30 พ.ค. เวลา 07:05 • หุ้น & เศรษฐกิจ

“พาณิชย์” พลิกแผนดันการส่งออก ประคอง 3 ตลาดหลัก เต็มสูบ!

  • รมว.พาณิชย์ มอบนโยบายให้สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ทั่วโลก ร่วมขับเคลื่อนการส่งออก ตั้งเป้าขยายตัว 3% พร้อมเน้นลดการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป
  • วางแผนส่งเสริมการส่งออกตลาดสำคัญ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ตั้งเป้าขยายตัว 3% แม้มีปัจจัยเสี่ยงจากสงครามการค้าความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และต้นทุนขนส่งเพิ่ม
  • ตลาดจีนชะลอตัวจากปัจจัยเศรษฐกิจภายใน-สงครามการค้า แต่ตั้งเป้าเพิ่มส่งออก 1% ส่วนญี่ปุ่นตั้งเป้าโต 1.5% เน้นสินค้าอาหาร Soft Power ขยายตลาดกล้วยหอมทอง
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ผ่านมา นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายการปฏิบัติงานแก่ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกและองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก อัครราชทูต (ฝ่ายการพาณิชย์) สำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ (สคต.) กว่า 54 แห่งทั่วโลก
รวมทั้งพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ รวมกว่า 200 ราย พร้อมตัวแทนภาคเอกชนร่วมหารือแนวทางผลักดันการส่งออกปี 2568 โดยตั้งเป้าหมายการส่งออกในปีนี้ขยายตัว 3% แม้ตอนนี้ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยจะเจอปัญหาอยู่ โดยเน้นการกระจายตลาดเพื่อลดการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายการปฏิบัติงานแก่ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ
  • ตลาดสหรัฐฯ ตั้งเป้าโต 3% ฝ่าทรัมป์ 2.0
สำหรับตลาดสหรัฐฯ สำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ (สคต.) ทั้ง 4 แห่งของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รายงานภาพรวมการค้าต่อที่ประชุมว่า จากสถิติการส่งออกในสหรัฐฯ ช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ สหรัฐอเมริกาขยายตัว 25% จากความไม่แน่นอนเรื่องนโยบายภาษี โดยทาง สคต. 4 แห่งได้ขอตั้งเป้าส่งออกไว้ที่ 3%
ปัจจัยบวกต่อการส่งออกไทยประกอบด้วย การชะลอการจัดเก็บภาษีตอบโต้ออกไป 90 วัน ส่งผลให้คาดการณ์เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น โดยบริษัท Goldman Sachs ปรับการคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ เสี่ยงถดถอยน้อยลงสู่ระดับ 35% ส่วน JPMorgan คาดการณ์เหลือตํ่ากว่า 50% และปรับเพิ่มคาดว่า GDP ของสหรัฐฯ จะเติบโต 0.6% ในปี 2025 เพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ 0.2%
ผู้นำเข้ามีความคลายกังวลเล็กน้อย เนื่องจากยังมีเวลาในการวางแผนทั้งการสั่งสินค้าเพื่อสต๊อกในช่วง 90 วันเพิ่ม และการร่วมวางแผนการ share ต้นทุนภาษี 10% ที่เพิ่มขึ้น
นโยบายการลดหย่อนภาษีรายได้บุคคลและนิติบุคคลซึ่งผู้บริโภคและผู้ประกอบการรอคอย ขณะนี้ร่างกฎหมายที่มีชื่อว่า “One Big Beautiful Bill Act” ได้ผ่านการรับรองจากสภาผู้แทนราษฎรแล้วเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2025 และกำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาโดยวุฒิสภา หากนโยบายนี้นำไปใช้จริงจะส่งผลดีต่อกำลังการซื้อของผู้บริโภคและต่อสภาพคล่องทางธุรกิจ
