice Happy Summer Shower Cream’ และ ‘D-nee Deluxe’ น้ำยาปรับผ้านุ่มสูตรเข้มข้น ส่วนในไตรมาสที่ 2/2025 ตั้งใจจะออกสินค้าอีกมากกว่า 100 SKU อีกทั้งน้ำยาซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่มแบรนด์ ‘D-nee’ ยังคงมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับที่หนึ่ง (73%/87%)
🔸ยอดขายจากต่างประเทศในไตรมาสนี้ คือการส่งออกไปยังแถบประเทศ CLMV >97% มีการส่งออกไปยังประเทศเนปาลเพิ่มเติม ทำให้ปัจจุบัน ‘NEO’ ส่งออกสินค้าไปขายยัง 24 ประเทศ
🔸ไตรมาสนี้ ภาพรวมมูลค่าตลาดสินค้าอุปโภคที่ ‘NEO’ทำการตลาดภายในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 14,541 ล้านบาท (เติบโต 5% YoY) เทียบกับยอดขายของบริษัทที่เติบโต 6% YoY และคิดเป็นการกินส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 14% ภายในไทย ซึ่งเป็นสัดส่วนพอๆกับปีที่แล้ว แต่ถ้าตัดตลาดมอยส์เจอร์ไรเซอร์ออกนั้นภาพรวมตลาดจะเติบโต 2% ในขณะที่ ‘NEO’ เติบโตเกือบ 5%
🔸การส่งออกไปยังประเทศกัมพูชา อยู่ในช่วงดำเนินการเสริมความแข็งแกร่งให้กับช่องทางขายในร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ซึ่งใช้ ‘D-nee’ และ ‘Fineline’ เป็นตัวนำ
🔸การส่งออกไปยังประเทศลาว มีการเติบโตดี โดยเฉพาะครีมอาบน้ำ บริษัทมีแผนให้ครีมอาบน้ำขึ้นเป็นผู้นำในตลาด
🔸การส่งออกไปยังประเทศเมียนมาร์ อยู่ในระหว่างขยายช่องทางการขายเพิ่มเติมทั้งกลุ่มซักผ้าและครีมอาบน้ำ
🔸การส่งออกไปยังประเทศเวียดนาม บรรลุข้อตกลงกับตัวแทนจำหน่ายที่ดูแลช่องทางร้านค้าปลีกสมัยใหม่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะเริ่มวางขายในช่วงไตรมาสที่ 2 และเพิ่ม SKU ใหม่ๆ เข้าไป คือกลุ่มซักผ้าและครีมอาบน้ำเด็ก เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดให้สูงขึ้น และกำลังขยายช่องทางขายใน TikTok ด้วย / สำหรับเวียดนามมี ‘D-nee’ และ ‘Fineline’ เป็นสินค้าหลัก ซึ่งยอดขายเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักในไตรมาสนี้ และในไตรมาสที่ 2 จะเห็นการเติบโตที่ชัดเจนขึ้น
🔸ในปีที่แล้ว (2024) ‘NEO’ มีกำลังการผลิตทั้งหมด 268,000 ตันต่อปี แบ่งเป็นกลุ่มของใช้ในครัวเรือน 83% ของใช้ส่วนบุคคล 17% สำหรับในไตรมาสนี้ใช้กำลังการผลิตรวมเฉลี่ย 72% แบ่งเป็นกลุ่มของใช้ในครัวเรือน 71% และของใช้ส่วนบุคคล 78%
🔸โรงงานผลิตสินค้ากลุ่มของใช้ส่วนบุคคลแห่งใหม่ ปัจจุบันสร้างเสร็จแล้ว 100% ตรวจรับอาคารเรียบร้อยแล้ว ช่วงนี้อยู่ระหว่างย้ายไลน์การผลิตจากอาคารเดิมมาที่อาคารใหม่ จากนี้ไปจะเริ่มตัดค่าเสื่อมเป็นเส้นตรง มีอายุที่ 45.8 ปี ทำให้ปี 2025 จะรับรู้ค่าเสื่อมราคาในส่วนนี้ประมาณ 100 ล้านบาท หรือคิดเป็นค่าเสื่อม 30-35 ล้านบาทต่อไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 นี้เป็นต้นไป
🔸โรงงานผลิตสินค้ากลุ่มของใช้ในครัวเรือนแห่งใหม่ พิจารณาลงทุนขยายเป็นระยะ เพื่อลดภาระทางการเงิน เซ็นสัญญาก่อสร้างเรียบร้อยแล้ว โดยระยะแรกตั้งใจจะให้แล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน ปี 2026 และระยะที่ 2 ในเดือนเมษายน ปี 2028
🔸สำหรับกลยุทธ์การเติบโตในอนาคต ‘NEO’ ยังคงเป้าหมายเดิมที่ตั้งใจจะเติบโตเฉลี่ยเป็นตัวเลขสองหลัก ตั้งแต่ปี 2023-2028 / คาดว่าในปี 2026 จะมีพอร์ตพรีเมียมเป็นสัดส่วน 10% จากยอดขายรวม และในปี 2028 จะมียอดการส่งออกคิดเป็นสัดส่วน 15% จากยอดขายรวม ตลาดการส่งออกที่มีศักยภาพในการเติบโตคือเอเชียและตะวันออกกลาง