การประชุมมอบนโยบายการปฏิบัติงานแก่ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ
ไทยยังมีจุดแข็งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในภูมิภาคทะเลจีนใต้ ซึ่งนับเป็นปัจจัยบวกต่อสหรัฐฯ ในเหตุผลหลายด้าน ทั้งในเชิงภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ และความมั่นคงทางทหาร รวมถึงการเป็นฐานการผลิตหลักในอาเซียน ส่วนปัจจุบันยังไม่พร้อมที่จะผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม เช่น รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ และชิ้นส่วนอุปกรณ์ และเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารแปรรูปที่สำคัญของโลก
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยลบต่อการส่งออก ได้แก่ ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าทำให้ผู้นำเข้ามีแนวโน้มจะชะลอการนำเข้าเพื่อรอดูผลการเจรจาภาษีต่างตอบแทน และหลายบริษัทในสหรัฐชะลอการลงทุน GDP ไตรมาส 1/2025 จากรายงานของสำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจสหรัฐฯ (BEA) หดตัว 0.3%
  • สหรัฐฯ ยังเผชิญปัจจัยเสี่ยงในประเทศ
ขณะที่มีสัญญาณความต้องการของผู้บริโภคเริ่มอ่อนแรง โดยผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์พบว่าภาษีนำเข้าทั้งหมดในปี 2568 ทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น 2.3% ในระยะสั้น และจะเพิ่มภาระต่อครัวเรือนเฉลี่ยประมาณ 1,200-2,000 ดอลลาร์ในปี2568
นอกจากนี้ปัญหาค่าธรรมเนียมใหม่สำหรับเรือขนส่งสินค้าที่เกี่ยวกับจีน ทั้งเรือที่สร้างและเป็นเจ้าของโดยจีน และเรือที่สร้างในจีนแต่เป็นเจ้าของโดยบริษัทที่ไม่ใช่ของจีน โดยจะเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2568 อาจทำให้ต้นทุนการขนส่งเพิ่มขึ้นและกระทบต่อราคาสินค้าในตลาดสหรัฐฯ ในระยะยาว
มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barrier) ของสหรัฐฯ อาทิ การเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด และการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าไทย สหรัฐฯ ยังคงจับตามองไทยเกี่ยวกับสถานการณ์การค้ามนุษย์อย่างใกล้ชิดต่อประเด็นการใช้แรงงานผิดกฎหมาย ประเด็นการเมืองระหว่างประเทศเรื่องชาวอุยกูร์ รวมทั้งโอกาสในการได้รับการต่ออายุโครงการ GSP ของสหรัฐฯ ที่ยังอยู่ในระหว่างกระบวนการพิจารณา
ขณะที่ภาวะสงครามและปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของกลุ่มผู้ประกอบการและนักลงทุนในสหรัฐฯ และอาจจะตัดสินใจชะลอการดำเนินแผนขยายกิจการหรือการลงทุนเพิ่มเติม
  • กางแผนดัน 4 เรื่องเร่งด่วน
ดร.เกษสุรีย์ วิจารณกรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก เปิดเผยแผนผลักดันในการขับเคลื่อนการค้าของไทยในตลาดสหรัฐฯ โดยจะเร่งผลักดัน 4 เรื่องสำคัญได้แก่
1. แทรกซึม Soft Power อาหารและยกระดับความนิยมสู่กลุ่มผู้บริโภคระดับบน ระดมใช้ Influencers กว่า 100 รายทั่วภูมิภาค การประชาสัมพันธ์อาหารไทยและร้านอาหาร Thai Select เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคชาวอเมริกันเกิดประสบการณ์การรับรู้ผ่านการจัดทำ content ได้รับ impression กว่า 20 ล้านครั้ง
2. สร้างการรับรู้สินค้าและบริการของไทยผ่าน Soft Power: Film และ Fighting โดยนำ Soft Power ของไทยในรูปแบบวัฒนธรรมร่วมสมัย เช่น ซีรีส์ Y ภาพยนตร์ รวมทั้งดนตรีไทย มาบูรณาการเข้ากับการส่งเสริมการค้า
3. ผลักดันการสร้างแบรนด์แฟชั่นไทยสู่เวทีสากลผ่านการถ่ายทอดวัฒนธรรมร่วมสมัย มุ่งเน้นส่งเสริมแบรนด์ไทยในตลาดระดับโลก ด้วยการยกระดับคุณค่า ความเป็นมืออาชีพ และอัตลักษณ์แฟชั่นไทย
4. แสวงหาโอกาสขยายตลาดสินค้าอุตสาหกรรมหนักของไทยเพื่อทดแทนผลกระทบจากการขึ้นภาษี ผ่านการจัด Online Business Matching สินค้าอุตสาหกรรมหนัก อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องออกกำลังกาย
  • ตลาดจีนชะลอตัว ตั้งเป้าโต 1%
ด้านตลาดจีนสำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ (สคต.) ทั้ง 7 แห่งของประเทศจีน ได้รายงานภาพรวมการค้าต่อที่ประชุมว่า ตลาดจีนยังคงถือเป็นตลาดการค้าสำคัญของประเทศไทย แม้ว่าจะมีความท้าทายจากสถานการณ์การค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ
สำหรับปี 2568 นี้ สคต. ได้ตั้งเป้าหมายการส่งออกไว้ที่ขยายตัว 1% หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งแม้จะดูเป็นตัวเลขที่ไม่สูงมาก แต่เป็นเป้าหมายที่สมจริงและสะท้อนถึงความระมัดระวังในการประเมินสถานการณ์
จากการวิเคราะห์ของ สคต. ชี้ให้เห็นว่า สถานการณ์เศรษฐกิจของจีนในปัจจุบันต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงอยู่ 2 ด้านหลัก คือ ปัจจัยภายในประเทศ ได้แก่ เศรษฐกิจจีนอยู่ในภาวะชะลอตัวจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ประกอบกับปัญหาหนี้ภาครัฐที่เพิ่มสูงขึ้น การว่างงานภายในประเทศที่เป็นปัญหาเรื้อรัง และประชากรสูงวัยที่เริ่มกลายเป็นภาระทางเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา
ปัจจัยภายนอกประเทศที่สำคัญที่สุดคือ สงครามการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในช่วงนับจากนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะการขึ้นภาษีนำเข้าและมาตรการกีดกันทางการค้าต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อการไหลเวียนของสินค้าและการลงทุนในภูมิภาค
การประชุมมอบนโยบายการปฏิบัติงานแก่ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ
นายสกรรจ์ แสนโสภา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครเซี่ยงไฮ้ เปิดเผยแผนการดำเนินงานว่าจะเร่งผลักดัน 4 เรื่องสำคัญ ได้แก่
1. การส่งเสริมตลาดผลไม้ไทยโดยเฉพาะทุเรียน ตั้งเป้าหมายผลักดันยอดขายทุเรียนเพิ่มขึ้น 8% หรือคิดเป็นปริมาณ 9 แสนตัน เพิ่มจากปีก่อนที่มี 8.3 แสนตัน โดยมาจากทุเรียนภาคตะวันออก 5.22 แสนตัน และทุเรียนภาคใต้อีก 3.5 แสนตัน
2. ขยายสินค้าไทยและส่งเสริมผู้ประกอบการเข้างานแสดงสินค้า แผนการขยายตลาดครอบคลุมเมืองที่มีศักยภาพทั้งหมด 8 มณฑล โดยมีเป้าหมายให้ผู้ประกอบการไทยรวม 500 บริษัท เข้าร่วมงานแสดงสินค้าต่างๆ พร้อมกับเน้นการส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ให้เข้าร่วมงานแสดงสินค้าสำคัญของจีน
3. การส่งเสริม Soft Power สินค้าและบริการ การผลักดันสินค้าและบริการไทยที่มีเอกลักษณ์และความโดดเด่นในกลุ่มแฟชั่นไลฟ์สไตล์ ธุรกิจบันเทิง เกม สุขภาพ ความงาม อาหาร และมวยไทย เข้าสู่ตลาดจีน
4. การส่งเสริมการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ การใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่อย่าง Tmall และแพลตฟอร์มอื่นๆ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคจีนที่หันมาซื้อของออนไลน์มากขึ้น โดยเฉพาะในเมืองชั้น 2 และ 3 ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง
  • ตลาดญี่ปุ่น ฝ่าวิกฤตเยนอ่อนด้วย Soft Power
นายฉันทพัทธ์ ปัญจมานนท์ อัครราชทูต (ฝ่ายการพาณิชย์) ประจำสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว เปิดภาพรวมโอกาสการค้าของไทยในญี่ปุ่น ท่ามกลางสงครามการค้าและเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากค่าเงินเยนอ่อนค่าในรอบ 37 ปี โดยตั้งเป้าการค้าทั้งปีไว้ที่ 1.5%
“แม้เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะซบเซา แต่ญี่ปุ่นยังต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารถึง 62% นี่คือจุดแข็งของไทย เราตั้งเป้าหมายขยายยอดขายให้โต 10,000 ล้านบาทในปีนี้” นายฉันทพัทธ์ กล่าว
นายฉันทพัทธ์ ปัญจมานนท์ อัครราชทูต (ฝ่ายการพาณิชย์) ประจำสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว
ปัจจุบันการส่งออกสินค้าไทยไปญี่ปุ่นมีแนวโน้มดีขึ้น โดยเฉพาะสินค้าอาหารซึ่งครองสัดส่วนกว่า 60% ของเป้าหมายยอดขายที่ตั้งไว้ แม้ค่าเงินเยนจะอ่อน แต่ความต้องการบริโภคยังสูง โดยเฉพาะในช่วงที่ญี่ปุ่นมีจำนวนนักท่องเที่ยวพุ่งแตะ 37 ล้านคนในปีที่ผ่านมา
ส่วนอีก 40% มาจากกลุ่มสินค้า Soft Power เช่น เกม ซีรีส์ Y ศิลปะ และแฟชั่นไทย โดยเฉพาะเกมไทยที่สามารถสร้างยอดขายในญี่ปุ่นได้ถึง 1,600 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา และมีแผนขยายต่อเนื่องในปีนี้ ขณะเดียวกันยังมีการร่วมมือทำซีรีส์ Y ที่ต่อยอดจากวัฒนธรรมญี่ปุ่น และการส่งออกแฟชั่นภายใต้โครงการ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” โดยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา
นอกจากนี้ยังมีแผนผลักดันกล้วยหอมทอง ซึ่งไทยมีศักยภาพเป็นประเทศเดียวที่ปลูกได้ในเชิงพาณิชย์ แม้ญี่ปุ่นจะนำเข้ากล้วยถึง 1 ล้านตันต่อปี แต่ไทยยังใช้สิทธิพิเศษปลอดภาษีได้เพียง 2,000 ตัน จึงมีการเร่งเจรจาปิดดีลส่งออก 5,000 ตันจากจังหวัดสงขลา และกำลังขยายพื้นที่ปลูกในพัทลุง ซึ่งเป็นจังหวัดยากจนลำดับต้นๆ ของประเทศ หวังยกระดับรายได้เกษตรกรไทย
“Soft Power ไม่ใช่แค่ขายของ แต่คือการร่วมมือกัน เช่น กาชาปองที่ใส่สินค้าไทย หรือการวาดการ์ตูนญี่ปุ่นเพื่อโปรโมตสินค้าไทย ตลาดญี่ปุ่นให้ความเชื่อมั่นอย่างสูงกับหน่วยงานภาครัฐ ถ้ามีรัฐบาลไทยหนุนหลัง ก็เท่ากับได้ใบเบิกทางอย่างมั่นคง” นายฉันทพัทธ์ กล่าว
โฆษณา