🔸เป้าหมายปีนี้ เติบโตแบบ ‘High-Single Digit’ (7-9%) คิดว่าทำได้ ตัวเลขภายในของเดือนเมษายนก็เติบโต 10% แล้ว เรามีแผนการรองรับที่จะผลักดันให้ ‘NEO’ เติบโตมากกว่าตลาดในประเทศไทย ทั้งการออกสินค้าขนาดเล็กลง ทั้งสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ ลูกค้าใหม่ ตอบสนองความต้องการใหม่ๆ ทำให้เราเห็นการเติบโตที่ชัดเจน
🔸สินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง แบรนด์ ‘LovliTails’ เพิ่งเปิดตัวไปในงาน Pet Expo เมื่อต้นเดือนนี้ (พฤษภาคม 2025) งานจัด 4 วัน ได้ยอดขาย 420,000 บาท ถือเป็นยอดขายที่โอเคมากๆ สำหรับแบรนด์น้องใหม่ ลูกค้าเอาไปใช้ก็ได้รับคำชมเรื่องคุณภาพกลับมา
🔸ยอดการส่งออกในไตรมาสที่ 3-4 ปีนี้จะเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว (2024) เนื่องจากฐานที่ค่อนข้างต่ำ
🔸มีค่าเสื่อมราคาโรงงานที่ตัดครบแล้วจะหมดไปในปีนี้ประมาณ 30 ล้านบาท
🔸การขยายตลาดไปสู่กลุ่มสินค้าบำรุงผิวหน้าและแชมพูเราก็กำลังศึกษาอยู่ เราใช้เวลาในการวิจัยและพัฒนานานเพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าของเราเมื่อออกสู่ตลาดจะเป็นสินค้าที่มีนวัตกรรมอันแตกต่าง เราจะไม่เข้าไปเล่นในจุดที่มีการแข่งขันสูงในตลาด
🔸มาตรการทางภาษีของสหรัฐอเมริกาไม่ได้มีผลกระทบโดยตรง เพราะ ‘NEO’ ไม่ได้มีการส่งสินค้าไปยังอเมริกา อาจจะมีกระทบบ้างก็เป็นเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา
🔸จ่ายปันผลอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ประมาณ 40% จากกำไรสุทธิ
🟢[ภาพรวม] ‘NEO’ จากงบกำไร-ขาดทุน 12 ไตรมาสย้อนหลัง
🔵ยอดขายรายไตรมาส ยังคงอยู่ในแนวโน้มที่เติบโตสม่ำเสมอ ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ลุ่มๆดอนๆ ก็ถือว่าทำได้ดีแล้ว อย่างแย่สำหรับยอดขาย 9,000-10,000 ล้านบาทต่อปี และกำไรสุทธิ 800-900 ล้านบาทต่อปี โดยไม่คิดเรื่องการเติบโต น่าจะทำได้ไม่ยาก ใช้เป็นฐานในการประเมินมูลค่าแบบอนุรักษ์นิยมได้ว่า ‘กรณีไม่เติบโต’ จะมี ‘Downside’ แค่ไหน อย่างไร
🔵GPM=42%, SG&A=31%, NPM=9% เป็นฐานเฉลี่ย ถ้ายอดขายโตได้เรื่อยๆจากการกินส่วนแบ่งตลาดและขยายไปต่างประเทศ ก็ไม่เลว ต้องคุมค่าใช้จ่ายดีๆ
🔵มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเฉลี่ยไตรมาสละ 200 กว่าล้าน ใกล้เคียงกับกำไรสุทธิ ถือว่าดีมาก แต่กระแสเงินสดอิสระน้อยมาก แทบไม่มีเลย คงเพราะกำลังลงทุนหนักเพื่อสร้างการเติบโตในอนาคตอยู่
🔵สภาพคล่องของบริษัทยังโอเค / หนี้สินยังไม่เยอะ / ROE ถือว่าสูงมาก ดีมากหากยั่งยืน ทำธุรกิจแล้วกำไรงาม / ROA ก็ถือว่าดี ใช้งานสินทรัพย์เพื่อทำธุรกิจอย่างคุ้มค่า / วงจรเงินสดติดลบ เงินเข้าบริษัทเร็วก็ดีมาก
🔵ว่ากันด้วยเรื่อง P/E 🔵P/E ตลาดหุ้นไทยตอนนี้ 16 เท่า, P/E อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคอยู่ที่ 12 เท่า, ส่วน P/E ‘NEO’ อยู่ที่ 8 เท่า พร้อมเงินปันผลแตะระดับ 5% ต่อปี (เมื่อเทียบกับกำไรปีที่แล้ว)
📌ถ้าโตได้ก็ดี ไม่โตก็เจ๊า (ดันโดฟิลลิ่ง ฮ่าๆ)
⚠️การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาแนะนำ ชักชวน หรือโน้มน้าวเพื่อให้เกิดธุรกรรมการซื้อขายหลักทรัพย์ หรือสินทรัพย์ทางการเงินใดๆทั้งสิ้น นักลงทุนควรตัดสินใจลงทุนด้วยตนเอง รับความเสี่ยงและความผิดพลาดด้วยตนเอง ทั้งนี้เนื้อหาในบทความมีอคติอยู่เป็นจำนวนมาก ควรวิเคราะห์ด้วยตนเอง เพราะแอดมินติดดอยอยู่ ฮ่าๆ 🤣
ขอให้มีความสุขกับการลงทุน ในทุกๆวันนะครับ 🙂
หุ้น
การลงทุน
ธุรกิจ
1 บันทึก
3
1
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย